กรุงเทพฯ--3 ก.ค.--ก.พลังงาน
พลโท หญิง พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวภายหลังการเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการติดตามการดำเนินการขยายบริการและส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ (NGV) ซึ่งมีนายณอคุณ สิทธิพงศ์ รองปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน และได้รายงานถึงความคืบหน้าของการส่งเสริมการใช้ NGV ว่า ปัจจุบันการขยายบริการและส่งเสริมการใช้ NGV มีความคืบหน้าไปจากเดิมมาก ผลการดำเนินงาน 6 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม-มิถุนายน 2551) ปริมาณการใช้ NGV เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าของปลายปี 2550 และยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ปัจจุบันมีผู้หันมาให้ความสนใจใช้ NGV จำนวนมาก สิ้นเดือนมิถุนายน 2551 มีผู้ติดตั้ง NGV แล้วจำนวน 84,161 คัน เป็นรถเบนซิน 67,833 คัน รถดีเซล 13,247 คัน และรถที่ผลิตจากโรงงาน 3,081 คัน มีปริมาณการใช้ NGV เพิ่มขึ้นเป็น 2,013 ตันต่อวัน (72 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน) ขณะที่กำลังผลิตก๊าซ NGV ที่พร้อมจ่ายเข้าระบบ วันนี้มีถึง 2,455 ตันต่อวัน และสิ้นปีจะเพิ่มเป็น 5,465 ตันต่อวัน
ด้านการขยายสถานีให้บริการมีความคืบหน้าไปอย่างมากเช่นกัน ตามโครงการ NGV ทั่วถึงทั่วไทย ภายในปี 2552 สิ้นเดือนมิถุนายน มีสถานีเปิดให้บริการแล้ว 214 สถานี จากเดิมต้นปีมีเพียง 166 สถานี และภายในเดือนกรกฎาคม 2551 จะมีสถานี NGV เพิ่มเป็น 245 สถานี และสิ้นปีเพิ่มเป็น 355 สถานี
นอกจากนี้ ด้านการแก้ปัญหาการรอคอเติมก๊าซ NGV ของกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ รถแท็กซี่ และการเข้ามาแย่งเติมก๊าซของรถยนต์ขนาดใหญ่นั้น ได้มีการดำเนินการแล้วในหลายส่วน คือ การเพิ่มรถขนส่งก๊าซรองรับปริมาณการใช้ที่สูงขึ้น ปัจจุบันมีรถขนส่งก๊าซวิ่งให้บริการแล้วทั้งหมด 496 คัน เพิ่มขึ้นจากปลายปี 2550 ที่มีเพียง 312 คัน และปลายปี 2551 จะมีรถขนส่งเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า เป็น 933 คัน รวมถึงต่อไปนี้จะมีการแยกสถานีบริการออกเป็น 3 กลุ่ม เพื่อให้เกิดความสะดวกสบายแก่ผู้มาใช้บริการ ได้แก่ สถานีค้าปลีกทั่วไป กระจายทั่วไปเพื่อรองรับรถส่วนบุคคล สถานีค้าปลีกขนาดใหญ่ (20-30 ตู้จ่าย) อยู่ในทำเลและแหล่งที่มีรถแท็กซี่หนาแน่น และสถานีเฉพาะ Fleet รถขนาดใหญ่ กระจายบนเส้นทางหลวงต่างจังหวัดและในที่ตั้งของรถ Fleet
