กรุงเทพฯ--21 พ.ย.--ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
โบรกเกอร์ประสานเสียง ในงาน SET in the City 2005 ตลาดหุ้นปี 2549 ขึ้นต่อ ปัจจัยหนุนจากกำไรบริษัทจดทะเบียน ค่า พีอีต่ำกว่าเพื่อนบ้าน กฟภ.เข้าตลาด แนะซื้อหุ้นแบงก์รับดอกเบี้ยขึ้น ระบุอิทธิพลราคาน้ำมันเบาลง
นายชัยพัชร ธนวัฒโน นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทแนะนำให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 2549 อยู่ในเกณฑ์ดี เพราะภาพรวมทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ขณะที่ต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้นส่งผลกระทบต่อผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไม่มากนัก
บล.ทิสโก้ ได้ปรับประมาณการการขยายตัวของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปี 2549 จาก 9% เป็น 12.5% นอกจากนี้ราคาหุ้นยังไม่แพงมาก โดยในปีหน้า คาดว่า P/E ของตลาดจะอยู่ที่ 8.4 เท่า และอัตราการจ่ายปันผล 5% ดังนั้นโอกาสที่ตลาดหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจึงยังมีอยู่
“เราประมาณการจีดีพีของปีนี้ไว้ที่ 4.5% จากการส่งออกที่จะขยายตัว 23.8% ดุลการค้าก็กลับมาเป็นบวก ด้านการใช้จ่ายด้านการอุปโภคบริโภคก็กลับมาฟื้นตัวจากตลาดแรงงานที่ดี มีอัตราการว่างงานที่มีแค่ 2% และค่าแรงงานปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งราคาผลผลิตภาคการเกษตรก็สูงขึ้นเช่นกัน” นายชัยพัชรกล่าวในการสัมมนาในหัวข้อ “ตลาดหุ้นปี 49: ตั้งหลักหรือเดินหน้า” ซึ่งจัดขึ้นภายในงานมหกรรมการลงทุนครบวงจร SET in the City 2005
นายชัยพัชรกล่าวถึงปัจจัยเสี่ยงสำคัญสำหรับตลาดหุ้นในปีหน้าว่า มีด้วยกัน 3 ปัจจัยหลัก คือ ราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยคาดว่าราคาน้ำมันในปีหน้าจะอยู่ที่ระดับ 58 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ราคาสินค้าภาคการเกษตรอาจจะลดลง และความล่าช้าจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของ รัฐบาล
ส่วนปัจจัยที่จะกระตุ้นตลาดในปี 2549 คือ คงไม่มีการปรับลดประมาณการผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดโดยฝ่ายวิจัยหลายแห่งเพิ่มเติม เนื่องจากได้ปรับประมาณผลประกอบการหลายครั้งที่ผ่านมา และยังมีเม็ดเงินลงทุนในประเทศอีกมากที่ยังไม่เข้ามาลงทุนในตลาด รวมทั้ง อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในปีหน้า สูงกว่า 2.61% ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยระยะยาวมาก
นายชัยพัชรกล่าวว่า หุ้นที่น่าสนใจในปีหน้า คือ ธนาคารกสิกรไทย เนื่องจากธนาคารได้มีการปรับแผนการดำเนินธุรกิจเน้นกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีมากขึ้น ทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า มีการตั้งสำรองสูงที่สุดในระบบธนาคารพาณิชย์ ประมาณ 0.7% มี ROE หลังหักภาษีสูงสุดที่ 17-18% ซึ่งทิสโก้ให้ราคาเป้าหมายที่ 76.50 บาท
“อย่างไรก็ตามธุรกิจธนาคารอาจมีความเสี่ยงจากการทำธุรกิจที่ยากขึ้น เนื่องจากลูกค้า รายใหญ่และมีเครดิตดีจะหันไปพึ่งเงินทุนจากตลาดทุนมากขึ้น เช่น การออกหุ้นกู้ ทำให้อาจจะมี ผลกระทบต่อรายได้ดอกเบี้ยของธนาคาร” นายชัยพัชรกล่าว
