กรุงเทพฯ--14 ก.ค.--สหมงคลฟิล์ม
บทสัมภาษณ์จาก Bangkok dangerous
ปานวาด เหมมณี รับบทเป็น อ้อม
ถาม : อยากให้แนะนำตัวนิดนึงนะค่ะ และรับบทเป็นใคร
เป้ย : เป้ย ปานวาดค่ะ รับบทเป็นอ้อม อ้อมเป็นสาวโคโยตี้ คาแรคเตอร์คือเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเอง ต้องหาเลี้ยงตัวเองและน้องอีกหนึ่งคน ฐานะทางบ้านไม่ค่อยดี จึงต้องมีอาชีพเป็นโคโยตี้คือนักเต้นประจำบาร์ และเป็นตัวกลางคือนกต่อที่กุมความลับระหว่างคนว่าจ้างให้ฆ่าและนักฆ่า
ถาม : แล้วเป็นครั้งแรกที่ได้ทำงานระดับฮอลลีวู้ดรู้สึกอย่างไร ตื่นเต้นมั้ยค่ะ
เป้ย : ยิ่งกว่าตื่นเต้นอีกค่ะ ไม่รู้ว่าจะเรียกว่ายังไง ประมาณว่าฝันไปรึเปล่า ตื่นเต้นด้วย ดีใจสุดๆด้วย คือมันเป็นหลายๆ อารมณ์รวมกัน จนขนาดตอนที่เราทำงานยังไม่คิดเลยว่า เอ้ย! นี่ฉันทำงานไปเสร็จแล้วเหรอ
ถาม : แล้วการทำงานทางโน้นเค้าเป็นอย่างไรบ้าง
เป้ย : การทำงานจริงๆ ระบบเค้าจะเป็นเรื่องการตรงต่อเวลา ค่อนข้างจะซีเรียสคือ เวลาเค้าจะเป๊ะๆ ทุกอย่างเวลาห้ามคลาดเคลื่อน คือทางเค้าจะกำหนดมาแล้วว่า อืม อย่างเช่น 10.00 น.-11.00น. ต้องเป็นฉากไหน ฉากนั้นก็ต้องเสร็จภายในเวลา แต่งหน้ากี่โมงถึงกี่โมง คือทุกอย่างค่อนข้างจะเป็นระเบียบขั้นตอนมากกว่า แล้วสเกลในการทำงานก็จะใหญ่มากกว่าไม่ว่าจะเป็นผู้คนในการทำงาน จะมีชาวต่างชาติทำด้วย แล้วก็ทีมงานจะเยอะมากทุกอย่างค่ะ
ถาม : ได้ข่าวว่าก่อนที่จะมาเล่นเรื่องนี้คือ Bangkok dangerous ได้ เป้ยจะต้องไปแคสติ้ง อยากให้เล่าบรรยากาศในวันที่ไปแคสติ้งว่าต้องทำอย่างไรบ้างค่ะ
เป้ย : ตอนแรกก็ไม่กล้าไปแคสค่ะ คือมีพี่คนนึงนะค่ะ ซึ่งรู้จักกันอยู่แล้ว พี่เค้าโทรมาตามประมาณ 6-7 รอบได้เพราะว่าอยากให้เรามาแคส เค้าก็บอกว่าต้องให้เรามาแคสให้ได้ เพราะแดนนี่และออกไซค์เค้าอยากให้เราลองมาแคสดู ก็เลยลองไปแคสเล่นๆ ดู คือไม่ได้คิดว่าจะได้ เพราะทราบมาว่าคนที่เข้าไปคัดนะเยอะมาก เราก็ไปด้วยอารมณ์แบบเออลองดู อย่างน้อยเราก็ได้มาแคสแล้วประมาณนี้นะค่ะ ก็ลองไปแคสดูคิดว่าไปสนุกๆนะค่ะ ที่นี้ปรากฎว่าผ่านการคัดเลือกรอบแรก เอ้ย! จริงหรอก็ถามพี่เค้าที่เค้าแคสติ้งรอบแรกว่าทำไมเราถึงผ่าน พี่เค้าบอกว่าชอบที่เป้ยเป็นตัวของเป้ยเองซึ่งมันตรงกับสิ่งที่เค้าต้องการ นั่นก็เป็นผลทำให้ได้มาแคสติ้งอีกรอบนึง คือมันจะ
แคสติ้งทั้งหมด 3 รอบ รอบสุดท้ายเค้าก็บอกเราว่า อืม เราน่าจะผ่านหรือไม่ผ่าน หลังจากนั้นก็รอเวลาให้ทาง
ฮอลลีวู๊ดเค้าเป็นคนเลือกอีกทีว่าตกลงต้องการใคร รอประมาณ 1-2 เดือนได้ค่ะ ผลก็ออกมาว่าเค้าเลือกเรานะ ซึ่งอารมณ์ตอนนั้นจำได้เลยว่าเราไม่สบายมากๆ เราก็ไปคุยกับโปรดิวเซอร์เค้าเห็นเราท่าทางเหนื่อยและอิดโรยมากๆ เค้าก็บอกว่าเราได้ เราดีใจมากๆ แต่เราไม่รู้จะแสดงอาการออกมายังไง เค้าก็สงสัยว่า นี่เราไม่ดีใจหรอที่เราได้รับเลือก เราก็ดีใจนะ แต่ก็ดีใจจนไม่รู้จะดีใจยังไงแล้วค่ะ
ถาม : เวลาแคสติ้งนอกจากจะต้องลองเล่นบทที่เราจะเล่นแล้ว การได้รับบทเป็นโคโยตี้ต้องมีการเต้นอะไรอย่างนี้บ้างรึเปล่าค่ะ