ความคืบหน้าของขยายจำนวนอู่ติดตั้งและดัดแปลง NGV ที่ได้มาตรฐานปัจจุบันมีจำนวน 114 สถานี และมีมาตรการที่จะเพิ่มบุคลากรในอู่ติดตั้งเฉพาะจุด โดยเฉพาะในอู่ที่ติดตั้งให้กับแท็กซี่ เพื่อแยกอู่กับรถสาธารณะทั่วไป โดยกระทรวงพลังงานจะร่วมมือกับอาชีวศึกษา และกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อพัฒนาบุคลากรติดตั้งให้กับอู่แท๊กซี่มากขึ้น รวมทั้งขณะนี้มีหน่วยงานตรวจสอบและทดสอบรถยนต์ NGV แล้วทั้งสิ้น 47 ราย
พลโท หญิง พูนภิรมย์ กล่าวว่า เดือนกรกฎาคมนี้ ถือเป็นวันดีเดย์ของการใช้ NGV เต็มรูปแบบ เพราะมีความพร้อมทั้งสถานี การให้บริการ NGV และปริมาณกำลังผลิตที่จะจ่ายเข้าระบบ โดยมีเป้าหมายส่งเสริมการใช้ NGV ในภาคขนส่งมากยิ่งขึ้น ทั้งกลุ่มรถยนต์ รถตู้ รถกระบะ และรถขนส่งขนาดใหญ่ รวมถึงการส่งเสริมให้รถแท็กซี่หันมาใช้ NGV เป็น 40,000 คันภายในปีนี้ จากปัจจุบันมีรถแท็กซี่ทั้งหมด 70,000 คัน และเปลี่ยนมาใช้ NGV แล้ว 22,023 คัน
นอกจากนี้ การบริหารจัดการสถานีบริการ NGV เพื่อแก้ปัญหาก๊าซขาด หรือต่อคิวยาวสามารถทำได้ดีขึ้นมากจากเดิมต้นปี 2551 ปริมาณก๊าซเคยขาด 3-4 ชั่วโมง เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาพบว่าก๊าซจะขาดไม่เกิน 15 นาที และตั้งเป้าหมายไม่ให้ก๊าซขาดเลยเป็นศูนย์นาที รวมถึงจากการบริหารจัดการขนส่งก๊าซฯ ให้มีสถานีลูกในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2551 สามารถลดจำนวนครั้งที่ก๊าซขาดจาก 45 ครั้งต่อวันช่วงต้นปี เหลือเพียง 10 ครั้งต่อวันในเดือนมิถุนายน 2551
“ท้ายที่สุดนี้ ด้วยสถานการณ์น้ำมันแพง การเลือกใช้ NGV จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ กระทรวงพลังงาน จึงขอเชิญชวนผู้ที่กำลังคิดจะเปลี่ยนไปใช้ LPG ให้หันมาใช้ NGV แทน เนื่องจากหากเปรียบเทียบระหว่างการใช้ NGV กับ LPG แล้ว ปรากฏว่า NGV ขณะนี้มีความพร้อมมากขึ้นแล้วในทุกๆ ด้าน ทั้งจำนวนสถานีให้บริการ การแก้ปัญหารอคอยเติมก๊าซ และราคาเชื้อเพลิงที่ถูกกว่า ซึ่งรัฐจะตรึงราคา NGV 8.50 บาทต่อกิโลกรัมไปถึงสิ้นปี ในปี 2552 ปรับขึ้นเป็น 12 บาทต่อกิโลกรัม ปี 2553 ปรับขึ้นเป็น 13 บาทต่อกิโลกรัม และหลังจากนั้นจะมีการปล่อยลอยตัวแต่ไม่เกิน 50% ของราคาน้ำมันดีเซล อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบอัตราสิ้นเปลืองระหว่างกัน NGV 8.50 บาทต่อกิโลกรัม ให้อัตราสิ้นเปลืองที่ 56 สตางค์ต่อกิโลเมตร ขณะที่ LPG 18.13 บาทต่อกิโลกรัม จะมีอัตราสิ้นเปลืองประมาณ 1 บาทต่อกิโลเมตร นอกจากนี้หากในปี 2552 NGV จะปรับขึ้นไม่เกิน 12 บาทต่อกิโลกรัม อัตราสิ้นเปลืองก็ยังคงต่ำอยู่มากที่ 86 สตางค์ต่อกิโลเมตร รวมถึงผลการทดสอบต่างๆ ที่ผ่านมาก็ยืนยันได้ดีว่า NGV สะอาด ถูก และมีความปลอดภัยสูง” พลโท หญิง พูนภิรมย์ กล่าว