นอกจากนี้หุ้นของปตท. ก็น่าลงทุนเช่นกัน เนื่องจากเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดในประเทศ ซึ่งเป็นธุรกิจที่สร้างกำไรให้บริษัทมากที่สุด รวมทั้งมีการปรับโครงสร้างธุรกิจเป็น 3 ธุรกิจหลัก ซึ่งจะช่วยให้การบริหารคล่องตัวมากยิ่งขึ้น และสามารถสร้าง มูลค่าให้กับบริษัทได้มากขึ้น โดยราคาเป้าหมายอยู่ที่ 291บาท
ทางด้านบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนิตี้ จำกัด (มหาชน) ได้จัดสัมมนาเรื่อง “ปีหน้าฟ้าใหม่ เลือกหุ้นเด่นเน้นพื้นฐานแกร่ง” โดยนางสาววชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการให้ความเห็นว่า ปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับตลาด ในปี 2549 นั่นก็คือ อัตราดอกเบี้ย โดยทรีนิตี้ให้น้ำหนักผลกระทบต่อตลาดหุ้นจากอัตราดอกเบี้ยถึง 40% เพราะคาดว่าอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดครึ่งแรกของปี 2549 โดยจะขึ้นสู่จุดสูงสุดในช่วงกลางปี 2549
อัตราดอกเบี้ยคงจะถูกปรับขึ้นจากนี้อีก 2 หรือ 3 ครั้ง จากปัจจุบัน 4% โดยคาดว่าครั้งแรกจะปรับ 0.25% ใน วันที่ 13 ธันวาคม 2548 เป็น 4.25% ครั้งที่สอง 0.25% ประมาณวันที่ 31 มกราคม 2549 และปรับอีก 0.25% ประมาณ 28 มีนาคม 2549 อีก 0.25% เป็น 4.75%
ส่วนราคาน้ำมันมีน้ำหนักต่อตลาดหุ้น 15% จากที่เคยมีออทธิผลต่อตลาดหุ้นมากที่สุดในปี 2548 เพราะราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง จะเกิดผลกระทบเชิงลบต่อกลุ่มพลังงาน ซึ่งจะส่งต่อเนื่องต่อตลาดโดยรวม แต่ราคาน้ำทันที่ลดลงส่งผลดีต่อกลุ่มหุ้นอุตสาหกรรมอื่น ทรีนิตี้คาดการณ์ราคา น้ำมันดิบเบรนท์เฉลี่ย 2549 อยู่ที่ 56 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และปี 2250 อยู่ที่ 54 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
สำหรับโครงการเมกะโปรเจ็คของรัฐบาลมีน้ำหนักต่อการซื้อขายในตลาดหุ้น 15 % เพราะคาดว่าจะช่วยกระตุ้นตลาดหุ้นและกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ให้ขยับตัวสูงขึ้น ส่วนหุ้นใหม่ที่จะเข้าจดทะเบียนอีก 20-30 บริษัทจะมีผลต่อตลาด 10% เพราะจะทำให้มูลค่าตลาดเพิ่มขึ้น ขณะที่อัตราการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนมีน้ำหนักต่อตลาด 5% โดยคาดว่ากำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในปี 2549 จะขยายตัว 5-8 %
ตัวเลขทางเศรษฐกิจมีน้ำหนักต่อตลาดหุ้น 10% เพราะยังสะท้อนว่าเศรษฐกิจโดยรวม อ่อนแอ แต่มีบางภาคที่แข็งแกร่ง และสุดท้ายการเปิดซื้อขายของตลาดอนุพันธ์มีน้ำหนักต่อตลาด 5% แต่จะส่งผลให้การซื้อขายในตลาดหุ้นผันผวนมากกว่าเดิม แต่จะทำให้มูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้นด้วย
นางสาววชิราลักษณ กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2549 คาดว่าปรับขึ้น 60 จุด ส่งผลให้เคลื่อนไหวระหว่าง 680-740 จุด แต่ในเดือนมีนาคมตลาดหุ้นอาจจะมีการปรับตัวบ้าง ดังนั้นการลงทุนในช่วง 3 เดือนแรกของปีหน้า แนะนำให้นักลงทุนเลือกซื้อหุ้นธนาคารได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ เพราะคาดว่าจะมีรายได้จากการปล่อยกู้ในตลาดซื้อคืนพันธบัตร จากการที่อัตราดอกเบี้ยอาร์พีจะมีการปรับเพิ่มขึ้น โดยมีราคาเป้าหมายที่ 120 บาท
