กรุงเทพฯ--3 ก.ค.--ปภ.
กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงาน ๑๓ จังหวัดประสบอุทกภัย ได้แก่ จังหวัดน่าน กำแพงเพชร อุทัยธานี พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ชัยนาท สุพรรณบุรี จันทบุรี นครราชสีมา หนองคาย สุราษฎร์ธานี ชุมพร และพังงา คลี่คลายแล้ว ๑๑ จังหวัด
ยังคงมีน้ำท่วมขังใน ๒ จังหวัด ได้แก่ อ่างทอง และสุพรรณบุรี เบื้องต้นได้ประสานหน่วยงานในสังกัด และหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องนำเครื่องสูบน้ำ เร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ประสบภัย พร้อมเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เฝ้าระวังสถานการณ์และติดตามประกาศแจ้งเตือนภัยจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด นายอนุชา โมกขะเวส อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กล่าวว่า ขณะนี้เข้าสู่ฤดูฝนแล้ว ประกอบกับร่องความกดอากาศต่ำ พาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ทำให้มีฝนตกชุกหนาแน่นและฝนตกหนักในหลายพื้นที่ ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ติดตามสถานการณ์ อุทกภัย พบว่า มีพื้นที่ประสบอุทกภัย รวม ๑๓ จังหวัด ๕๘ อำเภอ ๒๙๖ ตำบล ๑,๓๓๒ หมู่บ้าน ได้แก่ จังหวัดน่าน กำแพงเพชร อุทัยธานี พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ชัยนาท สุพรรณบุรี จันทบุรี นครราชสีมา หนองคาย สุราษฎร์ธานี ชุมพร และพังงา ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๓๒๓,๘๐๑ คน ๗๑,๗๖๔ ครัวเรือน พื้นที่การเกษตรถูกน้ำท่วมเสียหาย ๓๙๔,๔๖๗ ไร่ มูลค่าความเสียหายเบื้องต้น ประมาณ ๒๑๖,๗๘๑,๔๘๐ บาท
ขณะนี้สถานการณ์อุทกภัยได้คลี่คลายเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ๑๑ จังหวัด ยังคงเหลืออีก ๒ จังหวัดที่ยังคงมีน้ำท่วมขังพื้นที่การเกษตร ได้แก่ จังหวัดอ่างทอง ใน ๓ อำเภอ ได้แก่ อำเภอโพธิ์ทอง อำเภอแสวงหา และอำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดสุพรรณบุรี ใน ๖ อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองสุพรรณบุรี อำเภอบางปลาม้า อำเภอสองพี่น้อง อำเภออู่ทอง อำเภอเดิมบางนางบวช และอำเภอสามชุก คาดสถานการณ์อุทกภัยจะเข้าสู่ภาวะปกติภายใน ๑ สัปดาห์ สำหรับการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ประสานไปยัง จังหวัด อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ประสบภัยจัดเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย ในเบื้องต้นแล้ว พร้อมเร่งสำรวจความเสียหาย เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามระเบียบกระทรวงการคลังต่อไป อีกทั้งได้ระดมนำเครื่องสูบน้ำ จำนวน ๑๑๒ เครื่อง และเครื่องผลักดันน้ำจำนวน ๒๐ เครื่อง เร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ประสบภัย นายอนุชา กล่าวต่อไปว่า จากการตรวจติดตามลักษณะอากาศกับกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่า ในระยะนี้ภาคเหนือ และ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ มีฝนตกชุกหนาแน่น ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่มในพื้นที่ จึงขอเตือนประชาชนที่อาศัยในบริเวณดังกล่าว เตรียมรับมือและเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้แจ้งประสานให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต และสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดในพื้นที่เสี่ยงภัยดังกล่าว จัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิดตลอด ๒๔ ชั่วโมง พร้อมจัดเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน เพื่อให้ ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างทันท่วงทีตามแผนปฏิบัติการที่กำหนดไว้
ทั้งนี้หากประชาชนในพื้นที่ใดได้รับความเดือดร้อน จากสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย ดินโคลนถล่ม สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือทางสายด่วนสาธารณภัย ๑๗๘๔ ตลอด ๒๔ ชั่วโมง เพื่อประสานและให้ความช่วยเหลือโดยด่วนต่อไป