เป้ย : มีค่ะ แน่นอนเลยค่ะ คือของเป้ยจะเป็นอะไรที่เต้นแล้วก็เต้น คือต้องบอกว่ามันเป็นผลสืบเนื่องมาจากมิวสิค VDO ที่แดนนี่และออกไซค์เห็นคือ มิวสิคคนใจง่าย แล้วเค้าก็เรียกตัวมาซึ่งในมิวสิคนั้นก็จะมีเต้นๆ นิดนึง เค้าก็ลองประมาณว่าให้เราเต้นๆอะไรประมาณนั้น ให้คิดว่าเราเป็นประมาณว่าเซ็กซี่ยั่วยวนคือเต้นในโลกของเรา คิดว่าไม่มีคนอื่น คิดว่ามีเราคนเดียวในห้องๆ นี้แล้วก็เต้นๆๆ แสดงความเป็นตัวเรา เราก็แสดง ซึ่งมันก็ถูกใจเค้า เค้าก็ชอบ
ถาม : แล้วสำหรับตัว นิโคลัจ เคจ มีเข้าฉากด้วยกันรึเปล่าค่ะ
เป้ย : มีค่ะ ได้เข้าฉากกับนิโคลัจ เคจ ด้วยค่ะ
ถาม : แล้วเฉพาะความรู้สึกที่ได้เข้าฉากกับ นิโคลัจ เคจ เป็นอย่างไรบ้างค่ะ
เป้ย : พี่!!! คือมันก็ที่สุดนะค่ะ คือมันพูดไม่ถูก รู้ว่าเค้าเป็นนักแสดงที่เป้ยชื่นชอบมาก เป้ยชอบเค้าในเรื่อง Face Off แล้วก็อีกหลายๆ เรื่อง เค้าเป็นผู้ชายที่ตาสวยมากในความคิดของเป้ย แล้วเป้ยก็ไม่คิดว่าเป้ยจะได้มีโอกาสได้เข้าฉากกับเค้า ไม่เคยคิด ไม่มีอยู่ในความคิดเลย แล้วอยู่ๆ มาวันนึงได้มาเข้าฉากกับเค้า คือ ณ ตอนนั้นยังคิดอยู่เลยว่า ฉันจะทำยังไงฉันจะเล่นยังไง ฉันจะต้องเล่นออกมาให้เหมือนเดิมอย่างที่แดนนี่และออกไซค์ชอบ คือความเป็นตัวของตัวเอง เน้นขายความเป็นธรรมชาติไม่ต้องมีแอคติ้งอะไร ให้รู้สึกจริงๆ ว่าจะต้องเล่นให้ได้ ฉันจะต้องไม่ทำให้เค้ารู้สึกเสียเวลา หลายๆ อย่างในความคิดตอนนั้นค่อนข้างจะสับสนและแปรปรวนตลอดเวลา อืม ฉันจะทำยังไงฉันจะต้องตื่นเต้นแน่นอน และสายตามันจะต้องออกมาแน่นอนว่าฉันกำลังตื่นเต้นอยู่นะ ทุกอย่างมันต้องใช้สมาธิมากๆ เรียกว่ามากถึงมาก ที่สุดเลย แต่ก็ผ่านพ้นมาได้ด้วยดีเพราะว่าเค้าคือ นิโคลัจ เคจ เค้าให้ความเป็นกันเองคือเค้าจะไม่ถือตัวเลย เค้ายังจำชื่อเล่นเราได้ แล้วเค้าก็ทักเราก่อน ซึ่งตอนนั้นเราก็ เอ๋อๆๆ เราก็อยากจะทักเค้าตอบแต่ก็ไม่รู้จะใช้คำพูดอะไร ไม่รู้จะพูดยังไงดี เค้าจะจำเราได้หรออะไรประมาณนี้ ซึ่งปรากฏว่าเค้ามาทักเราก่อน ซึ่งเราดีใจมากๆ โอ้ย! เค้ามาทักเราก่อน เป็นอะไรที่ปลื้มมากๆ คือสุดยอดเลยเค้าคือสุดยอดนักแสดงที่อยู่ในใจเราแล้วจู่ๆ เค้ามาจำชื่อเล่นเราได้ แล้วก็มาทักเราก่อน ซึ่งเป็นอะไรที่เหมือนฝันแล้วก็อีกอย่างนึงพอตอนเข้าฉากปุ๊บเค้าก็คงรู้นะค่ะว่าเราคงจะเกร็งอะไรประมาณนี้ เค้าก็มานั่งยองๆ ข้างหน้าเราตรงข้างหน้าเรานั่งเหมือนนั่งคุยซึ่งเราจะนั่งแบบนี้อยู่แล้ว เค้าก็จะนั่งยองๆคุยกับพี่ชาคริตด้วยคุยกับเราด้วย ก็ให้ความเป็นกันเองนะ นั่นคือตอนที่ยังไม่ได้ถ่ายนะค่ะ ก็คุยเล่นคุยไปคุยมากับพี่ชาคริต ซะส่วนใหญ่ แล้วเค้าก็ยิ้มให้เรา อืม! แค่นี้มันก็รู้สึกถึงความ อืม! เราสบายใจที่เราจะได้ร่วมงานกับเค้าแล้วเราก็มีความรู้สึกว่า เอ้ย! เค้าให้ความเป็นกันเองกับเรา เราก็เลยรู้สึกไม่เกร็ง
ถาม : แล้วตอนที่เข้าฉากกับเค้าเป็นฉากอะไรประมาณไหนค่ะ เล่าถึงฉากนี้ให้ฟังหน่อย
เป้ย : เป็นฉากที่เป้ยกับชาคริต ติดอยู่ในโกดังร้างสักอย่างแล้ว นิโครัจ เคจ ตามมาช่วย ตามมาช่วยชาคริต ซึ่งเราเป็นแฟนของชาคริตก็เลยได้เจอกันในฉากนั้นเป็นฉากเกือบสุดท้ายเลย
