กรุงเทพฯ--18 พ.ย.--ฟิทช์ เรทติ้งส์
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ให้อันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวที่ระดับ “AA+(tha)” แก่หุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. (ปัจจุบัน ฟิทช์จัดอันดับเครดิตปตท. ที่ระดับ “AA+(tha)”/“F1+(tha)” แนวโน้มเครดิตเป็นบวก) ครั้งที่ 3/2548 และ ครั้งที่ 4/2548 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2554 และ พ.ศ. 2558 โดยมีมูลค่ารวม 1.2 หมื่นล้านบาท
อันดับเครดิตสะท้อนถึงความเป็นผู้นำของปตท.ในธุรกิจก๊าซธรรมชาติและน้ำมันในประเทศไทย ความสำคัญของปตท.ในการสนองนโยบายของรัฐบาลที่เกี่ยวกับความมั่นคงทางด้านพลังงานในประเทศไทย รวมถึงการกำหนดทิศทางการพัฒนากิจการพลังงานของประเทศ อันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่แข็งแกร่งโดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ การสนับสนุนจากรัฐบาล คณะผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจเป็นอย่างดี และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง ปตท.ได้รับประโยชน์จากการเป็นผู้ดำเนินการระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ การจัดหาและการจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติเพียงรายเดียวในประเทศไทย เนื่องจากปตท.มีเครือข่ายระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติที่ครอบคลุมพื้นที่การใช้ก๊าซธรรมชาติเพียงรายเดียวในประเทศ และมีสัญญาการจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติระยะยาวกับผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ทุกรายในประเทศ นอกจากนี้การลงทุนที่สูงในการก่อสร้างระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติได้มีส่วนช่วยจำกัดการแข่งขันจากผู้ลงทุนรายใหม่อีกด้วย ปตท.ยังเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทยโดยผ่านการเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ใน บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) โดยมีปริมาณสำรองปิโตรเลียมมากที่สุด และมีปริมาณการผลิตปิโตรเลียมสูงเป็นอันดับที่สองในประเทศไทย ปตท.ยังเป็นผู้จัดหาและจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในประเทศไทยเกือบทั้งหมด และเป็นผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่ในธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) และธุรกิจน้ำมัน โดยมีส่วนแบ่งการตลาดที่ระดับประมาณ 37% และ 33% ตามลำดับในปี 2547 ขณะที่ธุรกิจก๊าซธรรมชาติเป็นธุรกิจที่สำคัญสำหรับปตท.ในการสร้างกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) และยังสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานซึ่งค่อนข้างคงที่ บริษัทยังมีแผนขยายการลงทุนมากขึ้นในส่วนของธุรกิจปิโตรเคมีและน้ำมันซึ่งเป็นธุรกิจที่มีความผันผวนกว่าธุรกิจก็ซธรรมชาติ ซึ่งถึงแม้ปตท.จะได้ประโยชน์จากธุรกิจที่ครบวงจรมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการลงทุนดังกล่าวอาจทำให้ปตท.มีความเสี่ยงทางด้านเครดิตเพิ่มขึ้นในระยะปานกลาง
ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติของประเทศที่เติบโตอย่างต่อเนื่องและราคาน้ำมันที่สูงเป็นปัจจัยสนับสนุนผลการดำเนินงานของปตท. โดยในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2548 ปตท. มี EBITDA เท่ากับ 8.68 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 48% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ในขณะที่สถานะทางการเงินของปตท.ยังคงแข็งแกร่งอันเนื่องจากผลกำไรที่เพิ่มขึ้น โดยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA อยู่ที่ระดับ 1.1 เท่า ณ สิ้นไตรมาสสามปี 2548 (เทียบกับ 1.4 เท่า ณ สิ้นปี 2547 ) และมีอัตราส่วน EBITDA ต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ระดับ 13.2 เท่าในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2548 (เทียบกับ 9.4 เท่า ในปี 2548)
อันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงแผนการลงทุนในอนาคตของปตท.ที่มีขนาดใหญ่ ความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจของบริษัทต่อความผันผวนของราคาน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และอัตราแลกเปลี่ยน อีกทั้งยังมีความเสี่ยงในการเปลี่ยนแปลงทางด้านกฎระเบียบและทางด้านการเมืองซึ่งเห็นได้จากการที่ปตท.ได้ทำตามแนวทางของรัฐบาลในการนำส่วนลดค่าก็ซธรรมชาติในอนาคตมาปรับลดราคาขายก็ซธรรมชาติให้กับบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) และผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ ปตท. มีแผนการลงทุนในโครงการต่างๆมูลค่า 2.12 แสนล้านบาทหรือ 5.6 พันล้านดอลล่าร์ในช่วงปี 2548 ถึง 2552 โดยร้อยละ 74 เป็นการลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ นอกจากนี้ ปตท. ยังได้เข้าทำสัญญาที่จะซื้อหุ้น 31.5% ของบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) ด้วยเงินลงทุน 2.03 หมื่นล้านบาท และการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ด้วยเงินลงทุนประมาณ 4.0 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทจะอยู่ในช่วงที่มีการลงทุนสูงโดยเฉพาะช่วงปี 2548 ถึง 2550 ปตท.คาดว่าภาระหนี้สินสุทธิของบริษัทจะเพิ่มขึ้นในระดับที่ไม่สูงมากนักเนื่องจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิของบริษัทน่าจะอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 2.0 เท่าของ EBITDA ในช่วงสามปีข้างหน้า
แนวโน้มเครดิตเป็นบวกของปตท. สะท้อนถึงผลประกอบการของบริษัทที่ดีเกินความคาดหมายโดยได้รับอานิสงส์จากระดับราคาน้ำมันที่สูง และการคาดหมายว่าปตท.จะนำเงินสดส่วนเกินที่ได้ไปขยายการลงทุนต่อในธุรกิจหลักและยังสามารถรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งได้ในอนาคต ปัจจัยลบที่อาจมีผลกระทบต่อแนวโน้มเครดิตของปตท. อาจมาจากการขยายการลงทุนในส่วนของธุรกิจปิโตรเคมีและน้ำมันซึ่งเป็นธุรกิจที่มีความผันผวนสูงและความเสี่ยงที่เกิดจากระดับการลงทุนในโครงการใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
ในปี 2544 ปตท.ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และรัฐบาลได้ขายหุ้นของปตท.ออกไปบางส่วน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของปตท. โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นโดยตรงที่ระดับ 52% และเป็นที่คาดการณ์ว่ารัฐบาลจะยังคงรักษาความเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของปตท.ต่อไป ปตท.เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยโดยมีมูลค่าตลาดสูงถึง 6.15 แสนล้านบาท ณ สิ้นเดือนตุลาคม ปี 2548
ติดต่อ
เลิศชัย กอเจริญรัตนกุล, วสันต์ ผลเจริญ, Vincent Milton +662 655 4755
หมายเหตุ : การจัดอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Ratings) เป็นการวัดระดับความน่าเชื่อถือในเชิงเปรียบเทียบกันระหว่างองค์กรในประเทศนั้นๆ โดยจะใช้ในประเทศที่อันดับเครดิตแบบสากลของรัฐบาลในประเทศนั้นอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ อันดับเครดิตขององค์กรที่ดีที่สุดของประเทศได้จัดไว้ที่ระดับ “AAA” และการจัดอันดับเครดิตอื่นในประเทศ จะเป็นการเปรียบเทียบความเสี่ยงกับองค์กรที่ดีที่สุดนี้เท่านั้น อันดับเครดิตภายในประเทศได้ถูกจัดทำขึ้นเพื่อใช้ในตลาดในประเทศเป็นหลักและจะมีสัญลักษณ์ที่กำหนดไว้ต่อท้ายจากอันดับเครดิตสำหรับประเทศนั้นๆ เช่น “AAA(tha)” ในกรณีของประเทศไทย ดังนั้นอันดับเครดิตภายในประเทศจึงไม่สามารถใช้เปรียบเทียบระหว่างประเทศได้
คำจำกัดความของอันดับเครดิตและการใช้อันดับเครดิตดังกล่าวของ ฟิทช์ เรทติ้งส์ สามารถหาได้จาก www.fitchratings.com อันดับเครดิตที่ประกาศ หลักเกณฑ์และวิธีการจัดอันดับเครดิต ได้แสดงไว้ในเว็บไซต์ดังกล่าวตลอดเวลา หลักจรรยาบรรณ การรักษาข้อมูลภายใน ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้น แนวทางการเปิดเผยข้อมูลระหว่างบริษัทในเครือ กฏข้อบังคับรวมทั้งนโยบายและกระบวนการที่เกี่ยวข้องอื่นๆของฟิทช์ ได้แสดงไว้ในส่วน ‘หลักจรรยาบรรณ’ ในเว็บไซต์ดังกล่าวเช่นกัน--จบ--