กรุงเทพฯ--1 ก.ค.--เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป
การผนึกกำลังทางธุรกิจ ระหว่างบริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) (MPIC) ผู้บริหารจัดการลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ระดับแนวหน้า โดยเฉพาะภาพยนตร์ต่างประเทศจากค่ายอิสระ บริษัท แปซิฟิค มาร์เก็ตติ้ง แอนด์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ กรุ๊ป จำกัด (PMEG) ผู้จำหน่ายภาพยนตร์รายใหญ่ สู่ตลาด Home Entertainment โดยเน้นภาพยนตร์จากค่ายใหญ่จากฮอลลีวู้ด หรือที่เรียกว่า ค่าย Major Studio และ บริษัท มีเดีย เน็ตเวิร์ก รีเทล จำกัด (MNR) ผู้บริหารช่องทางการขายสู่ตลาดรายย่อย ซึ่งมี Outlet กระจายสินค้ามากกว่า 150 จุดขายทั่วประเทศ
ก้าวสำคัญของการผนึกกำลังทางธุรกิจของ MPIC ในครั้งนี้ เกิดขึ้นจากแนวคิดของ MPIC และ กลุ่มเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ (MAJOR) ที่ต้องการจะขยายเพื่อต่อยอดธุรกิจในปัจจุบันให้เป็นผู้บริหารจัดการลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ที่ครบวงจรจากธุรกิจต้นน้ำถึงปลายน้ำ และให้เกิดประสิทธิภาพเชิงการค้าและการบริหารจัดการสูงสุด โดยเริ่มตั้งแต่การจัดหา (ซื้อ) ลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ การนำภาพยนตร์เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ การผลิตเป็นสินค้าVCD, DVD ออกจำหน่ายสู่ตลาด Home Entertainment และการมี Outlet ที่รองรับและดูแลสินค้าออกสู่ทุกตลาดให้ถึงมือผู้ซื้ออย่างกว้างขวาง
ด้วยแนวคิดดังกล่าว จึงเกิดการจับมือกันร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจระหว่าง MPIC กับ PMEG และ MNR สำหรับ MNR นั้นเป็นพันธมิตรใหม่ที่จะเข้ามาช่วยเสริมฐานด้าน Outlet ของสินค้า Home Entertainment ซึ่งปัจจุบันมีจุดขายกระจายอยู่มากกว่า 150 จุดขายทั่วประเทศ
ในด้านการจัดหา (ซื้อ) ลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ ซึ่งหลังการร่วมมือกันของ MPIC และ PMEG จะทำให้ทางกลุ่มฯ เป็นผู้บริหารจัดการลิขสิทธิ์รายใหญ่ ที่มีภาพยนตร์จำหน่ายเป็นจำนวนมากและครอบคลุมภาพยนตร์จากทั้งค่ายใหญ่ ๆ ชั้นนำจากฮอลลีวู้ด (Major Studio) ได้แก่ Paramount, Sony, Buena Vista (หรือ Disney), DreamWorks และภาพยนตร์จากค่ายหนังอินดี้ ในตลาดอเมริกาและตลาดหนังเอเชีย รวมถึงแผนจะลงทุนสร้างหนังไทยเพื่อป้อนเข้าสู่ตลาด สามารถตอบสนองความต้องการชมภาพยนตร์ที่หลากหลายของผู้ชมได้ทุกตลาด
ในด้านการเพิ่มมูลค่าให้กับภาพยนตร์ MPIC ได้รับกำลังการสนับสนุนที่ดีและเข้มแข็งจาก MAJOR ให้คัดสรรนำภาพยนตร์เข้าฉายในเครือโรงภาพยนตร์ของเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ทั้ง 4 แบรนด์ ได้แก่ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์, อีจีวี, พารากอน ซีนีเพล็กซ์ และ เอสพลานาด ซีนีเพล็กซ์ ที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ รวม 41 สาขา
322 โรง ซึ่งจากการที่ภาพยนตร์ได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์นั้นถือเป็นกลยุทธ์การทำโปรโมชั่นให้กับหนังให้เป็นที่รู้จักได้เป็นอย่างดี โดยส่งผลต่อเนื่องไปถึงการสร้างกระแสความนิยมของภาพยนตร์เรื่องนั้น ๆ ในตลาด Home Entertainment รวมถึงช่องทางการขายช่องทางอื่น ๆ ด้วย เช่น เคเบิล ทีวี และฟรี ทีวี เป็นต้น
การรุกเข้าสู่การทำตลาดในระดับ retail โดยได้พันธมิตรใหม่ คือ MNR ที่ปัจจุบันมี Outlet จำหน่ายสินค้า Home Entertainment ทั่วประเทศรวมกว่า 150 สาขา ซึ่งกระจายอยู่ในเทสโก้ โลตัส, บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์, คาร์ฟูร์, ท๊อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต, เซ็นทรัล, เดอะมอลล์, โรบินสัน, สยามพารากอน, จัสโก้ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้บริหารพื้นที่ขายใน Lotus Express กว่า 300 แห่ง รวมถึงช่องทางการจำหน่ายผ่านทางร้านสะดวกซื้อ 7-11 กว่า 4,400 สาขานั้น เชื่อได้ว่าจะช่วยให้ MPIC ทำตลาด retail อย่างมีชั้นเชิงโดยอาศัยความเข้าใจในพฤติกรรมของลูกค้าประกอบการตัดสินใจกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดให้เหมาะกับแต่ละกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
การเข้าร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในครั้งนี้ ทาง MPIC จะเข้าทำรายการโดยการเพิ่มทุนเพื่อซื้อ PMEG และ MNR พร้อม ๆ กับการเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม เพื่อสำรองใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน โดยภายหลังการทำรายการนั้น MPIC จะถือหุ้น 100% ใน PMEG และ MNR
ก่อนหน้านี้ MAJOR ถือหุ้นอยู่ใน MPIC ในสัดส่วน 41 % และหลังทำรายการ MAJOR จะถือหุ้น MPIC ในสัดส่วน 45 %
สัดส่วนการแลกหุ้นจะเป็น 9.23 หุ้นใหม่ต่อ 1 หุ้น PMEG และ 17.625 หุ้นใหม่ต่อ 1 หุ้น MNR โดยในการแลกหุ้นนี้จะใช้ราคาหุ้นใหม่ของ MPIC ที่ 4.28 บาทต่อหุ้น ส่วนหุ้นเพิ่มทุนที่จัดสรรให้ผู้ถือหุ้นเดิมนั้นกำหนดราคาที่ 3.33 บาท โดยมีส่วนลด 19% จากราคาปิดเฉลี่ยย้อนหลัง 15 วันก่อนวันประชุมบอร์ด บริษัทคาดว่าจะได้เงินจากการเพิ่มทุนครั้งนี้ 300 ล้านบาทซึ่งจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน
ขั้นตอนหลังจากนี้จะเป็นการจัดประชุมผู้ถือหุ้นของ MPIC เพื่ออนุมัติการเข้าทำรายการในช่วงต้นเดือนกันยายน การแลกหุ้นเพื่อซื้อ PMEG และ MNR และการจองซื้อหุ้นของผู้ถือหุ้นเดิมจะเกิดขึ้นพร้อมกันประมาณปลายเดือนกันยายน และคาดว่าหุ้นเพิ่มทุนใหม่จะเข้าเทรดได้ในช่วงต้นเดือนตุลาคม