ถาม : อย่างนี้แสดงว่าก็ต้องมีแอคชั่นด้วย เป็นยังไงบ้างค่ะ เล่าฉากแอคชั่นให้ฟังหน่อยสิว่าต้องมีการซ้อมอะไรกันก่อนมั้ย มีเจ็บตัวหรืออะไรตรงไหนรึเปล่า
เป้ย : ฉากแอคชั่นของเป้ยไม่ค่อยมีเยอะนะ ของเป้ยฉากแอคชั่นส่วนใหญ่จะเป็นแนวหลบระเบิดแรงระเบิดยิงกัน หลบกระสุนอะไรประมาณนี้มากกว่าค่ะ แอคชั่นส่วนใหญ่จะไปอยู่ที่ชาคริต ตัวเราก็จะมีชาคริต คือชาคริตคอยปกป้องเราอยู่แล้ว คือ ก้องนะค่ะ โดยตัวก้องจะปกป้องอ้อมอยู่แล้วเราก็คือเล่นไปตามนั้น
ถาม : แล้วมีเจ็บตัวอะไรบ้างมั้ยค่ะ
เป้ย : มีพลาดนิดหน่อยค่ะ คืออาจจะมี่รอยถลอกบ้าง คือในนั้นเค้าเซ็ทเอาฉากและมีรังไม้ด้วยบางทีตอไม้หรือเศษไม้เล็กๆ ก็มาตำเรา ซึ่งมันก็ไม่ใช่ปัญหาที่หนักหรือใหญ่สำหรับเรา เราก็โอเค อยู่แล้ว ปกติเวลาเล่นละครหรือหนังทั่วไปมันก็เป็นแนวนี้อยู่แล้วนะค่ะ
ถาม : แล้วในเรื่องต้องรับบทเป็นแฟนของชาคริต คนที่ชาคริตหลงรักรู้สึกอย่างไรบ้างค่ะ
เป้ย : ปลื้มค่ะ เพราะชาคริตเป็นหนุ่ม Hot ที่ใครๆ ก็อยากเป็นแฟนด้วยอะไรอย่างนี้ คือเคยร่วมงานกับชาคริตมาก่อนแล้วค่ะ เราเคยเล่นละครมาด้วยกันประมาณ 2 เรื่อง ก็ได้รู้จักกันมาพอสมควร รู้ว่าชาคริตเค้าทำงานในแนวไหนรูปแบบไหน ฉะนั้นการเข้าฉากร่วมกันจึงไม่มีปัญหามาก เพราะเราก็รู้จักกันในระดับนึง ชาคริตเค้าเป็นคนง่ายๆ อยู่แล้ว เค้าก็จะคอยบอกเราคอยสอนเรา ว่าเราควรเล่นยังไงประมาณไหน
ถาม : ในเรื่องนี้รับบทเป็นแฟนกันมีฉากเลิฟซีนหรือกุ๊กกิ๊กอะไรกันบ้างรึเปล่าค่ะ
เป้ย : มีบ้างค่ะ มีฉากที่ต้องนัวเนียกันนิดๆหน่อยๆ ก็กุ๊กกิ๊กกันนิดๆหน่อยๆ แต่ก็ไม่ได้เยอะอะไรมากมายค่ะ เป็นไปตามเนื้อเรื่องของหนังนะค่ะ ซึ่งเป็นแฟนกันอาจจะมีคำพูดหยอกเย้ากันเล่นๆ แล้วก็แสดงตามคนรักกันนิดๆหน่อยๆ มีการหอมแก้มอะไรกันอย่างนี้นะค่ะ
ถาม : สำหรับเรื่องนี้พอได้ผ่านแคสติ้งเข้ามาเล่นแล้วนี่ กดดันมั้ยค่ะ แล้วความรู้สึกที่เราได้เป็นหนึ่งในทีมงานระดับนี้รู้สึกอย่างไร
เป้ย : กดดันมั้ย ที่สุด!! ที่สุดเลยคือหลายๆอย่างด้วยความเป็น production ที่ใหญ่ด้วย มืออาชีพด้วยเราก็ค่อนข้างจะตื่นเต้น และเราก็เป็นนักแสดงที่โนเนม ก็กลัวจะทำให้ทีมงานต้องทำงานช้า ทำให้งานของเค้าช้าด้วยรึเปล่า หลายๆ อย่างอยู่ในความคิด แล้วอีกอย่างนึงเราทราบมาว่าคนที่ไปแคสติ้งส่วนใหญ่เป็นระดับนางเอก ซึ่งเก่งๆ แล้วก็เซ็กซี่มากๆ และฮอตมากๆ แล้วเราแบบมาจากไหนทำไมเค้าถึงเลือกเรา เราก็ยังไม่รู้อะไรมาก เราก็แอบไปถามพี่ๆ ให้เค้าไปถามออกไซค์กับแดนนี่ว่า เลือกเราเพราะอะไร เราก็คิดเหมือนกัน เค้าก็บอกว่าเลือกที่เพราะเป็นตัวคุณนี่แหละ มันดูเซ็กซี่โดยที่คุณไม่ต้องเก๊กอะไรอย่างนี้ค่ะ แล้วก็ให้ยูเป็นอย่างนี้ตลอดไป แล้วอีกอย่างนึงก็แอบถามเค้าว่าเราโอเคมั้ย เพราะถือว่าเป็นหนังเรื่องแรกของเราเลยนะ เราเล่นดีรึเปล่าแอบถามเค้าว่า คืออย่างที่บอกเวลาของเค้าค่อนข้างกระชั้นชิด เค้าบร็อกเวลามาแล้วว่าต้องเสร็จภายในกี่โมงถึงกี่โมง เค้าก็จะไม่มีเวลามานั่งบอกเราอยู่แล้วว่าเราควรเล่นแบบไหนแบบไหน เราต้องเล่นไปเองก่อนแต่เราก็เล่นผ่านมาได้โดยที่เค้าไม่ได้ให้ข้อสรุปอะไรกับเรา เราก็แอบถามว่าเป็นงัยบ้าง เล่นโอเคมั้ย เค้าก็บอกว่าโอเคแล้ว เค้าชอบแคสติ่งของเราทีนี้ทำให้ความกดดันในการเล่นหรือว่าการรับเล่นหนังเรื่องนี้มันค่อยๆ น้อยลง น้อยลง
