กรุงเทพฯ--19 มิ.ย.--สหมงคลฟิล์ม
สัญชาติ อเมริกัน
ประเภท โรแมนติค / คอเมดี้
อำนวยการสร้าง พอล บรูกส์ (My Big Fat Greek Wedding, The Wedding Date)
มาร์ค มอร์แกน (Material Girls, The Wedding Planner)
เขียนบท วิค เลวิน (Win a Date with Tad Hamilton!, Mad About You)
กำกับการแสดง ยาน แซมวล (Love Me If You Dare)
นำแสดง อิไลช่า คัธเบิร์ท (Girl Next Door, Captivity, House of Wax)
เจซซี่ แบรดฟอร์ด (Bring It On, Happy Ending, Flag of Fathers)
กำกับภาพ เอริค ชมิดท์ (The Ex)
ออกแบบงานสร้าง คาลิน่า อิวานอฟ (Little Miss Sunshine)
ตัดต่อ อนิต้า แบรนต์ เบอร์กอยนี่ (Legally Blond)
ออกแบบเครื่องแต่งกาย แคทเธอรีน มารี โธมัส (Prairie Home Companion, Kill Bill Vols. 1&2)
ดนตรีประกอบ เดวิด ไคเทย์ (Because I Said So, Bad Santa)
กำหนดฉาย 26 มิถุนายน 2008
เรื่องย่อ
ในภาพยนตร์รักรสชาติปะแล่มๆเรื่องนี้ ชาร์ลี (เจซซี่ แบรดฟอร์ด จาก Flags of Fathers, Swimfan) คือหนุ่มเจี๋ยมเจี้ยมจากตะวันตกกลางของอเมริกาที่วางแผนชีวิตไว้อย่างดี เมื่อออกจากบ้านมาอยู่นิวยอร์ก เขาก็ไล่ตามความฝันของตัวเองในการเข้าทำงานในบริษัทเครื่องตัดหญ้ารายใหญ่ ทิลลี่ คิง ตรงกันข้ามกับ จอร์แดน (อิไลช่า คัธเบิร์ท จาก Captivity, The Girl Next Door) สาวก๋ากั๋น ขี้เมา จอมโวยวาย จากอัปเปอร์อีสไซด์ นิวยอร์ก ที่ปล่อยให้โชคชะตากำหนดอนาคตมากกว่ากำหนดอนาคตตัวเอง จอร์แดนใช้ชีวิตแบบปล่อยให้มันเป็นไป โดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ที่มาจากการตัดสินใจและการกระทำอันหุนหันพลันแล่นของตัวเอง เธอเป็นผู้หญิงที่เซ็กซี่และลึกลับที่สุดเท่าที่ชาร์ลีเคยเจอ และเขาเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้มีอะไรมากกว่าความเป็นเด็กใจร้อนก้าวร้าวที่แสดงออกมาภายนอก มันคือการตกหลุมรักเข้าอย่างจัง และชาร์ลีไม่ได้เตรียมตัวเลยว่าจะมีเรื่องปวดหัวตามมาจากการคบกับผู้หญิงอย่างจอร์แดน โลกแคบๆอันปลอดภัยที่ชาร์ลีสร้างขึ้นมากำลังสั่นสะเทือน ซึ่งนั่นอาจเป็นสิ่งที่เขาต้องการก็ได้
ครั้งแรกที่ทั้งคู่พบกัน ชาร์ลีได้ช่วยชีวิตจอร์แดนที่เมาแอ๋เกือบตกรางรถไฟเอาไว้ จากนั้นชีวิตเขาก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย ชาร์ลีงงมากที่จอร์แดนทำท่าเหมือนรู้จักเขาด้วยการเรียกเขาว่า “ที่รัก” ก่อนจะหมดสติไป แต่เขารู้ว่าคงไม่เคยเจอกันมาก่อนแน่นอน เพราะถ้าเคยเจอ เขาคงไม่มีทางลืมคนแบบเธอได้ หลังจากทิ้งให้จอร์แดนนอนบนม้านั่ง จิตสำนึกอันดีงามทำให้ชาร์ลีเปลี่ยนใจกลับมาอุ้มเธอไปที่หอพักจนกว่าจะคิดออกว่าจะทำอย่างไรต่อไป