กรุงเทพฯ--23 ก.ย.--โอเอซิส มีเดีย
ตลอดปี 2548 ที่ผ่านมา ปัจจัยลบต่างๆที่มีผลกระทบต่อภาพรวมของธุรกิจอสังหาฯและธุรกิจรับสร้างบ้านเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่ผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิเมื่อปลายปีแล้ว ซึ่งเขย่าความมั่นใจของผู้ประกอบการในภาคธุรกิจรับสร้างบ้าน จนต่างต้องชะลอแผนขยายสาขาออกไปโดยเฉพาะที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งก่อนหน้านั้นมีผู้ประกอบการหลายรายต่างให้ความสนใจ และได้ทำการลงสำรวจพื้นที่และตลาดมาแล้ว อาทิ เช่นปทุมดีไซน์ ดิ เอ็มเพอเร่อ เฮ้าส์ เป็นต้น
ปัจจัยกระทบอันดับต่อมาคือ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งในส่วนของบริษัทรับสร้างบ้านถือว่าได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก เนื่องจากลักษณะของงานที่มิได้รวมอยู่ในโครงการเดียวกันเหมือนบ้านจัดสรร ทำให้มีค่าขนส่ง ค่าควบคุมและบริหารงานก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้น ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องมีการปรับราคาขายบ้านตามต้นทุน ขณะเดียวกันแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ก็มีทิศทางเพิ่มขึ้น เป็นผลให้ผู้บริโภคส่วนหนึ่งจึงต้องชะลอเวลาการตัดสินใจออกไป
จากปัจจัยที่มีผลกระทบและภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทย ที่ตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดเริ่มติดลบให้เห็น ขณะเดียวกันคาดว่าอัตราการเติบโตของ GDP ในปีนี้น่าจะเติบโตได้เพียง 4.4 % เท่านั้น ย่อมจะชี้ให้เห็นถึงภาพรวมของธุรกิจที่ถดถอยลง โดยเฉพาะภาคธุรกิจอสังหาฯและธุรกิจก่อสร้าง ดังนั้นผู้ประกอบการต่างก็ต้องมีความระมัดระวังมากขึ้นในการขยายตลาด หรือบางส่วนอาจจะต้องชะลอแผนงานที่จะลงทุนเอาไว้ก่อน เพื่อศึกษาความต้องการและกำลังซื้อของผู้บริโภค รวมทั้งการคาดการณ์ทิศทางและภาพรวมเศรษฐกิจให้แม่นยำมากขึ้น โดยเฉพาะโครงการบ้านจัดสรรประเภทบ้านเดี่ยว ยังมีสต๊อกค้างอยู่ในมือของผู้ประกอบการอีกมากพอสมควร หากไม่ศึกษาตลาดให้ดีอาจทำให้เกิดโอเวอร์ซัพพลายขึ้นได้
สำหรับกลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้าน แม้ว่าในภาพรวมจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยข้างต้น แต่ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ยังถือว่ามีข้อได้เปรียบหรือมีจุดเด่น ที่ยังสามารถเรียกกำลังซื้อหรือกระตุ้นความต้องการจากผู้บริโภคได้มากกว่าบ้านจัดสรร โดยมีข้อแตกต่างขอสินค้าที่ชัดเจนก็คือ 1.เรื่องคุณภาพสินค้า 2.การบริการ 3.ราคา เมื่อเปรียบเทียบกับบ้านจัดสรรแล้วสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้มากกว่า เพียงแต่ด้อยกว่าในเรื่องทำเลที่ตั้งและสภาพแวดล้อมโครงการ เพราะบริษัทรับสร้างบ้านไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากลูกค้าต้องเป็นผู้ซื้อที่ดินเอง จึงจะมาว่าจ้างปลูกสร้างบ้านได้
โดยในปีนี้กลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้านประเมินกันว่าจะเห็นตัวเลขหรือจำนวนหน่วยที่อาจจะสวนทางกันระหว่าง บ้านจัดสรรกับบ้านสร้างเอง เนื่องจากเป็นที่เข้าใจกันดีว่าตลาดบ้านจัดสรรในปีนี้จะเติบโตน้อยกว่าปีที่แล้ว แต่ในขณะที่บ้านสร้างเองหรือตลาดรับสร้างบ้านนั้น ได้สร้างการรับรู้และมีการกระตุ้นกำลังซื้ออย่างต่อเนื่องตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ปริมาณและมูลค่าตลาดเติบโตกว่าปีก่อนประมาณ 15 % หรือประมาณ 7,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
ผู้ประกอบการธุรกิจรับสร้างบ้านเร่งปรับตัว
