กรุงเทพฯ--7 ก.ค.--ศุภาลัย
นายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ปีนี้เป็นปีทองของ “ศุภาลัย” อีกปีหนึ่งโดยผลประกอบการของบริษัทฯ ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2551 มียอดทำสัญญาอยู่ประมาณ 4,800 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปี 2550 3 เท่า โดยยอดทำสัญญา 6 เดือนแรกของปีที่แล้วอยู่ที่ 1,710 ล้านบาท ส่วนยอดขายตั้งแต่ต้นปี จนถึงปลายเดือน มิถุนายน 2551 สูงกว่า 5,300 ล้านบาท เมื่อเทียบกับยอดขายที่ตั้งเป้าไว้ทั้งปีที่ 9,999 ล้านบาท ถือว่าบริษัทสามารถทำยอดขายได้เป็นที่น่าพอใจ”
ยอดขายที่ทำได้ในครึ่งปีแรก ประกอบด้วยอาคารชุด 60% และบ้านจัดสรร 40% และมีราคาต่อหน่วยขายตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป จนถึง 29 ล้านบาท โดยขณะนี้ บริษัทฯ มียอดขายที่ทำสัญญาและรอโอน (Back Log) ที่จะสามารถรับรู้รายได้ในปี 2551 — 2553 มีมูลค่าประมาณ 12,800 ล้านบาท และปัจจุบันมี 22 โครงการ ที่กำลังพัฒนาและขาย โดยมีมูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท และภายในปี 2551นี้ บริษัทฯ วางแผนเปิดโครงการทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัดรวม 13 โครงการ โดยแบ่งเป็นโครงการแนวราบ จำนวน 8 โครงการ และโครงการอาคารสูงอีก 5 โครงการ โดยมีมูลค่ารวมถึง 10,300 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีที่ดินรอการพัฒนาในปี 2552 ที่บริษัทถือครองรวม 369 ไร่ ซึ่งจะพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัย จำนวน 6 โครงการ
“ศุภาลัย ถือเป็นบริษัทที่มีผลประกอบการดีเด่น เมื่อเทียบผลประกอบการย้อนหลัง 4 ปีเฉลี่ยของ 6 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ด้วยกัน ทั้งในด้านของการเป็นบริษัทที่มีอัตราผลกำไรสุทธิหลังภาษี อยู่ที่ 20% สูงกว่าอัตราเฉลี่ยบริษัทอื่น ๆ ที่อยู่ในเกณฑ์ 15 % และอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 19% สูงกว่าอัตราเฉลี่ยบริษัทอื่น ๆ ที่อยู่ที่ 16 % ส่วนการจ่ายปันผลบริษัท ฯ ให้ผลตอบแทนดีสม่ำเสมอเฉลี่ยอยู่ที่ 7% ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นที่มีอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ 4%”
นายประทีป กล่าวต่อว่า “แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจในภาพรวมไม่ว่าดอกเบี้ย และเงินเฟ้อจะปรับเพิ่มขึ้น แต่ผลประกอบการในปีนี้ของบริษัทฯ กลับเป็นที่น่าพอใจ ทั้งนี้เป็นผลมาจากสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้านยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำประกอบกับมาตรการกระตุ้นอสังหาฯในด้านค่าธรรมเนียมและภาษีของรัฐ ทำให้มีแรงจูงใจที่จะซื้อที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 2 ปี นี้มียอดโอนสูงสุดเป็นประวัติการณ์คือประมาณ 2,100 ล้านบาท และถึงแม้ว่ามีภาระในเรื่องของเงินเฟ้อจากการปรับขึ้นราคาน้ำมันและเหล็กเส้นจะเข้ามามีผลกระทบในด้านการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการก่อสร้างเป็นอย่างมาก แต่จากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯของรัฐดังกล่าวข้างต้น ทำให้บริษัทฯ ยังสามารถคงราคาขายตามต้นทุนเดิมในหลายโครงการ โดยมีการปรับราคาบ้านสร้างใหม่เท่าที่จำเป็นเท่านั้น เป็นผลให้ยอดขายของบริษัทฯ ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในด้านของลูกค้าที่ต้องการซื้อบ้าน ปัจจัยดังกล่าวกลับมีผลในการเร่งการตัดสินใจซื้อของลูกค้ามากขึ้น เพราะถ้าไปซื้อในปีหน้า ราคาขายจะต้องเป็นราคาใหม่ที่ปรับขึ้นมาก และต้องเสียค่าธรรมเนียมมากขึ้นด้วย”