แต่โชคร้ายที่หน่วยรักษาความปลอดภัยของมหาวิทยาลัยรู้เรื่องเข้า ทำให้ชาร์ลีโดนทัณฑ์บนข้อหาลักพาตัว เรียกว่าทำคุณบูชาโทษซะงั้น หลังจากวุ่นวายอยู่พักใหญ่ ชาร์ลีก็กลับมาที่หอพัก โล่งใจที่กำจัดผู้หญิงเพี้ยนๆคนนี้ได้เสียที แต่จอร์แดนสืบหาเขาจนเจอ และออกคำสั่งให้มาพบเธอเพื่ออธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอถึงไปอยู่ที่ห้องเขาโดยที่ไม่รู้ตัวว่าไปได้ยังไง
หลังจากบอกลาจอร์แดนเป็นครั้งที่สอง ชาร์ลีก็กลับมาใช้ชีวิตปกติของตัวเอง ขณะสัมมนากับตัวแทนบริษัท ทิลลี่ คิง ที่มหาวิทยาลัย จู่ๆจอร์แดนก็เปิดประตูเข้ามายื่นกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งให้ผู้บรรยาย ขอให้ชาร์ลีรับผิดชอบสิ่งที่ทำลงไป จอร์แดนบอกชาร์ลีแค่ว่า “วันนี้ออกไปเที่ยวกันเถอะ” โดยไม่รู้สึกว่าต้องอธิบายเหตุผลว่ากลับมาหาเขาทำไม
จากวันนั้น พวกเขาก็เริ่มต้นความสัมพันธ์แปลกๆที่จอร์แดนเป็นคนกำหนดทิศทาง แม้จอร์แดนจะอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย แถมยังมีแนวโน้มโรคจิต แต่ชาร์ลีก็หลงรักผู้หญิงวุ่นวายคนนี้แบบเต็มๆ แม้เดททุกครั้งจะลงเอยที่เขาแบกจอร์แดนกลับอพาร์ทเมนท์ก็ตาม ชาร์ลีกับจอร์แดนต่างกันคนละขั้ว ชาร์ลีวางแผนชีวิตเอาไว้อย่างดี และใช้ชีวิตตามแผนอนาคตที่วางไว้ โดยไม่เหลือที่ว่างสำหรับเรื่องไม่คาดฝัน ขณะที่จอร์แดนปล่อยชีวิตไปตามลม และถ่ายทอดมุมมองต่อโลกผ่านบทหนังประหลาดๆที่เธอเขียน และแบ่งให้ชาร์ลีดูคนเดียว
สามัญสำนึกของชาร์ลีบอกให้อยู่ห่างๆจอร์แดนไว้ เพราะมีเป็นร้อยเหตุผลที่ควรทำอย่างนั้น จอร์แดนทั้งขี้เมา หัวดื้อ น่ารำคาญ แถมยังกดขี่ ข่มเหง ทำร้ายร่างกายเขาเป็นงานอดิเรก แต่เขาก็ถอนตัวไม่ขึ้น แม้เพื่อนรักอย่าง ลีโอ (ออสติน เบสิส จาก Dorian Blues และ American Zombie) จะยุให้เลิกสุดตัว เรื่องของเรื่องคือชาร์ลีไม่เคยถูกดึงออกจากพื้นที่ส่วนตัว และไม่เคยมองโลกแบบที่จอร์แดนมอง เขาไม่รู้ตัวเลยจนกระทั่งวันนี้ว่า เขาต้องการใครสักคนมาเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง และเพิ่งรู้ว่ามันทำให้เขามีชีวิตชีวาเพียงใด
จากที่เห็นพฤติกรรมไม่เข้ารูปเข้ารอยและแอนตี้สังคมของจอร์แดน ชาร์ลีก็อดคิดไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนี้ต้องได้รับการบำบัดด่วน เขามั่นใจว่าถ้าได้ใกล้ชิดเธอนานอีกหน่อย ตัวตนที่แท้จริงภายใต้บุคลิกก้าวร้าวของเธอต้องปรากฏออกมา แต่ที่เขาไม่รู้คือ แท้จริงแล้ว จอร์แดนกำลังรับมือกับอาการหัวใจสลายอย่างสุดความสามารถ จากการเสียชีวิตแบบกะทันหันของคนรักเก่า