กรุงเทพฯ--19 มิ.ย.--โฟว์ดี คอมมิวนิเคชั่น
นายยุทธพล ตันติวงษากิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหกรุงทอง เทรดดิ้ง จำกัด เจ้าของลิขสิทธิ์การนำเข้าและจัดจำหน่ายนาฬิกาและแว่นตาคุณภาพ อาทิ Playboy, Cacharel, Titoni, Sandoz, Q&Q, Galant Pomar และ GP เปิดเผยว่า ล่าสุด บริษัทฯ ได้นำเข้านาฬิกาข้อมือแบรนด์ใหม่ “เดอะ วัน” (The One) เข้ามารุกตลาดเมืองไทย เพื่อเปิดตลาดนาฬิกาในกลุ่มตลาด LED Watch ในเมืองไทย ซึ่งมีแบรนด์ให้เลือกในตลาดน้อย รวมถึงช่องทางการจำหน่ายยังไม่ครอบคลุมในขณะที่ความสนใจของกลุ่มลูกค้ามีเพิ่มขึ้น ดังนั้น “เดอะ วัน” (The One) จึงถือเป็นแบรนด์อีกทางเลือกหนึ่งที่จะตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ชอบมองหาความท้าทายใหม่ๆ เพราะความแตกต่างและแนวคิดของแบรนด์ “เดอะ วัน” (The One) ที่ฉีกกฎเดิมของนาฬิกาดิจิตอล จากแนวคิดของการผสมผสานระหว่างหลักการคำนวณทางคณิตศาสตร์กับการบอกเวลาผ่านหลอดไฟ LED ทำให้ “เดอะ วัน” (The One) เป็นนาฬิกาดิจิตอลที่ล้ำสมัยทั้งในมุมของความคิดสร้างสรรค์ ดีไซน์ และเทคโนโลยี ที่ช่วยแสดงถึงความเป็นตัวตนของ
ผู้สวมใส่ จึงน่าจะโดนใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้ง่าย
“ณ ปัจจุบัน สหกรุงทอง เทรดดิ้ง มีสัดส่วนผลประกอบการทางธุรกิจหลักอยู่ที่นาฬิการ้อยละ 70 โดยมีทั้งสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยแต่ละแบรนด์ก็จะมีความแตกต่างกันด้วยดีไซน์ ทำให้มีกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันในแต่ละแบรนด์ เรียกว่าครอบคลุมตั้งแต่กลุ่มวัยรุ่น นักเรียน นักศึกษา คนทำงานตอนต้น คนทำงาน จนถึงระดับกลุ่มผู้บริหาร โดยช่องทางการจัดจำหน่ายหลักจะอยู่ที่ห้างสรรพสินค้ารองลงมาคือร้านจำหน่ายนาฬิกา และนาฬิกา House Brand ซึ่งมีช่องทางการจัดจำหน่ายหลักอยู่ที่ร้านนาฬิกาที่เป็นผู้แทนจำหน่ายของบริษัทฯ” นายยุทธพล ตันติวงษากิจ กล่าว
เมื่อพิจารณาถึงแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจนาฬิกาแฟชั่นในปี 2551 กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหกรุงทอง เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า “การแข่งขันของตลาดนาฬิกาค่อนข้างรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ละแบรนด์ก็พยายามพัฒนาและสร้างสรรค์งานนาฬิกาให้โดดเด่นและหลากหลายขึ้น ทั้งในแง่ของดีไซน์ ฟังก์ชั่น วัสดุที่ใช้ลูกเล่นต่างๆ รวมถึงการวางแผนการตลาดในรูปแบบใหม่ๆ และการมองหาแบรนด์แฟชั่นใหม่ๆ เข้ามาเติมเต็มในตลาดเมืองไทย ส่งผลให้ธุรกิจนาฬิกาแฟชั่นมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 10-15% และอีกปัจจัยหนึ่งคือตลาดนาฬิกาแฟชั่นกลุ่มลูกค้ากลุ่มใหญ่จะเป็นกลุ่มวัยรุ่นที่มีอัตราการใช้จ่ายสูง ต้องการ update สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลาเรียกง่ายๆ ว่าไม่อยากตกกระแส จากการศึกษาถึงพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายสำหรับแบรนด์แฟชั่นพบว่าใน 1 คนจะซื้อนาฬิกาประมาณ 2-5 เรือนต่อปี เนื่องจากนาฬิกาแฟชั่นจะเหมือนกับแฟชั่นเสื้อผ้าที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่อาจจะมีกระบวนการพิจารณามากขึ้น โดยเฉพาะแบรนด์แฟชั่นที่มีทางเลือกเยอะทำให้โครงสร้างของการตั้งราคาต้องมีความสมเหตุสมผลมากขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ต้องพิจารณาถึงผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ด้วยเช่นกัน ดังนั้น นโยบายของบริษัทฯ จึงไม่เน้นแข่งขันเรื่องราคามากนัก เรามองว่าถ้าเรามีการสื่อสารที่ตรงใจ นาฬิกาของเราสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ เพิ่มคุณค่าในความรู้สึกให้กับลูกค้าได้ เพราะการเลือกนาฬิกาในปัจจุบันสามารถสะท้อนได้ถึงบุคลลิกของผู้สวมใส่ เรื่องราคาก็จะไม่ใช่ปัจจัยหลักในการตัดสินใจซื้อของลูกค้า”