ทรีนิตี้ยังแนะนำให้ลงทุนในหุ้นธนาคารนครหลวงไทย เพราะเป็นอีกธนาคารหนึ่งที่ได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยอาร์พี รวมทั้งยังมีเงินกองทุนขั้นที่ 1 มากที่สุดในกลุ่มธนาคารประมาณ 9.6% ซึ่งมากกว่าธนาคารกสิกรไทยที่มี 8% ราคาเป้าหมายของธนาคารนครหลวงไทยอยู่ที่ 68 บาท
สำหรับหุ้นกลุ่มพลังงานที่แนะนำคือ ปตทสผ. เพราะคาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรจะสูงถึง 40% จากปีก่อน โดยราคาเป้าหมายปี 2549 อยู่ที่ 530 บาท ส่วนหุ้นที่จะได้รับผลดีจากโครงการเมกะโปรเจ็ค คือสหวิริยาสตีลคาดว่าจะมียอดขายเพิ่ม และ ช.การช่าง ที่ปริมาณงานก่อสร้างจะเพิ่มขึ้น
ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จัดทัพผู้บริหาร นำทีมโดย นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, อาจารย์วันชัย ธัญญศิริ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจและงานวิจัยด้านเทคนิค ร่วมด้วยดร.สมจินต์ ศรไพศาล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตราสารอนุพันธ์ และพงศ์พันธุ์ อภิญญากุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัย มาจับเข่าเม้าท์เรื่องหุ้นในหัวข้อ “จับกระแสหุ้นและอนุพันธ์ปี 49 กับกิมเอ็ง”
นายมนตรี เปิดเผยว่า สำหรับภาพรวมของตลาดหุ้นในปี 49 นั้น เชื่อว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้น ตลาดยังมีความน่าสนใจอยู่มาก จากการที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต หรือ กฟผ. จะนำหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ
“เราได้ตามติดสภาวะเศรษฐกิจมาโดยตลอด ซึ่งจากการวิเคราะห์เศรษฐกิจเดือนตุลาคมที่ผ่านมาพบว่ามีแนวโน้มที่เศรษฐกิจจะดีขึ้นในปี 49 จากการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ของ กฟผ. และราคาหุ้นที่มีราคาถูกกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ที่ P/E Ratio 9 เท่า ”
นอกจากนี้ ข่าวเรื่องธนาคารกลางที่อาจจะปรับให้มีการยืดหยุ่นค่าเงินบาทมากขึ้น อีกทั้งข่าวเรื่องการขาดดุลการค้าของสหรัฐ ยังเป็นอีกสองปัจจัยสำคัญที่จะส่งดีให้ตลาดหุ้นโตขึ้น
“ข่าวเรื่องธนาคารกลางที่อาจจะมีการปรับค่าเงินบาท และข่าวเรื่องการขาดดุลการค้าของสหรัฐจะส่งผลดีให้กับตลาดหุ้นไทย หากจีนมีดุลการค้าเกินดุล ค่าเงินหยวนจะแข็งขึ้น ช่วยให้ประชากรจีนหันมาทำการค้าขายกับต่างชาติมากขึ้นกลายเป็นตลาดขนาดใหญ่ และหากค่าเงินหยวนแข็งขึ้นในระดับที่เหมาะสม ค่าเงินบาทก็จะแข็งค่าขึ้นเช่นเดียวกัน ต่างชาติจะเริ่มเข้ามาทำการค้าในไทยมากขึ้นอันจะก่อให้เกิดผลดีต่อตลาดเงิน และตลาดหุ้น ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวก”
