กรุงเทพฯ--2 มี.ค.--กทม.
ผุดสถานีรับขยะรีไซเคิล 50 เขต พร้อมศูนย์รีไซเคิลครบวงจร และเร่งตั้งศูนย์บริหารการลดปริมาณขยะใน โรงเรียนและชุมชน ขณะจัดกิจกรรมเชิงรุก ทอดผ้าป่าขยะ การแปรรูปเพิ่มมูลค่าขยะ ให้เยาวชนและประชาชนตระหนักคุณค่าขยะและร่วมรักษาสิ่งแวดล้อม
นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แสดงความมั่นใจในการลดปริมาณมูลฝอยให้ได้อย่างน้อย ร้อยละ 10 ในปีนี้ว่า สามารถทำได้อย่างแน่นอน โดยกทม.จะเร่งจัดตั้งสถานีรับมูลฝอยรีไซเคิลรายย่อย 50 สถานี ในปี 2548 และเพิ่มขึ้นปีละ 50 สถานี พร้อมจัดตั้งศูนย์รีไซเคิลแบบครบวงจรเพื่อรองรับการคัดแยกขยะจากครัวเรือน พร้อมทั้งจัดกิจกรรมส่งเสริมการคัดแยกขยะ เช่น การจัดตลาดนัดขยะชุมชน
ผ้าป่าขยะรีไซเคิล ธนาคารขยะ ขณะเดียวกันก็ศึกษาการแปรรูปขยะเป็นปุ๋ย หรือน้ำสกัดชีวภาพ และเป็นแหล่งพลังงานโดยใช้เทคโนโลยีผสมผสาน
นอกจากนี้ กทม.จะจัดตั้งศูนย์บริหารการลดปริมาณมูลฝอยในโรงเรียนและชุมชน จำนวน 451 แห่ง ในปี 2548 เพื่อปลูกฝังให้เยาวชนและประชาชนมีค่านิยมและทัศนคติที่ดีในการรีไซเคิล และทำขยะให้มีมูลค่าเพิ่ม เช่น ประดิษฐ์สิ่งของจากวัสดุรีไซเคิล การนำเศษอาหาร ผัก ผลไม้ กิ่งไม้ มาทำปุ๋ยหรือขยะหอม อีกทั้งรู้จักใช้วัสดุสิ้นเปลืองเท่าที่จำเป็นเพื่อไม่เป็นการสร้างขยะเพิ่ม และให้มีวัฒนธรรมในการแยกขยะเป็นประเภทต่างๆ ซึ่งเป็นการลดปริมาณมูลฝอยจากต้นทาง ซึ่งจะเป็นการร่วมสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับกรุงเทพฯ เพื่อกรุงเทพฯ เมืองน่าอยู่
นายอภิรักษ์ กล่าวต่อไปว่า นับเป็นปรากฏการณ์ใหม่ ที่ กทม.สามารถลดปริมาณขยะได้ 7.5% ภายใน 5 เดือน จากวันละ 9,400 ตัน/วันเมื่อเดือนกันยายน 2547 เหลือ 8,700 ตัน/วันในเดือนมกราคม 2548 ซึ่งเป็นผลมาจากความร่วมมือของประชาชนส่วนหนึ่งที่เริ่มต้นคัดแยกขยะจากบ้านเรือน แตกต่างจากก่อนหน้านี้ที่มีการประเมินไว้ว่า กทม.จะมีปริมาณขยะเพิ่มขึ้นทุกปีอย่างน้อยปีละ 3.7% ทั้งนี้ ที่ผ่านมากทม.มีต้นทุนในการกำจัดขยะมูลฝอยวันละประมาณ 10 ล้านบาท/วัน หากสามารถลดปริมาณมูลฝอยได้ 10% ตามเป้าหมาย จะช่วยประหยัดงบประมาณได้ถึง 340 ล้านบาท/ปี ซึ่งกทม.สามารถนำเงินส่วนนี้ไปชดเชยค่าธรรมเนียมขยะที่ลดลงตามนโยบายลดค่าธรรมเนียมการเก็บและขนมูลฝอยทั่วไป และนำไปบริหารจัดการมูลฝอยให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น รวมทั้งเป็นการ ส่งเสริมสวัสดิการแก่พนักงานเก็บขน ตลอดจนนำไปใช้ในการพัฒนา กทม.ด้านอื่นๆ ต่อไป--จบ--