ที่ชาร์ลีมีบางอย่างเชื่อมโยงเหมือนชะตาลิขิต จอร์แดนกลัวที่จะเริ่มต้นความสัมพันธ์ครั้งใหม่ เธอจึงบังคับให้ชาร์ลีออกผจญภัยกับเธอ เพื่อพิสูจน์ว่าเขาถูกลิขิตมาเพื่อเธอหรือเปล่า จอร์แดนไม่ได้มั่นใจกับการตัดสินใจของตัวเองนัก ซึ่งชาร์ลีก็กังวล แต่เธอเชื่อมั่นว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับพรหมลิขิต ชาร์ลีที่เชื่อในเหตุผลไม่เห็นด้วย แต่เขาก็ตกลงทำในสิ่งที่จอร์แดนต้องการ
แม้จอร์แดนกับชาร์ลีจะไม่อาจจัดการความสัมพันธ์อันซับซ้อนของพวกเขาได้เอง แต่โชคชะตาเตรียมแผนสำหรับพวกเขาไว้แล้ว ผ่านไป 1 ปี เหตุการณ์ต่างๆก็คลี่คลาย และโชคชะตาก็ให้คำตอบว่า พวกเขาเป็นคู่กันหรือไม่
ที่มาที่ไป
My Sassy Girl รีเมคจากภาพยนตร์เกาหลีเชื่อเดียวกันที่ทำรายได้ถล่มทลายในบ้านเกิดไปเมื่อปี 2001 ซึ่งหนังแหวกแนวเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงของหนุ่มมหาวิทยาลัยคนหนึ่งที่เขียนเล่าความรักของเขากับแฟนสาวลงอินเตอร์เน็ท
ผู้อำนวยการสร้าง พอล บรูกส์ เคยได้ยินชื่อหนังเกาหลีเรื่องนี้ แต่ตอนที่เขาอ่านบทฉบับอเมริกันของ วิค เลวิน และตอนซื้อมันมา เขายังไม่เคยดูหนังต้นฉบับ “ผมคิดว่าบทหนังดีมาก และผมได้ดูหนังต้นฉบับประมาณ 2 อาทิตย์หลังจากซื้อบทมา พูดตรงๆนะ ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าควรดู เพราะหนังฉบับเกาหลีมันมีความแตกต่างทางวัฒนธรรมมากจากสิ่งที่เราอยากทำ ผมก็เลยลังเลที่จะสร้างมันนิดหน่อยในตอนแรก”
“การรีเมคหนังไม่ใช่ปัญหาหรอก ที่น่าเป็นห่วงคือการกำหนิดทิศทางอารมณ์ของหนังให้เหมาะสม โดยเฉพาะพลังระหว่างพระเอกกับนางเอก เพราะในหนังฉบับเกาหลีมันเฉพาะตัวมาก จนผมคิดว่าคงไม่เหมาะกับคนดูที่นี่เท่าไหร่ ฉบับนั้นนางเอกจะก้าวร้าวมาก ส่วนพระเอกก็เจี๋ยมเจี้ยมสุดๆ เราก็เลยต้องมาปรับเปลี่ยนเล็กน้อย ซึ่งเราโชคดีที่ได้เจซซี่กับอิไลช่ามารับบทนำ พวกเขาค้นพบจุดที่พอเหมาะพอดีในการแสดงที่จะทำให้ผู้ชมชาวอเมริกันรักตัวละคร”
บรูกส์รู้ว่าเขาต้องการผู้กำกับที่เฉพาะเจาะจงมากๆเพื่อมาสร้างสมดุลให้บทหนังของเลวิน คนที่เข้าใจความซับซ้อนของเรื่องราว และสามารถถ่ายทอดมันสู่จอหนังได้ โดยแสดงให้เห็นความสัมพันธ์อันซับซ้อนของตัวละครนำทั้งสองด้วยในเวลาเดียวกัน My Sassy Girl ไม่ใช่หนังโรแมนติคอเมดี้ทั่วไป เพราะฉะนั้นบรูกส์รู้ดีว่านี่ไม่ใช่งานง่าย แต่แล้วเขาก็นึกถึงหนังโปรดเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา นั่นก็คือ Love Me If You Dare ภาพยนตร์ฝรั่งเศสฝีมือผู้กำกับหน้าใหม่ ยาน แซมวล