ถาม : เราได้เรียนรู้อะไรจากการทำงานจากภาพยนตร์เรื่องนี้บ้างค่ะ
เป้ย : หลายๆอย่างค่ะประสบการณที่ดี เทคนิคการถ่ายทำ คือ มีโปรดักชั่นที่ใหญ่ ทีมงานเป็นมืออาชีพหมดเลย ทีนี้การทำงานเราก็ได้เรียนรู้ประสบการณ์จากตัวเราเอง และเราได้เห็นได้รับได้เรียนรู้ อ๋อ เทคนิคการถ่ายหนังมันเป็นแบบนี้นี่เอง วิธีการเล่นมันต้องเป็นแบบนี้วิธีการถ่ายมันต้องเป็นแบบนี้ ต้องมีการเข้า workshop ก่อนมันหลายๆ ขั้นตอนคือเราได้ประสบการณ์ โดยที่เราไม่ต้องหาซื้อมาจากไหนมันได้เยอะมาก ต่อให้ไปซื้อก็ไม่รู้จะไปซื้อมาได้จากที่ไหนด้วยมันมีคุณค่ามากๆ สำหรับเป้ยนะค่ะ
ถาม : สำหรับตัวผู้กำกับออกไซค์กับแดนนี่อยากให้พูดถึงเค้านิดนึงว่าเป็นอย่างไรบ้าง
เป้ย : ออกไซค์กับแดนนี่เค้าเป็นคนที่น่ารักมาก ทุกวันนี้เป้ยยังแยกแยะไม่ออกเลยว่าใครคือออกไซค์ใครคือแดนนี่เหมือนกันมากบางทีที่เค้ามีการแยกกองแดนนี่เค้าก็มากำกับหรือว่าบางทีเค้าก็มีการสลับกันวันพรุ่งนี้ออกไซค์มากำกับ ทั้งสองคนให้ความรู้สึกที่เป็นกันเองเหมือนกัน เป็นมืออาชีพจริงๆ เก่งมาก แล้วก็สามารถทำให้เราไม่รู้สึกเกร็งหรือว่าตื่นเต้นหรือว่ารู้สึกกดดันอย่างที่บอก คือเราจะหายจากอารมณ์พวกนั้นไปเลยเนื่องจากผู้กำกับเค้าจะมาคุยกับเราก่อนว่าเราต้องเล่นอะไร ลายต้องเป็นไปตามนี้นะ บร๊อกกิ้งต้องเป็นไปตามนี้ๆ นะ พอได้คุยได้สัมผัสกับเค้าแล้วรู้สึกว่าเราสบายใจที่จะได้เล่น เรามีความรู้สึกว่าเราเป็นตัวของเราเองเราเล่นไปตามที่เราเป็นเลย ตรงนี้มันเป็นความพิเศษมันเป็นความรู้สึกที่ว่าเค้าได้ส่งอารมณ์แบบนี้มาให้เราใช้คำพูดแบบนี้กับเรามันทำให้เราสบายใจที่ได้ร่วมงานกับเค้าแล้วเค้าก็ถือว่าเป็นมืออาชีพมากๆ
ถาม : เคยดู Bangkok dangerous เวอร์ชั่นที่เป็นหนังไทยมั้ยค่ะ
เป้ย : เคยดูบ้างค่ะแต่ก็ลืมๆ ไปแล้ว ตอนนั้นที่ แบงค์ ปวริญ เล่นนะค่ะ จำได้แค่นั้นนะค่ะ
ถาม : สำหรับเรื่องนี้เค้าจะพูดถึงความอันตรายในกรุงเทพ แล้วก็พูดถึงสิ่งที่เราจะต้องเจออันตรายที่เราจะต้องเจอ ถ้าในชีวิตจริงเป้ยจะต้องเจออันตรายเหมือนในกับหนังเรื่องนี้ จะมีวิธีรับมืออย่างไรบ้างค่ะ
เป้ย : ถ้าเกิดเลือกไม่ได้แล้วต้องเกิดมาเป็นแบอ้อมจริงๆ นะ การใช้ชีวิตของเป้ย เป้ยจะหลีกเลี่ยงการไม่เสี่ยงอันตรายไปมากกว่านี้ คือรู้ทั้งรู้ว่าเราต้องประกอบอาชีพแบบนี้คือเป็นสาวโคโยตี้ที่มีความเสี่ยงในด้านการงานด้านอาชีพอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนรอบตัวหรือผู้ใช้บริการก็ตามแต่ ฉะนั้นเป้ยอาจจะหลีกเลี่ยงโดยการไม่ไปเป็นนกต่อ หรือว่าถ้าต้องเป็นจริงๆ ก็อาจจะเก็บตัวให้เงียบที่สุด ซึ่งจริงๆ ในตัวอ้อมเค้าก็เป็นคนอย่างนั้นอยู่แล้ว ก็อาจจะใช้วิธีอย่างอ้อมนะค่ะ อยู่แบบเงียบๆ ไม่แสดงตัวตนออกมา ว่าเราเป็นใคร ทำหน้าที่หลักๆ ของเราก็คือเป็นสาวโคโยตี้ แต่ว่านั่นคืออาชีพเสริมของเราคือการเป็นนกต่อ ก็คือว่าเงียบเข้าไว้ให้มากที่สุด