นายมนตรีกล่าวเสริมว่า แม้ตลาดหุ้นจะมีแนวโน้มกลับมาบูมอีกครั้ง แต่นักลงทุนต้องมีความรู้หลายด้าน เช่น เรื่องการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานระดับชาติก่อนเจาะลึกลงสู่รายอุตสาหกรรม และรายผลิตภัณฑ์ รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยน และสภาวะเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ต้องพิจารณาปัจจัยหลัก 2 ประการ คือ ต้องรู้จักตัวเองว่าเป็นนักลงทุนประเภทใด ส่วนผู้ที่ชอบลงทุนในหุ้นเกี่ยวกับ น้ำมันหรือธนาคารต้องไม่ลืมคำนึงถึง เรื่องความผันผวน และเรื่องการกระจายความเสี่ยง
“การลงทุนไม่ใช่การเล่นพนัน ผู้เล่นต้องมีความรู้ และข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกทั้งต้องดูว่าเราเป็นคนที่ชอบลงทุนในหุ้นประเภทไหน ระยะสั้น หรือระยะยาว และสำหรับผู้ที่ชอบลงทุนในหุ้นน้ำมัน หรือธนาคาร ให้ระวังเรื่องราคาน้ำมัน และต้องคำนึงถึงเรื่องการกระจายความเสี่ยง เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีความผันผวนตลอดเวลา”
ขณะที่ นายพงศ์พันธุ์ กล่าวถึงภาพรวมของตลาดหุ้นในระยะ 3 เดือนที่ผ่านมาว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา วิเคราะห์ตลาดได้ยาก เนื่องจาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ เรื่องการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ อาทิ ราคาน้ำมัน และวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น จากอุปสงค์ที่เปลี่ยนไป และปัจจัยที่ตลาดหุ้นในประเทศมีการเปลี่ยนแปลง คือ นักลงทุนใช้เหตุผลเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจลงทุนมากขึ้น
แต่ยังเชื่อว่าปี 49 นี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแนวโน้มที่ดีขึ้น นักลงทุนกล้าเข้ามาเล่นหุ้นมากขึ้น จากประสบการณ์ของคอหุ้นเอง ประกอบกับมีหุ้นหลากหลายประเภทให้เลือกมากขึ้น รวมถึงเรื่องค่าเงินสกุลต่างๆ ที่จะแข็งค่าขึ้น เช่น เงินดอลลาร์ และเงินเยน
ส่วน พงศ์พันธุ์ ชู หุ้นธนาคารกรุงไทย เป็นหุ้นน่าลงทุน เนื่องจาก ธนาคารกรุงไทย เป็นธนาคารที่มีรัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จึงสามารถจัดการบริหารหนี้ NPL ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะมีบางช่วงที่แกว่งตัว แต่เชื่อว่าจะโตกว่าราคาตลาด
ด้านหุ้นที่เหมาะแก่การลงทุนในระยะสั้น พงศ์พันธุ์ ฟันธง ที่กลุ่มธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ และยางมะตอย ได้แก่ KCE ที่มี Margin กว่า 20 ล้านบาท, Delta ที่สามารถทำกำไรในไตรมาสแรกของปี 48 กว่า 700 ล้านบาท และจ่ายเงินปันผลเต็ม 100% และ ทาชโก้ ที่มี PE Ratio 8 เท่า และมีโอกาสทำกำไรได้มากถึง 2-3 เท่า
สำหรับหุ้นเด่นปี 49 อาจารย์วันชัย ธัญญศิริ แนะหุ้นในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการใช้ น้ำมัน เช่น AOT และ หุ้นในกลุ่มธุรกิจทางด่วนอย่าง BMCL ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานยังดีอยู่แต่ต้องลงทุนในระยะกลาง นอกจากนี้ การที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มจะไต่ระดับขึ้นอีก 2% จึงควรลงทุนในหุ้นที่ได้รับผลกระทบไม่มาก แต่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือ หุ้นในกลุ่มธุรกิจธนาคาร เช่น หุ้นธนาคารกรุงเทพ และหุ้นของธนาคารทหารไทย--จบ--