ทั้งนี้ สหกรุงทอง เทรดดิ้ง ได้วางกลยุทธ์ด้านการตลาดเพื่อโปรโมทนาฬิกา “เดอะ วัน” (The One) ไว้โดยวางเป้าหมายหลักไว้ที่การเป็นผู้นำของนาฬิกาสำหรับผู้ที่แสวงหาความแปลกใหม่โดยเฉพาะกลุ่ม LED Watch ดังนั้นการวางกลยุทธ์ทางการตลาดต้องทำอย่างครบเครื่องเพื่อวางแบรนด์ “เดอะ วัน” (The One) ให้อยู่ในใจของกลุ่มลูกค้าให้ได้ ทั้งในส่วนของ above the line การโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อ เพื่อเป็นการสร้างการรู้จักในแบรนด์ให้กับกลุ่มลูกค้ารวมถึงการ educate ถึงการดูเวลาของ “เดอะ วัน” (The One) และความแตกต่างของสินค้าซึ่งเป็นจุดขายหลักของนาฬิกาผ่านสื่อต่างๆ ทั้งสื่อนิตยสาร หนังสือพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์ ส่วนของ below the line นั้น หลังจากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการจะมีการจัดกิจกรรม Road Show เพื่อเป็นการแนะนำแบรนด์ไปยังกลุ่มเป้าหมายหลักและดึงให้กลุ่มเป้าหมายเกิดความสนใจมาแวะชมนาฬิกาที่ชอป รวมถึงการจัดในห้างสรรพสินค้า เพื่อกระตุ้นให้เกิดการตัดสินซื้อ ณ จุดขาย นอกจากนี้ ยังวางแผนขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทั้งในส่วนของห้างสรรพสินค้าและร้านค้า ด้วยพฤติกรรมการบริโภคสินค้าเฉพาะทางหรือ Special Goods ที่ต่างกันของผู้กลุ่มลูกค้าในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งกลุ่มลูกค้ากรุงเทพฯส่วนใหญ่ยังใช้บริการของห้างสรรพสินค้า แต่กลุ่มลูกค้าต่างจังหวัดมักจะไปที่ Specialty Store ที่ส่วนมากยังมีความเป็น traditional สูง ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อกับเจ้าของร้านยังมีผลกับการตัดสินใจซื้ออยู่มาก ดังนั้น เราจึงขยายช่องทางการจัดจำหน่ายของ “เดอะ วัน” (The One) ออกไปทั้ง 2 ทาง เพื่อครอบคลุมพฤติกรรมการซื้อทั้งหมด ซึ่งปัจจุบันมีวางจำหน่ายแล้ว 11 ห้างสรรพสินค้า และ 5 ร้าน โดยในอนาคตจะกระจายให้เพิ่มมากขึ้นอีก และในช่วงปลายปีก็จะมีการนำเข้าคอลเลคชั่นใหม่เข้ามาเพิ่มความหลากหลายให้กลุ่มลูกค้าได้เลือกเพิ่มขึ้น นอกจากนี้การจัดวางสินค้าและการอบรมพนักงานขายก็เป็นกลยุทธ์ที่ทางบริษัทฯ ใช้อย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว รวมถึงในปีนี้ทางบริษัทฯ มีการนำระบบ CRM มาใช้เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าเดิมและคาดหวังว่าจะทำให้กลุ่มลูกค้าเดิมซื้อสินค้าในเครือของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง
“เนื่องจากเรามองเห็นโอกาสสำหรับนาฬิกา “เดอะ วัน” (The One) ว่าสามารถสร้างการเติบโตของยอดขายในตลาดนาฬิกาแฟชั่นได้ เมื่อพิจาณาถึงคูแข่งโดยตรงที่ยังมีไม่เยอะ รวมถึงการทุ่มงบประมาณการทำตลาดในช่วงแรกที่นำเข้ามาและการมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุม คาดว่าจะทำให้รายได้รวมของบริษัทฯ โตขึ้นจากปีที่ผ่านมาอย่างน้อย 15-20%” นายยุทธพล ตันติวงษากิจ กล่าวสรุป