ถาม : ถามถึงสิ่งที่ประทับใจจากหนังเรื่องนี้บ้าง ซึ่งฉากที่ประทับใจที่สุดหรือมีบางอย่างที่ประทับใจจาก Bangkok dangerous
เป้ย : ประทับใจทุกฉากเลยค่ะ ทั้งๆที่บางฉากเราไม่ได้เล่น แต่เราก็ประทับใจ แต่ที่สุดก็คงจะเป็นฉากที่นิโคลัจ เคจ มาช่วย อย่างที่บอก ได้ร่วมงานได้เข้าฉากกับ นิโคลัจ เคจ ด้วยแล้ว อีกอย่างนึงเป็นฉากที่ก้องจะต้อง แสดงความรักคือแสดงความเป็นห่วงแสดงความรักกับเรา คือต้องปกป้องคุ้มครองดูแลเราซึ่งฉากนี้พี่ชาคริตเล่นได้ถึงอารมณ์ถึงบทบาททำให้เรารู้สึกได้ว่าเค้าเป็นห่วงเราจริงๆ คงเป็นฉากนั้นนะค่ะ
ถาม : สุดท้ายนี้ ถ้าถามในฐานะที่เป้ยเป็นคนดูหนัง เป้ยคิดว่า Bangkok dangerous มีอะไรที่น่าสนใจแล้วอยากดู Bangkok dangerousเพราะอะไร
เป้ย : หลายอย่างค่ะ ไม่ว่าจะเป็นตัวงาน ตัวนักแสดง ตัว production ตีมเรื่องเป็นอะไรที่น่าสนใจอยู่แล้ว แล้วก็เกี่ยวกับกรุงเทพฯ ด้วย แต่ว่าเนื้อหาก็ไม่ได้สื่อว่ากรุงเทพเป็นยังไง แต่ก็มี location หลักที่กรุงเทพ ใช้เมืองไทยเป็น location หลัก เป้ยก็อยากจะให้มาดูกันซึ่งมันน่าสนใจ แล้วอีกอย่างนึงได้เห็นศักยภาพของนักแสดงคนไทย แล้วก็เห็นศักยภาพของผู้กำกับซึ่งเป็นคนไทยเหมือนกัน ตรงนี้อะไรหลายๆ อย่าง ซึ่งเป้ยว่าน่าลองมาชมมาดูกัน
ถาม : อยากฝากอะไรบ้าง
เป้ย : ก็อยากจะฝากถึงผลงานเรื่อง Bangkok dangerous ซึ่งเราได้เห็นถึงศักยภาพของนักแสดงคนไทย สามารถร่วมงานกับฮอลิวู๊ดได้ เป็นอะไรที่สุด เป็นสิ่งที่น่าปลื้มแทนคนไทย อีกอย่าง location ก็เป็นเมืองไทยด้วย จึงอยากให้มาชมกันในวันที่ 4 กันยายน นี้ Bangkok dangerous เข้าโรงแน่นอนค่ะ
บทสัมภาษณ์จาก Bangkok dangerous
ชาคริต แย้มนาม รับบทเป็น ก้อง
ถาม : ช่วยแนะนำตัวแล้วบอกว่ารับบทเป็นใครในภาพยนตร์เรื่องนี้
ชาคริต : ชาคริต แย้มนาม รับบทเป็นก้องเป็นคนที่คอยช่วยเหลือ ดูแลเรื่องข่าวสารต่างๆ ที่โจ คือ นิโคลัจ เคจ เค้าอยากรู้ก่อนที่เค้าจะไปฆ่าใคร ว่าคนนั้นเป็นใคร อย่างไร แล้วก็ไปที่ไหนอะไร ยังไง
ถาม : แล้วในเรื่องนี้รับบทเป็นมือปืนต้องมีฟิตซ้อมร่างกายอย่างไรบ้างค่ะ
ชาคริต : มีเรียนคิวบู้ มีเข้า workshop คิวบู้แต่ว่าไม่หนักมาก มันจะออกไปในแนวความสัมพันธ์ของโจกับก้อง ของผมกับนิโคลัจ เคจ กับเวอร์ชั่นนี้ เค้าจะทำเป็นในแนวอาจารย์กับลูกศิษฐ์ มากกว่าออกเป็นดราม่า และในตัวของนิคเค้าจะเป็นแอคชั่นมากกว่า สำหรับตัวผมจะเป็นแบบที่คอยช่วยเหลือเค้าประมาณนี้ครับ
ถาม : อย่างที่บอกในเรื่องนี้เป็นเหมือนอาจารย์กับลูกศิษฐ์ กับนิโคลัจ เคจ แล้วในชีวิตจริงนี่พอได้ร่วมงานกับเค้าเค้าได้สอนหรือคริตได้เรียนรู้อะไรกับเค้าบ้าง
ชาคริต : ในการร่วมงานกับนิดโคลัจ เคจ ดีครับ เค้ามีความเป็นมืออาชีพอยู่แล้ว และก็เหมือนกับนักแสดงทั่วไปที่เวลาทำงาน ก็จะมีการปรึกษากันว่าควรทำแบบนี้แบบนี้ ค่อนข้างจะมีความเป็น team work สูงมากๆ เป็นคนที่ใจเย็นและเหมือนคนเชียมากๆ เป็นคนเรียบง่าย น่ารักครับ
ถาม : อยากให้เล่าถึงการที่ได้เข้าไปทำงานในหนังเรื่องนี้ว่าเริ่มไปแคสติ่งได้อย่างไร