ถึงแม้ว่าภาพรวมของเศรษฐกิจจะมีปัจจัยลบมากระทบ และทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อตั้งรับสถานการณ์ที่ยังไม่สามารถคาดเดาได้ทั้งหมด แต่ส่วนหนึ่งก็ยังได้เห็นว่าบรรดาผู้ประกอบการในธุรกิจรับสร้างบ้านมีการปรับตัวทั้งการรับและการรุกอย่างมีเป้าหมาย โดยเฉพาะในภาวะที่ผู้บริโภคขาดความมั่นใจและมีความหวาดระแวงในตัวผู้ประกอบการที่ขาดความน่าเชื่อถือ จะพบว่ากลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้านชั้นนำ มิได้ตกอยู่ในสถานการณ์ตั้งรับแต่อย่างเดียว โดยเฉพาะการรวมพลังเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและเพิ่มอำนาจการต่อรองมากขึ้น หรือการรุกขยายตลาดช่องใหม่ ๆ เช่น ร่วมมือกับเจ้าของที่ดินพัฒนาที่ดินและเป็นผู้รับสร้างบ้านให้ลูกค้าเอง นอกจากนี้ยังพบว่ามีบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลาง ร่วมมือกันสร้างเครือข่ายและพันธมิตร เพื่อสามารถให้บริการรับสร้างบ้านครอบคลุมพื้นที่ทั้งกรุงเทพฯและต่างจังหวัดมากขึ้น
นอกจากนี้ในด้านการตลาดยังปรับมาให้ความสำคัญต่อการเจาะกลุ่มลูกค้าโดยตรงผ่านกลยุทธ์ในรูปแบบ Below The Line อาทิ การจัดงานอีเว้นต์ เพื่อเจาะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรง ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการจัดงานดังกล่าวถึง 2 ครั้ง ในช่วงต้นเดือนมกราคม และ เดือนสิงหาคม 2548
สิ่งต่างๆเหล่านี้ถือเป็นแนวคิดและวิธีบริหารธุรกิจ ของผู้บริหารรุ่นใหม่ในกลุ่มธุรกิจนี้ที่น่าสนใจและน่าติดตามผลงาน เช่นปี 2548 นี้มีการวางกลยุทธ์แข่งขันระหว่างกัน เรื่องการดีไซน์ผลิตภัณฑ์หรือออกแบบบ้านใหม่สู่ตลาดซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และหากมีการวางแนวทางให้ผู้ประกอบการแข่งขันอย่างต่อเนื่องได้ในระยะยาว จะเป็นประโยชน์ทั้งต่อภาพรวมธุรกิจและผู้บริโภค ที่จะได้สินค้าที่ดีมีคุณภาพมากขึ้น และผู้บริโภคก็จะได้สินค้าและบริการดังต้องการ
แนวโน้มปี 2549 รับสร้างบ้านหวังโต 25%
จากข้อมูลตัวเลขยอดขายตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา ของกลุ่มบริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำ(ประมาณ 20 กว่า บริษัทฯที่ครองตลาดรับสร้างบ้านในเขตกรุงเทพปริมณฑลและจังหวัดใกล้เคียงไว้ประมาณ 70 %) โดยส่วนใหญ่ต่างพอใจกับตัวเลขยอดขายที่ได้มาแล้ว จะมีบ้างไม่กี่รายที่ยังมียอดขายต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้แต่มากมากนัก ซึ่งยังพอมีเวลาที่จะกระตุ้นและเร่งยอดขายในช่วงเวลาไตรมาสสุดท้ายได้ทัน ทั้งนี้ก็เพราะว่าช่วงเวลานี้ถือเป็นช่วงที่ผู้บริโภคจะตัดสินใจสร้างบ้านมากกว่าในครึ่งปีแรก และลูกค้าหรือผู้บริโภคที่อยู่ในระหว่างตัดสินใจรู้ดีว่าหากตัดสินใจช้า อาจจะต้องจ่ายแพงกว่าเดิมเพราะผู้ประกอบการจะปรับราคาอีกครั้งช่วงต้นปี 2549
สำหรับแนวโน้มตลาดรับสร้างบ้านในปี 2549 นั้น คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดีเนื่องจากภาพรวมของความเชื่อมั่นต่อธุรกิจนี้มีความชัดเจนมากขึ้น ภายหลังจากที่มีการจัดตั้งสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านขึ้นมา โดยสมาคมฯมีการโหมจัดกิจกรรมและประชาสัมพันธ์มาตลอด 2 ปี และในปี 2549 ก็ยังมีนโยบายต่อเนื่องที่จะดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อชี้ให้ผู้บริโภคได้เห็นถึงความแตกต่างของสินค้าและบริการ เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ประกอบการรับเหมารายย่อยและโครงการบ้านจัดสรร รวมถึงการสร้างแบรนด์รับสร้างบ้านให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของประชาชนที่ต้องการมีที่อยู่อาศัย
ปี 2549 ผู้ประกอบการในสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ตั้งเป้าที่จะแชร์ตลาดบ้านสร้างเองมาจากผู้ประกอบการรับเหมารายย่อยอยู่ที่ประมาณ 8,500 ล้านบาท จากมูลค่ารวมประมาณ 35,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 24 % ของมูลค่าตลาดรวม โดยมีมูลค่าเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 25 % (ปี 2547 มูลค่า 7,000 ล้านบาท) แม้ว่าตัวเลขที่ตั้งเป้าเติบโตไว้ถึง 25 % อาจดูจะสูงมาก เมื่อเปรียบเทียบกับภาวะเศรษฐกิจและการบริโภค แต่มูลค่าที่เพิ่มขึ้นนั้นมาจาก 2 ทางคือ มูลค่าจากปริมาณหน่วยที่เพิ่มขึ้น และมูลค่าจากราคาบ้านที่ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาขายบ้านอันเป็นผลมาจากต้นทุนค่าก่อสร้างที่สูงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อสถานการณ์ที่ผู้บริโภคต้องการความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการที่เป็นมืออาชีพ
