กรุงเทพฯ--26 มิ.ย.--คต.
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2552 สหภาพยุโรปจะเริ่มบังคับใช้ระเบียบสินค้าอินทรีย์ฉบับใหม่ (Council Regulation (EC) No 834/2007) แทนระเบียบเดิม (Council Regulation (EC) No 2092/91) ที่ใช้มาแล้วกว่า 15 ปี โดยการปรับปรุงกฎระเบียบการนำเข้าจากประเทศที่สาม ระบบการตรวจสอบ และการใช้ตราสัญลักษณ์ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นและสอดประสานกันระหว่างประเทศสมาชิก โดยระเบียบสินค้าเกษตรอินทรีย์ฉบับใหม่ดังกล่าว สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. ห้ามใช้ GMOs และผลิตภัณฑ์ที่ได้จาก GMOs รวมถึงการใช้รังสีประเภท Ionizing Radiation ในกระบวนการผลิตสินค้าอินทรีย์
2. สินค้าอินทรีย์ที่บรรจุในบรรจุภัณฑ์ (Organic prepackaged products) ที่ผลิตในสหภาพยุโรปทั้งหมด ต้องใช้ตราสัญลักษณ์ EU organic logo แทนตราสัญลักษณ์แบบเดิมที่เป็นตราสัญลักษณ์แบบสมัครใจ
ตราสัญลักษณ์เดิม ตราสัญลักษณ์ใหม่
สำหรับสินค้าอินทรีย์ที่ไม่ได้บรรจุในบรรจุภัณฑ์ (Non - prepackaged organic products) ที่ผลิตในสหภาพยุโรปหรือ สินค้านำเข้าที่ผลิตจากนอกสหภาพยุโรป การติดฉลากให้เป็นไปตามสมัครใจ นอกจากนี้ประเทศสมาชิกสามารถใช้ national และ private logos เพิ่มเติมได้
3. กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับระบบควบคุม (Control system) ที่แต่ละประเทศสมาชิกจะต้องจัดตั้งขึ้นมา เพื่อให้การดำเนินการตามกฎระเบียบฉบับใหม่ ซึ่งเป็นกฎระเบียบกลางเป็นไปอย่างสอดประสานกัน โดยระบบควบคุมต้องสามารถบ่งบอก Traceability ของสินค้าแต่ละตัวในทุกขั้นตอนการผลิตและการจัดจำหน่าย
4. ในส่วนการนำเข้าจากประเทศที่สาม สหภาพยุโรปต้องจัดทำรายชื่อหน่วยงานตรวจสอบรับรองสินค้าอินทรีย์ในประเทศที่สามใหม่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือของคณะกรรมการด้านกฎระเบียบ
5. การยื่นและพิจารณาขอเสนอเป็นประเทศที่ได้รับการรับรองความเท่าเทียมกันของระบบการผลิตและการตรวจสอบสินค้าเกษตรอินทรีย์ (Recognized third countries) จะต้องดำเนินการตามระเบียบ (Commission Regulation (EC) No 345/2008) โดยมีรายละเอียดข้อมูลที่ต้องยื่นให้คณะกรรมาธิการยุโรปพิจารณา คือ ชนิดและปริมาณที่จะส่งเข้ามาในสหภาพยุโรป กฎการผลิตที่ใช้ ระบบการตรวจรับรอง รวมถึงรายการการตรวจสอบในประเทศผู้ยื่นคำขอ
ทั้งนี้ สหภาพยุโรปกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อออกระเบียบปฏิบัติที่รองรับระเบียบดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะสามารถจัดทำได้แล้วเสร็จประมาณเดือนกรกฎาคม 2551 ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงควรติดตามความคืบหน้าของระเบียบสินค้าเกษตรอินทรีย์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถปรับตัวในด้านการผลิตและจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ไปสหภาพยุโรปได้อย่างถูกต้อง เมื่อระเบียบดังกล่าวประกาศใช้