ชาคริต : ตอนแรกทางฝ่ายแคสติ่งได้โทรเข้ามาให้เราลองไปออดิชั่นดู ผมก็ลองไปดูเพราะเราไม่ได้ใส่ใจกับการแคสติ่งอยู่แล้ว เราก็ไปวันนึง แล้วเค้าก็ติดต่อเข้ามาอีกประมาณสองครั้ง แล้วก็กลับไปประมาณ 3 ครั้ง เค้าก็บอกให้ลองเล่นแบบนี้ให้ดูซิ ลองพูดภาษาอังกฤษให้ชัดซิ ลองพูดภาษาอังกฤษให้ไม่ชัดซิ แล้วก็ได้เจอกับโปรดิวเซอร์ คือ วิลเลี่ยม ชาลาจ ได้คุยกับเค้า แล้วเค้าก็ส่งออดิชั่นของเร่าไปที่ LA รู้สึกว่านิคเค้าได้ดูแล้วเค้าก็เป็นคนเลือกเอง
ถาม : พอจะทราบมั้ยค่ะว่าเค้าถูกใจเราตรงไหน
ชาคริต : ผมไม่ทราบครับ คงต้องถามทางฝ่ายแคสติ่ง หรือว่าคงต้องถามคุณนิค เลยเค้าเลยครับ
ถาม : รู้สึกอย่างไรบ้างที่ได้ร่วมงานกับนิโคลัจ เคจ ซึ่งถือว่าเป็นพระเอกระดับต้นๆของฮอลิวู๊ดเลย
ชาคริต : ที่จริงพอหลังจากแคสติ่งแล้ว ตอนแรกพอรู้ว่าได้ก็ยังไม่รู้สึกอะไร หลังจากนั้นผ่านไป 2 เดือน แล้วก็กำลังจะเปิดกล้องแล้วอีก 2 อาทิตย์ พอทีมงานเค้าเริ่มเข้ามา ก็ เอ้ย! นี่ นิโคลัจ เคจ นะ อยู่ดีดีเหมือนอารมณ์มาช้าความรู้สึกช้ามาก รู้สึกตื่นเต้นยังไม่ได้ทำอะไรเลย ก็ขำขำกับอารมณ์ของตัวเองเหมือนกัน มันเหมือนกับมันไม่จริงยังไงก็ไม่รู้ มันเหมือนกับว่า นี่จริงหรอ ฟรุ๊ครึเปล่า ฝันอยู่รึเปล่าประมาณนี้นะครับ
ถาม : ฉากแรกที่ได้ร่วมเข้าฉากกับเค้าเป็นฉากอะไรพอจำได้รึเปล่าค่ะ
ชาคริต : อืม!! จำไม่ได้ครับ แต่ส่วนมากจะได้เข้าฉากด้วยกันตลอดไปด้วยกันตลอดส่วนใหญ่ครับ
ถาม : ในการถ่ายทำในไทย ได้มีการพา นิโคลัจ เคจ ไปเที่ยวที่ไหนบ้างมั้ยค่ะ
ชาคริต : เค้าก็ถามผมเหมือนกันว่าเค้าสามารถไปเที่ยวที่ไหนได้บ้างมั้ย ผมบอกเค้าว่าแค่ตัวผมเองก็แย่อยู้แล้ว แค่ผมไปไหนอยู่เฉยๆ ยังเป็นเรื่องได้เลย ถ้าไปด้วยกันคงจะแย่พิลึกนะ เค้าก็บอกว่า เออ! นะ ข่าวอย่างนี้ถ้าเกิดมีคนเห็นเค้าไปเดินอยู่ในห้าง แล้วถ่ายรูปโพสไปถึงอเมริกา ก็จะมีคนเขียนข่าวถึงเราอีก ก็เลยอย่าเลย แต่ก็จะคุยเล่นกันตลอด จะสนุกในการทำงานซะมากกว่า เพราะเค้าเองก็มีครอบครัวมาด้วย เค้าก็คงดูแลครอบครัวเค้าด้วย ซึ่งเค้าเป็นแฟมิลี่แมนมากๆ น่ารักมาก
ถาม : แล้วเราเคยได้ติดตามผลงานของเค้าจากภาพยนตร์เรื่องไหนมาก่อน
ชาคริต : ผมติดตามผลงานเค้ามาตั้งแต่เด็กๆแล้ว เค้าเล่นหนังมาเยอะมากก็ได้ดูเกือบทุกเรื่องที่เค้าเล่นนะครับ
ถาม : แล้วนี่ถือเป็นการเปิดตัวกับการทำงานของพี่คริตในระดับฮอลิวู๊ดครั้งแรก การทำงานของเค้าแตกต่างจากการทำงานของไทยอย่างไรบ้าง
ชาคริต : ผมว่าจริงๆ แล้วเหมือนกันนะ แต่ของเค้าจะมีอุปกรณ์ต่างๆ เยอะกว่ามีที่พักให้มีรถให้ คือมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้เยอะกว่า แต่ในความเป็นจริงทางด้านศิลปะมันเหมือนกันมาก มันไม่ต่างเพราะศาสตร์ของหนังก็คือหนังทั่วโลกมันก็เหมือนกัน มันอยู่ที่วินัยแล้วก็ความตั้งใจของทีมงานและนักแสดง เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกใช่ว่าจะใช้ตลอด แต่อาหารจะดีมาก มีอาหารกินได้ทั้งวัน เพราะเราจะหิวกันตลอดกองทัพต้องเดินด้วยท้องครับ
ถาม : แล้วในการทำงานหละค่ะ กับนิโคลัจ เคจ เวลาเค้าทำงานกับเรา เรารู้สึกว่าเค้าเป็นคนอย่างไรด