สำหรับปัจจัยด้านราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นจากผลกระทบราคาน้ำมันนั้น ยังถือว่าไม่น่าเป็นห่วงมากนักสำหรับผู้ประกอบการในธุรกิจรับสร้างบ้าน เพราะสามารถจะชี้แจงเหตุผลให้ผู้บริโภคเข้าใจได้ เพียงแต่กำลังซื้อส่วนหนึ่งอาจจะต้องชะลอหรือเลื่อนเวลาตัดสินใจออกไป เพื่อให้พร้อมต่อการซื้อสินค้าในราคาใหม่ อย่างไรก็ดีคาดว่าราคาวัสดุก่อสร้างยังไม่น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น เพราะว่าภาคธุรกิจบ้านจัดสรรมีความต้องการใช้วัสดุลดลงมาก และที่ผ่านมาราคาวัสดุก่อสร้างหลายชนิดก็มีการปรับราคาเพิ่มในช่วง 2 — 3 ปีก่อนหน้านี้แล้ว
นายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานกรรมการ บริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลอป จำกัด เปิดเผยว่า โดยรวมแล้วจะยังคงให้ความสำคัญกับการขยายพื้นที่การให้บริการรับสร้างบ้านออกไปยังต่างจังหวัด เหตุผลก็คือ 1.การแข่งขันมีน้อย 2.ต้องการสร้างการรับรู้แบรนด์ ปทุมดีไซน์ และแบรนด์รับสร้างบ้านให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น 3.เพื่อตอบนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อสูงในต่างจังหวัด 4.เพื่อเป็นการส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรขององค์กรให้มีโอกาสเติบโตควบคู่ไปกับองค์กร และ 5.เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ในการก้าวขึ้นมาติดอันดับ Top 5 ในกลุ่มบริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำและรักษาลำดับไว้ตลอดไป
ทั้งนี้บริษัทมิได้มองถึงมูลค่าหรือส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่มีความหมายรวมถึงมูลค่าเพิ่มของสินค้า แบรนด์สินค้า และการยอมรับของผู้บริโภคที่จะมีแบรนด์ ปทุมดีไซน์ อยู่ในใจในลำดับแรกๆ ทั้งนี้บริษัทฯ ก็คงจะต้องมีการพัฒนาทั้งสินค้า การบริการ ให้แตกต่างและเป็นที่พอใจแก่ลูกค้ามากยิ่งขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาเน้นกลยุทธ์การพัฒนาสินค้าที่แตกต่าง (การเลือกใช้วัสดุสร้างบ้านที่ทันสมัยและมีคุณภาพสูง) การบริการหลังการขายที่ตอบสนองความต้องการอย่างครอบคลุม รวมทั้งให้การรับประกันคุณภาพและการดูแลบำรุงรักษาสภาพบ้านนานถึง 3 ปี ซึ่งจากผลสำรวจพฤติกรรมของลูกค้าที่เลือกใช้บริการสร้างบ้านกับบริษัทแล้ว ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญและพอใจกับบริการของ ปทุมดีไซน์ ที่ให้มากกว่าและแตกต่างจากคู่แข่งขันในตลาด
นายสิทธิพร กล่าวต่อไปว่า สำหรับปีนี้แผนการขยายสาขาในต่างจังหวัด ไม่สามารถขยายออกไปได้ตามแผนที่วาไว้ ทั้งนี้เกิดจากภาวะเศรษฐกิจและปัจจัยที่ส่งผลกระทบมาตั้งแต่ต้นปี 2548 รวมถึงการที่บริษัทหันไปขยายเครือข่ายธุรกิจที่ต่อเนื่องกับธุรกิจรับสร้างบ้านได้แก่ 1.บริษัทออกแบบ 2.บริษัทจำหน่ายและติดตั้งวัสดุก่อสร้างระบบโครงหลังคา และ 3.บริษัทออกแบบและตกแต่งสวน ไปก่อนหน้านี้หรือเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าของ ปทุมดีไซน์ เองและบริษัทพันธมิตร อย่างไรก็ดีในปี 2549 จะผลักดันให้สามารถขยายสาขาในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 2 — 3 สาขาเป็นอย่างน้อย เพื่อจะขยายฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้นตามเป้าที่วางไว้
ที่มา : ฝ่ายการตลาด บริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป จำกัด
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net--จบ--