“โดยทางอารมณ์แล้ว Love Me If You Dare มีความคล้ายคลึงกับสิ่งที่เราอยากให้ My Sassy Girl เป็น” บรูกส์กล่าว “พระเอก-นางเอกในหนังทั้งสองเรื่องไม่ต่างกัน และผมเชื่อว่ายานเข้าใจสิ่งที่เราต้องการสำหรับ My Sassy Girl หนังทั้งสองเรื่องตีความความสัมพันธ์ของตัวละครอย่างไม่ธรรมดา ค่อนข้างแปลกแหวกแนว แต่คุณก็ยังคงรู้สึกได้ถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ เพราะฉะนั้นผมรู้ว่ายานเข้าใจความรักของชาร์ลีและจอร์แดน”
เช่นเดียวกับผู้อำนวยการสร้าง แซมวลสนใจ My Sassy Girl เพราะคุณภาพของบทหนังและความลึกของตัวละครหลัก ยานมองหาบทหนังที่ทำให้เขาตื่นเต้นพอจะกำกับเป็นเรื่องที่สองมาหลายปีแล้ว และเขาดีใจมากตอนที่ได้รับบทหนังเรื่องนี้จากบรูกส์ เขาชอบจอร์แดนกับชาร์ลี และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ในทันที และกระตือรือร้นอยากกำกับเรื่องนี้มาก
อีกสิ่งหนึ่งของบทหนังที่ทำให้แซมวลสนใจก็คือความหลากหลาย หนังไม่ใช่แค่ตลกและโรแมนติค แต่ยังไปในหลายทิศทางในคราวเดียว “ตอนที่อ่านบท ผมรู้สึกได้ถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของเทพนิยายกับความเป็นจริง” แซมวลกล่าว แก่นเรื่องทำให้เขาเชื่อมโยงกับบทหนัง “พรหมลิขิตคือแก่นของหนังเรื่องนี้ และหนังแสดงให้เห็นว่าพรหมเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่เราคอยเสมอไป และตัวละครคู่นี้ไม่รู้ว่าพวกเขาได้สร้างพรหมลิขิตขึ้น ซึ่งต่างจากคู่อื่นๆ สุดท้ายพวกเขาก็รู้ว่า ถึงจะวิ่งหนีพรหมลิขิตอย่างไร แต่ก็ยังต้องเดินตามมันอยู่ดี ซึ่งผมว่ามันเป็นสิ่งที่สวยงาม”
“ความรักคือการเผชิญหน้า” แซมวลกล่าว “เผชิญหน้ากับสิ่งที่คุณคิดว่าคุณเป็น สิ่งที่คุณเป็นจริงๆ และสิ่งที่คุณอยากเป็น กับคนที่คุณรักก็เหมือนกัน คุณรักในสิ่งที่เขาเป็นจริงหรือ หรือรักในสิ่งที่คุณคาดหวังให้เขาเป็น นั่นคือปัญหาใหญ่ของความรัก ความไม่สมบูรณ์แบบไงล่ะ คุณฝันถึงสาวสุดเพอร์เฟ็คต์แต่เธอกลับไม่เหมือนอย่างที่ฝันเลย ความแตกต่างระหว่างความฝันกับความจริงอาจเป็นสิ่งที่ดีและน่าหลงใหล และบางทีอุดมคติเรื่องความรักของคุณอาจจะผิดก็ได้ นั่นคือสิ่งที่น่าสับสน และเป็นเหตุผลว่าทำไมความรักกับการเผชิญหน้าจึงเป็นสิ่งเดียวกัน”
ทีมงานออดิชั่นนักแสดงวัยรุ่นหลายคนสำหรับบท ชาร์ลี และ จอร์แดน แต่ก็ลงมติเป็นเอกฉันท์ว่าได้พบคู่รักที่ต้องการแล้ว เมื่อ เจซซี่ แบรดฟอร์ด และ อิไลช่า คัธเบิร์ท เข้ามาอ่านบท พวกเขาผ่อนคลายเมื่อแสดงด้วยกันและมีเคมีที่เป็นธรรมชาติ ทีมงานรู้ทันทีว่าอิไลช่าจะสามารถสร้างบุคลิกแปรปรวนของจอร์แดน พร้อมๆกับทำให้ผู้ชมชอบเธอได้ และพวกเขารู้ว่าเจซซี่คือคนที่เหมาะที่สุดสำหรับบทหนุ่มเจี๋ยมเจี้ยมอย่างเจซซี่ โดยไม่ดูอ่อนแอหรือเหยาะแหยะเกินไปเมื่อต้องเจอกับบุคลิกแข็งกร้าวของจอร์แดน