ชาคริต : ถ้าเปรียบกับคนอเมริกันทั่วไปที่เราได้สัมผัสมา พื้นฐานเค้าจะมีอะไรที่คล้ายกับคนเอเชียมาก ตัวเค้าเองก็คงจะชอบอะไรที่เป็นเอเชียด้วยอยู่แล้ว เค้าเป็นคนที่อบอุ่นแล้วก็เป็นคนที่มีความเป็นทีม work สูงมาก แล้วก็ไม่ถือตัว จะเป็นคนที่ทำงานก็คือทำงาน เค้าจะไม่มีความเป็นดารามาเกี่ยวข้องซึ่งทุกวันนี้ที่เค้าเป็น นิโคลัจ เคจ ได้ เพราะด้วยวินัยและความตั้งใจด้วยความเป็นมืออาชีพของเค้าเอง เพราะเค้าทำได้จริงๆ
ถาม : แล้วใน Bangkok dangerous คริตรับบทเป็นคนรักของเป้ยอยากให้พูดถึงเป้ยว่าการ ทำงานกับเป้ยปานวาดเป็นอย่างไรบ้างค่ะ
ชาคริต : ก็เจอกันไม่บ่อยนักในเรื่องแต่พอเจอกันก็สนุกครับ เพราะว่ากับเป้ยก็รู้จักกันอยู่แล้ว และเคยทำงานร่วมกันมาก่อน เค้าก็เป็นเด็กก๊งๆ คือสนิทกันมีหยอกล้อกัน ตามประสาเพื่อนร่วมงานมันก็สบายใจ
ถาม : แล้วสำหรับฉากกุ๊กกิ๊กอะไรมีมั้ยค่ะ กับเป้ย ปานวาด
ชาคริต : ก็มีนิดๆ ครับ แต่ไม่ได้เยอะอะไร มีที่เราไปดูที่เค้าทำงาน เค้าก็จะเป็นสาวโคโยตี้ที่เต้นอยู่ พอไปก็จะมีกอดอะไรนิดหน่อยมีหยอกล้อกัน ไม่ได้รุนแรงอะไรกันมาก
ถาม : ในเรื่องนี้เป็นแนวแอคชั่น อยู่แล้วจะต้องมีเข้าฉากบู้แอคชั่นมีบาดเจ็บหรือพลาดคิวบ้างมั้ยค่ะ
ชาคริต : ส่วนใหญ่จะเป็นผมกับนิคเข้าด้วยกัน ก็มีที่จะต้องปะทะกัน เค้าก็สอนศิลปะป้องกันตัวการที่แขนต้องปะทะกัน แล้วก็ตีกันแบบแรงมากคือไม่ต้องใช้เอฟเฟค เสียงมันจะดังมาจากข้างนอกบ้านที่เราสร้างอยู่ในสตูดิโอ พอออกมาจำได้ว่าจะมีเก้าอี้ผมกับนิคอยู่ พอนั่งเสร็จปุ๊บ เค้าก็จะเอาน้ำแข็งยูนิคมาให้คนละถุงแล้วก็โปะที่แขน แล้วก็นั่งหัวเราะกันอยู่อย่างนั้นนะครับ
ถาม : แล้วสำหรับ Bangkok dangerous เล่าถึงอีกมุมนึงที่น่ากลัวในกรุงเทพฯ ถ้าเกิดมีคนนิยามว่าพี่คริตเป็น dangerous guy พี่คริตจะตอบพวกเค้าว่าอย่างไรบ้าง
ชาคริต : คงไม่ต้องตอบอะไร เพราะทุกวันนี้ก็โดนสารพัดแล้วครับ (หัวเราะ) ไม่รู้นิยามของผมว่าจริงๆมันคืออะไรบ้าง รู้สึกว่ามีหลายเวอร์ชั่นก็เลยปล่อยมันไปเถอะครับ เรารู้ว่าเราทำอะไรอยู่ดีกว่าครับ
ถาม : มาถึงผู้กำกับบ้าง ให้เล่าถึงผู้กำกับทั้งออกไซค์และแดนนี่ แปงค์ ว่าการทำงานร่วมกันเป็นอย่างไรบ้าง
ชาคริต : การทำงานกับเค้าเป็นอะไรที่ค่อนข้างไวมากรวมทั้งที่เค้าก็ยังเป็นทั้งตัดต่อและทำอะไรเองคือเค้ารู้ว่าเค้าต้องการอะไร ภาพเค้าต้องการใช้แค่ไหน เค้าก็เอาแค่นั้นเค้าไม่ฟุ่มเฟือยฟิล์มมาก แล้วก็คือการทำงานเร็วและทีมงานเค้าก็เหมือนครอบครัว เพราะเค้าทำงานมาด้วยกันไม่รู้กี่เรื่องมันก็เลยไม่ค่อยมีปัญหาอะไร
ถาม : แล้วมาถึงฉากที่ประทับใจที่สุด หรือว่าอะไรที่ประทับใจมากๆจาก Bangkok dangerous นี้ค่ะ
ชาคริต : คงประทับใจวันที่ปฏิวัตินะครับ วันนั้นที่เค้าห้ามเคลื่อนย้ายไปไหน เราก็อยู่ที่ท่าดินแดงจำได้ว่าเราไม่ได้ถ่ายด้วย วันนั้นคือไปนั่งรอแล้วเค้าก็กำลังถ่ายนิคอยู่ แล้วมันก็มีฟ้า ฝน สักพักรถถังก็เริ่มออกมาวิ่งแล้วทุกคนฝรั่งก็เริ่มตกใจแบบว่าอยากกลับบ้าน ทุกคนก็ไปไหนไม่ได้ ต้องนั่งอยู่กับที่ก็มามองหน้ากันคือจะทำยังไงดีกับชีวิต
ถาม : ฉากนั้นเป็นฉากอะไร พอจำได้ไหมค่ะ
ชาคริต : เป็นฉากใกล้ๆ สุดท้ายแล้ว ที่นิคเค้าต้องลุยไปช่วยผมออกมาจากโกดัง ซึ่งเค้าก็ถ่ายอยู่และผมก็รอเข้าฉาก แต่ก็ดันมีการปฏิวัติเกิดขึ้น เป็นสถานะการที่เกิดขึ้นระหว่างถ่ายทำ ตื่นเต้นดีครับ
ถาม : ฉากไหนที่รู้สึกยากที่สุดในการถ่ายทำค่ะ
ชาคริต : คงเป็นเรื่องของมอเตอร์ไซค์ครับ เพราะผมขี่มอเตอร์ไซค์ไม่เป็น มีไปหัดอยู่สองวันแล้วก็ต้องมาขับ มีขับโมเป็ดเสร็จก็ขับบีเอ็มคันใหญ่เลยแต่ก็ดีครับด้วยความเป็นหนังฝรั่ง เค้าจะไม่ค่อยให้นักแสดงต้องเสี่ยงอันตราย เค้าจะมีการรักษาความปลอดภัยไว้ดีมาก
ถาม : ถ่ายทำเรื่องนี้นานมั้ยค่ะ
ชาคริต : ใช้เวลาถ่ายประมาณ 2 เดือนกว่า
ถาม : สุดท้ายอยากให้ชวนคนไทยมาดูเรื่องนี้นิดนึง ว่าเรื่องนี้สนุกยังไงและมีอะไรที่น่าสนใจบ้างในเรื่องนี้
ชาคริต : ไม่รู้ครับ (หัวเราะ) ในเรื่องนี้เราก็เล่นด้วยก็ขอให้มาดูแล้วกันครับ เป็นหนังแอคชั่นอีกเรื่องหนึ่งที่สนุกแล้วก็ระดับฮอลิวู๊ดเค้ามาถ่ายทำกันในบ้านเรา ก็อยากให้คนไทยมาอุดหนุนกันเพราะจริงๆ แล้วก็เป็นหนังลูกครึ่งก็ว่าได้ เลยอยากให้มาดูกันรับรองว่าสนุกครับ
4 กันยา นี้ เจอกันทุกโรง Bangkok dangerous ไปดูกันนะครับ
ถาม : อยากให้ขยายความว่าคาแรคเตอร์ของก้องว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ชาคริต : เป็นเด็กที่ค่อนข้างจรจัดที่เอาตัวรอดโดยการหากินอยู่กับนักท่องเที่ยวกับฝรั่ง เหมือนเด็กที่อยู่ตามพัดพงษ์หรือซอยคาวบอย เหมือนเป็นเด็กที่ชอบลักเล็กขโมยน้อย แล้วนิคมาเล็งเห็นว่าไอ้เด็กคนนี้พอใช้ได้ก็เลยเอามาทำงานด้วยเพราะความจริงแล้วเป้าหมายของเค้าพอใช้งานเสร็จก็จะฆ่าทิ้ง แต่สุดท้ายก็เหมือนเรากลายเป็นลูกศิษย์เค้า เรามีอะไรบางอย่างที่ไปดึงความรู้สึกเค้า จากความรู้สึกของนักฆ่าคนนึง ทำให้มนุษย์ดิบๆคนนึง เค้ามีความเป็นมนุษย์มากขึ้นทำให้เค้ามีความอ่อนโยนออกมาด้วย พร้อมกับตัวนางเอกเอง ชาลี หยาง เองก็ทำให้เค้าเห็นมุมมองของความเป็นมนุษย์มากขึ้น นอกจากที่จะใช้ชีวิตอยู่แต่ด้วยการเป็นนักฆ่า ซึ่งเราก็เป็นส่วนหนึ่งที่ดึงตรงนั้นออกมาจากตัวของ นิโคลัจ เคจ ในเรื่องครับ
ถาม : ในเรื่องเล่าถึง ชาลี หยาง นิดนึงได้เข้าฉากร่วมกับตัวนางเอกรึเปล่าค่ะ
ชาคริต : ชาลี หยาง ผมไม่ได้เข้าด้วยเลยครับ ผมจะเข้าแต่กับ นิโคลัจ เคจ กับเป้ย
ถาม : ได้ดูหนังต้นฉบับมาก่อนรึเปล่าค่ะ
ชาคริต : หนังต้นฉบับ มีที่แล้วที่ไปลงเสียงที่แคนนาดา ก็มีดูอยู่นิดนึง แล้วก็ไม่รู้ว่าตอนจบเป็นเช่นไร เพราะมันก็ผ่านมาปีกว่าแล้ว พวกฝรั่งก็บอกว่าชอบเค้ายบอกว่าสนุกดี
ถาม : อยากให้เล่าถึงฉากใหญ่ของเรื่องว่าเป็นฉากอะไรค่ะ
ชาคริต : ฉากใหญ่ของเรื่องคือฉากที่ไปถ่ายที่ตลาดน้ำดำเนินสะดวกที่ราชบุรี แล้วก็ต้องมีการขับเรือหางยาว ต้องไปเรียนขับเรือมา 2 วัน พอไปเจอก็มีทั้งหางยาวที่หนักหางยาวที่เบาแล้วก็ต้องควบคุม แล้วก็มีลากด้วย แต่ก็เป็นฉากไล่ล่าที่ผมกับนิค กำลังจะไปฆ่ามาเฟียคนนึง แล้วเราก็ต้องขับเรือไล่ล่ามีเรือมีมอเตอร์เรือระเบิด มีอะไรหลายๆ อย่าวก็สนุกดีครับ