ยัยตัวร้ายฉบับฮอลลีวู้ด
คัธเบิร์ทกำลังรอบทอย่างจอร์แดนอยู่พอดี เธออยากแสดงหนังคอเมดี้ แต่ต้องเป็นหนังฉลาดๆที่ตัวละครหญิงไม่ได้มีแค่มิติเดียว “ฉันอยากแสดงเป็นตัวละครที่ทำให้ฉันสามารถสำรวจลึกลงไปได้ ตัวละครที่ทำให้ฉันอยากค้นหาว่าอะไรที่รบกวนเธอ อะไรที่ผลักดันเธอ อะไรที่ทำให้เธอมีบุคลิกแปลกๆ แล้ว My Sassy Girl ก็เข้ามา ซึ่งตรงกับสิ่งที่ฉันกำลังมองหาอยู่พอดี ฉันอยากแสดงหนังโรแมนติคคอเมดี้ แต่ต้องเป็นหนังที่มีชั้นเชิง มีหัวใจ มีเป้าหมายและมีความหมาย My Sassy Girl มีทุกอย่างที่ฉันต้องการ ฉันอ่านบทแล้วรู้เลยว่านี่คือโอกาสที่ฉันจะสนุกไปกับตัวละครอย่างจอร์แดน และครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่กล้าหาญของฉัน”
อีกสิ่งหนึ่งที่คัธเบิร์ทยังชอบความสัมพันธ์ที่จอร์แดนป็นผู้นำ “ฉันชอบดูหนัง และมีไม่กี่เรื่องหรอกที่ตัวละครหญิงบังคับตัวละครชายให้เดินไปในทางที่เขาพยายามหลีกเลี่ยง ฉันชอบที่จอร์แดนบุกรุกเขตปลอดภัยและทำลายเปลือกของชาร์ลี”
โจทย์ยากอีกข้อหนึ่งสำหรับคัธเบิร์ทก็คือ ทำอย่างไรให้ผู้ชมชอบจอร์แดน ตอนที่อ่านบท เธอชอบเรื่องราวมาก แต่ยิ่งอ่าน เธอก็ยิ่งเห็นว่าจอร์แดนมีบุคลิกที่ซับซ้อน ยากแก่การแสดงขนาดไหน เธอรู้ว่าถ้ามุ่งไปทางใดทางหนึ่ง คนดูจะไม่รู้สึกผูกพันกับตัวละคร กุญแจคือต้องรักษาบุคลิกแปลกๆของจอร์แดนเอาไว้โดยไม่ทำให้คนดูปฏิเสธเธอ “ฉันรู้ว่าตัวละครตัวนี้ก้าวร้าวมาก และฉันก็สงสัยว่าจะทำยังให้คนดูชอบเธอในฉากก้าวร้าวทั้งหลาย แต่ในที่สุดฉันก็พบทางสายกลาง คือถึงจะเป็นฉากที่จอร์แดนร้ายสุดๆ แต่เธอก็ยังอ่อนหวานและน่ารัก”
คัธเบิร์ทไม่ได้ดูหนังฉบับเกาหลี ไม่เหมือนทีมงานคนอื่นๆ ซึ่งเธอคิดว่านั่นช่วยให้เธอตีความและสร้างตัวละครของเธอเอง “ฉันเอาก๊อปปี้หนังกลับมาบ้านแล้วยืนมองซักพัก แล้วก็เดินไป แล้วก็เดินกลับมาใหม่ แต่ก็ไม่อยากเปิดดู ไม่รู้ทำไม” คัธเบิร์ทเล่า “แต่ต่อมาฉันก็เข้าใจว่า บทหนังเป็นสิ่งที่ฉันยึดถือในการแสดงเรื่องนี้ ฉันฝังใจกับสิ่งที่อ่านครั้งแรกและวางแผนการแสดงไว้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว และฉันก็ไม่อยากเลียนแบบการแสดงของใครด้วย ฉันรู้สึกว่าเรากำลังทำสิ่งที่แตกต่าง แม้ขณะเดียวกันจะเป็นสิ่งพิเศษก็ตาม สิ่งที่เป็นตัวแทนของหนังฉบับเกาหลี”
นายเจี๋ยมเจี้ยมคนใหม่
เจซซี่ แบรดฟอร์ด ยอมรับว่าเขาไม่ได้อยากดังจากการเป็นพระเอกหนังโรแมนติคคอเมดี้ แต่ My Sassy Girl เป็นข้อยกเว้น “ถ้าพูดในแง่การทำงานแล้ว ผมไม่อยากแสดงหนังโรแมนติคคอเมดี้เยอะ ผมอยากทำอะไรที่หลากหลาย แต่พอได้อ่านบทเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่ามันไม่เหมือนหนังโรแมนติคคอเมดี้ทั่วไป ผมรู้สึกว่าอยากมีส่วนร่วม มันน่าสนใจมาก สำหรับผม”
แบรดฟอร์ดสนใจว่าอะไรผลักดันการกระทำของชาร์ลี และทำไมคนอย่างเขาถึงหลงรักคนอย่างจอร์แดน นอกจากนี้อารมณ์ขันของบทหนังยังเป็นอีกเหตุผลที่ดึงดูดเขาด้วย “ผมชอบบทหนังมาก ผมว่ามันตลกดี ผมชอบที่ให้นักแสดงหญิงมีโอกาสได้ทำอะไรเพี้ยนๆ เหมือนคู่หูตลก มาร์ตินกับลูอิส น่ะครับ”
แบรดฟอร์ดยังพบว่าเส้นทางรักไม่ธรรมดาของชาร์ลีกับจอร์แดนนั้นนำไปสู่บทสรุปที่ฉีกแนวกว่าหนังโรแมนติคธรรมดาทั่วไป สิ่งที่เขาพบในบทหนังคือความพิเศษและความเฉพาะตัว ซึ่งความแปลกใหม่ของอารมณ์หนังนี่เองที่ทำให้เขาตกลงรับบทชาร์ลีในเรื่องนี้ “ชาร์ลีกับจอร์แดนคือคู่คนละขั้ว ชาร์ลีเป็นคนที่ธรรมดามาก ส่วนจอร์แดนเป็นอะไรที่หลุดโลก แต่ทั้งสองคนก็ดึงกันมาอยู่ตรงกลาง มันคือเรื่องราวความรักของสองคนที่พบกันเพื่อเดินทางสู่สิ่งที่ดีกว่าที่เคยเป็น เขาระวังตัวเกินไป ส่วนเธอก็ห่ามเกินไป แต่พอมาเจอกัน พวกเขาก็พบความพอดี ในท้ายที่สุด”
ก่อนเปิดกล้อง แบรดฟอร์ดกับคัธเบิร์ทไปทานข้าวกลางวันด้วยกันเพื่อปรึกษากันเรื่องหนังและตัวละคร “ผมบอกเธอว่า งานใหญ่ของผมคือการไม่ทำให้ชาร์ลีดูกระจ๋องเกินไป ส่วนงานใหญ่ของเธอคือการไม่ทำให้จอร์แดนดูร้ายและน่ารังเกียจเกินไป เราต้องทำให้คนดูชอบตัวละคร ถ้าชาร์ลีอ่อนแอเกินไป คนดูก็จะไม่ชอบ หรือจอร์แดนร้ายเกินไปคนดูก็จะไม่ชอบ เราสองคนรู้ว่าต้องหาทางทำให้มันสมดุลให้ได้”
แนะนำตัวละครนำอีกตัว — เซ็นทรัลพาร์ค
เซ็นทรัลพาร์คเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของนิวยอร์กที่ My Sassy Girl ยกกองไปถ่ายทำ ทุกคนที่เกี่ยวข้องรู้สึกว่าเซ็นทรัลพาร์คจะทำให้อารมณ์ของ My Sassy Girl ออกมาอย่างที่ต้องการ ผู้อำนวยการสร้าง พอล บรูกส์ บอกว่า “ถ่ายทำในนิวยอร์กมันแพง ผมเกลียดประโยคนี้ เมืองนี้แทบจะเป็นตัวละครตัวหนึ่งในหนังเลยนะ” ผู้กำกับ ยาน แซมวล มีไอเดียชัดเจนว่าอยากถ่ายทำที่ไหน ยังไง “ในบทหนัง มีหลายฉากที่ระบุว่าเกิดขึ้นที่บาร์หรือร้านอาหาร แต่ผมคิดว่า จะมาถ่ายหนังที่นิวยอร์กทำไม ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมหมายถึง มันอาจจะเป็นคนละบาร์กกับฉากที่แล้ว แต่ยังไงมันก็เป็นแค่บาร์น่ะ” พอคิดได้อย่างนั้น แซมวลก็มุ่งหน้าทำสิ่งที่เขาต้องการทันที “นิวยอร์กเป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว”