“India Fair@Bankok 2008 ” เปิดตัวสุดยิ่งใหญ่ กลุ่มธุรกิจอินเดียผนึกกำลัง โรดโชว์สินค้าบุกเมืองไทย หวังสร้างฐานเป็นศูนย์กลาง รุกสู่ตลาดอาเซียน - อินโดจีน

ข่าวทั่วไป Thursday July 24, 2008 17:49 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--24 ก.ค.--
กรมส่งเสริมการส่งออกอินเดีย ผนึกสถานทูตและสภาอุตสาหกรรมแห่งอินเดีย เปิดตัวงาน “อินเดียแฟร์ แอท แบงก์คอก 2008” สุดอลังการ โดยกลุ่มนักธุรกิจแดนภารตะ นำสินค้าสุดยอดเทคโนโลยีในภาคอุตสาหกรรม อาทิ ด้านเครื่องจักรกล-ยานยนต์, โปรแกรมคอมพิวเตอร์, ยาและเวชภัณฑ์,วัฒนธรรม,แฟชั่น และการท่องเที่ยว อวดโฉมรุกตลาดในเมืองไทย หวังสร้างเป็นศูนย์กลางการค้าในกลุ่มอาเซียน และอินโดจีน ขณะที่บริษัทกลุ่มสัญชาติอินเดียในไทย ทาทา สตีล ,กลุ่มบริษัท อดิตยา เบอร์ล่า ฯลฯ ตบเท้าร่วมตอกย้ำภาพแห่งความ สำเร็จภายในงาน
ดร.ชีล่าร์ ไบร์ด(Ms Sheela Bhide) ประธานและกรรมการบริหารกรมส่งเสริมการส่งออกประเทศอินเดียหรือIndia Trade Promotion Organization (ITPO) เปิดเผยว่า ในระว่างวันที่24-27กรกฎาคม2551ณ ฮอลล์8อิมแพคเมืองทองธานีนี้ ทางITPOได้ร่วมกับสถานทูตอินเดีย และสภาอุตสาหกรรมแห่งอินเดีย ได้กำหนดจัดงาน “India Fair @ Bangkok 2008”ขึ้น มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างไทยกับอินเดีย รวมถึงการเพิ่มช่องทางการขยายตัวทางธุรกิจของทั้งสองประเทศในอนาคต สำหรับนโยบายการรุกตลาดในต่างประเทศนั้น รัฐบาลอินเดียเน้นให้ความสำคัญการจัดโรดโชว์และงานแสดงสินค้ามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้นานาประเทศ ได้รู้จักสินค้าและกลุ่มอุตสาหกรรมของอินเดียมากยิ่งขึ้น อาทิ กลุ่มเคมีภัณฑ์, ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับยาและการแพทย์, ชิ้นส่วนยานยนต์, สินค้าประเภทเครื่องจักรกล, เครื่องยนต์,Software,เครื่องประดับ อัญมณี และสิ่งทอ ซึ่งถือว่ากลุ่มสินค้าเหล่านี้มีความโดดเด่น และเป็นจุดแข็งในภาคอุตสาหกรรมของอินเดีย
“ไทยกับอินเดียถือว่ามีความสัมพันธ์กันมาช้านาน และถือเป็นคู่ค้าที่สำคัญ โดยจะเห็นได้จากมูลค่าการค้าระหว่างกันในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2550 มีมูลค่าถึง 4.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นการส่งออกของอินเดีย 2 พันล้านเหรียญ และการส่งออกของไทย 2.7พันล้านเหรียญ และเชื่อว่าการจัดงานครั้งนี้ จะทำให้การค้าระหว่างสองประเทศแข็งแกร่งมากขึ้น และไทยก็จะเป็นตลาดสำคัญของอินเดีย และจะกลายเป็นศูนย์กลางสู่ตลาดอาเซียนและกลุ่มอินโดจีนต่อไป”ดร.ซีล่าร์ กล่าว
ดร.ซีล่าร์ ย้ำว่าอินเดียมีจุดแข็งในหลายๆ ด้าน ทำให้เศรษฐกิจอินเดียเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วปัจจุบันอินเดียมีเศรษฐกิจมูลค่ากว่าหมื่นล้านเหรียญสหรัฐ มีพื้นฐานภาคอุตสาหกรรมและการผลิตที่หลากหลาย อย่างไรก็ตามอินเดียยังต้องการการลงทุนอีกมาก ทั้งในเรื่องของระบบสาธารณูปโภคต่างๆ เช่น ถนน ไฟฟ้า ประปา ซึ่งจะเป็นโอกาสทางธุรกิจของนักลงทุนไทย ที่จะเข้าไปลงทุนในส่วนนี้
ด้าน นายราจีฟ คาล์ (Mr Rajive Kau) ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งอินเดีย หรือ Confederation of India Industry (CII) กล่าวถึงการสนับสนุนการจัดงาน India Fair @ Bangkok 2008ว่า เป็นนโยบายหลักขององค์กร ที่ต้องส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันและโอกาสทางธุรกิจให้กับในภาคอุตสาหกรรมของประเทศอินเดีย สำหรับสภาอุตสาหกรรมฯ ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อกว่า 112 ปี มีหน้าที่รับผิด ชอบในการสร้าง และรักษาสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมในอินเดีย โดยการสร้างให้เกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่างภาคอุตสาหกรรมและภาครัฐ ผ่านกระบวนการให้คำปรึกษาต่างๆ อีกทั้งยังมีแนวคิดในการ ‘สร้างคน สร้างอินเดีย’ เพื่อพัฒนาความสามารถด้านทรัพยากรบุคคลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
“ในปัจจุบันเรามีสำนักงานอยู่ 57 แห่งทั่วประเทศอินเดีย และสำนักงานสาขาต่างประเทศอีก8 แห่ง ทั้งในออสเตรเลีย ออสเตรียจีน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น สิงคโปร์ อังกฤษ ยุโรป และองค์กรพันธมิตรอีกกว่า 240 แห่งใน 101 ประเทศ จึงทำให้CIIเป็นแม่แบบให้ทั้งอุตสาหกรรมในอินเดีย และกลุ่มธุรกิจนานาชาติ จึงเชื่อว่า การจัดงานครั้งนี้ จะเกิดประโยชน์ในการลงทุนทั้งแก่ไทยและอินเดีย
ขณะที่ นายมังกร ธนสารศิลป์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ The Federation of Thai Industries (FTI) กล่าวถึงการค้าระหว่างไทยกับอินเดียว่า ปัจจุบันทั้งสองประเทศมีมูลค่าการส่งออกและนำเข้าเพิ่มสูงขึ้นอย่าง ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจอันใกล้ชิดระหว่างกัน สำหรับการจัดงานอินเดียแฟร์2008ครั้งนี้ FTI สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยมีส่วนร่วมในการให้การสนับสนุน จะมีทั้งในส่วนของการแสดงสินค้า และการสัมมนาที่จะเปิดลู่ทางให้กับนักลงทุน ได้เห็นถึงศักยภาพทางอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งของอินเดีย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้านเคมีภัณฑ์ ,ระบบไอทีโซลูชั่น, ยานยนต์ , ผลิตภัณฑ์เหล็กและโลหะ ฯลฯ อันจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งการถ่ายทอดและแลกเปลี่ยน ในเชิงของเทคโนโลยีและวิชาการของทั้งสองประเทศด้วย
“มีบริษัทสัญชาติอินเดียเข้ามาลงทุนในประเทศไทยแล้วหลายบริษัท ทั้งนี้ จากข้อมูลของIMFพบว่า เศรษฐกิจของอินเดียเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2002-2007) เศรษฐกิจอินเดียขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 9.5 ต่อปี ซึ่งในปี 2008IMFคาดว่าเศรษฐกิจอินเดียจะขยายตัวร้อยละ 7.9 ชะลอตัวลงเล็กน้อยจากปี 2007 ที่ขยายตัวร้อยละ 9.2 เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก”นายมังกร กล่าว
อย่างไรก็ตาม จากค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ที่เศรษฐกิจอินเดียขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 9.5 ต่อปี ชี้ให้เห็นว่า ตลาดอินเดียเป็นตลาดที่มีศักยภาพที่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ การที่นักลงทุนไทยจะมองหาโอกาสในการเข้าไปลงทุนร่วมกันกับบริษัทจากอินเดียจึงยังมีความเป็นไปได้อีกมาก ทั้งนี้ ในการร่วมลงทุนที่ประสบความสำเร็จนั้น ขึ้นอยู่กับว่าผู้ประกอบการไทยมีความสนใจและถนัดในอุตสาหกรรมประเภทนั้นๆ ด้วย ซึ่งผู้ประกอบการไทยสามารถเข้ามาสำรวจความต้องการได้ที่งาน India Fair at Bangkok 2008ที่กำลังมีขึ้นในครั้งนี้
ด้าน นางศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการกองนิทรรศการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) หรือ TCEPกล่าวว่า สำหรับการจัดงานแสดงสินค้าในครั้งนี้ สสปน. ได้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมสนับสนุนงาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ในแง่ของการค้า และการลงทุนระหว่างประเทศไทยกับอินเดีย ทั้งนี่ที่ผ่านมา การค้าไทยกับอินเดียได้มีอัตราเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี และที่สำคัญไม่ใช่เป็นเพียงแค่ประโยชน์แก่ผู้ประกอบการทั้งสองประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นการต่อยอดทางเศรษฐกิจไปสู่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคทั้งในกลุ่มASEANและ BIMSTEC*อีกด้วย
“โดยเป้าหมายการขยายตลาดการส่งออกของอินเดีย โดยเฉพาะประเทศไทยมีศักยภาพสามารถรองรับสินค้าอินเดีย และมีขีดความสามารถในด้านการผลิตไทยเป็นตลาดคู่ค้า ที่จะเป็นประตูไปสู่อาเซียนที่มีประชากรกว่า500ล้านคนได้ ภายในงานIndia Fairจะเป็นที่รวมของบริษัทอินเดียทั้งขนาดใหญ่และเล็ก ในหลากหลายประเภทจะเป็นการสร้างมูลค่าการค้าของทั้งสองประเทศ ให้เพิ่มมากขึ้น” ผอ.กองนิทรรศการ สสปน.กล่าว
ขณะที่กลุ่มบริษัทสัญชาติอินเดียที่ดำเนินธุรกิจในไทย โดย นายพงษ์กานต์ หงส์สกุล ผู้จัดการส่วนการตลาด บริษัท ทาทาสตีล (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ TSTHซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มทาทาสตีลอินเดีย ดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมโลหะ-เหล็ก เปิดเผยว่า การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการเปิดตัว และสร้างโอกาสให้กับนักลงทุนได้รู้จักกลุ่มบริษัททาทาสตีลแล้ว ยังเป็นการร่วมฉลอง 60 ปี ความสัมพันธ์ไทย-อินเดีย ด้วย
“บริษัททาทาสตีล เข้ามาบุกตลาดในเมืองไทย เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเราต้องการให้นักลงทุนไทยรู้จักเรามากขึ้น เพราะอินเดียถือว่าเป็นมหาอำนาจทางด้านอุตสาหกรรมเช่นกัน แต่คนไทยกลับรับรู้ข้อมูลน้อยมาก โดยรูปแบบของการเข้าร่วมงานครั้งนี้ เราจะจัดเป็นนิทรรศการ การให้ข้อมูลทางธุรกิจ เพื่อให้เห็นถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมเหล็กของอินเดีย โดยผลประกอบการของบริษัทในปีที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายเหล็กเส้นกว่า 1.3 ล้านตัน มีส่วนแบ่งทางการตลาดในกลุ่มเหล็กเส้นมากว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่มูลค่าการผลิตรวมของอุตสาหกรรมเหล็กทั้งหมดประมาณ 12 ล้านตันต่อปี”
อย่างไรก็ตาม สำหรับอุตสาหกรรมเหล็กของไทยในปีที่ผ่านมา ไม่ค่อยหวือหวามากนัก เพราะโครงการเมกกะโปรเจคต์ยังไม่ค่อยมี ขณะที่ราคาเหล็กขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งในเรื่องราคาน้ำมัน และทิศทางของกลุ่มประเทศผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ หรือ กลุ่มบริค(BRIC)ซึ่งประกอบด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน ว่าจะมีการผลิตและส่งออกเหล็กมากน้อยเพียงใด
ด้าน มยุรี ณ รังศิลป์ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ กลุ่มบริษัท อดิตยา เบอร์ล่า เคมีคัลส์ (ประเทศไทย) จำกัด (Aditya Birla Group) ที่ดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมเส้นใยและเส้นด้าย ธุรกิจผงถ่านดำ ธุรกิจเส้นใย อคริลิค และธุรกิจเคมีภัณฑ์ เปิดเผยว่า การเข้าร่วมงานIndiaFair @ Bangkok 2008 ครั้งนี้ จะเป็นการประชาสัมพันธ์กลุ่มอดิตยา เบอร์ล่า ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมากขึ้น ซึ่งกลุ่มอดิตยาเบอร์ล่า ถือว่าเป็นนักธุรกิจอินเดียกลุ่มแรก ที่มาร่วมทำทุนกับประเทศไทย ปัจจุบันมีพนักงานในเมืองไทยถึง 6,000 กว่าคน
“เราหวังว่า การเข้าร่วมงานครั้งนี้ จะทำให้ทุกคนรู้จักกลุ่มอดิตยามากขึ้น มีการเรียนรู้ และแลก เปลี่ยนประสบการณ์ด้านธุรกิจจากบริษัทผู้เข้าร่วมงานรายอื่นมากขึ้น ขณะเดียวกันเราก็อยากที่จะโชว์ศักยภาพของกลุ่มอดิตยาเบอร์ล่า ให้เป็นที่ประจักษ์ด้วยเช่นกัน และเราเชื่อว่า หากกลุ่มธุรกิจจากอินเดียเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้น จะส่งผลดีและเกิดประโยชน์ต่อไทย เพราะความรู้ทางด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ,ด้านวิศวกรรม ,ด้านการแพทย์ ฯลฯ ในไทยยังไม่มีความเชี่ยวชาญทางด้านนี้ ซึ่งหากมีความร่วมมือกันของสองประเทศ ก็จะมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีเหล่านี้ให้กับประเทศไทยมากขึ้น”ฝ่ายประชา สัมพันธ์ กลุ่มบริษัท อดิตยา เบอร์ล่า กล่าวในตอนท้าย
หมายเหตุ:ข้อมูลเพิ่มเติม
***อัตราการขยายตัวGDPของประเทศอินเดียระหว่างปี 2002-2008
ที่มา: IMF
***ภาพโดยรวมของภาวะการค้า การลงทุน ของทั้งสองประเทศในปัจจุบัน
การค้าทวิภาคี
(Value in US$ Million)
2002-03 2003-04 2004-05 2005-06 2006-07
มูลค่าสินค้านำเข้าจากอินเดีย 711 832 901 1075 1443
มูลค่าสินค้าส่งออกจากอินเดีย 379 609 866 1211 1263
รวมมูลค่าการส่งออกและนำเข้า 1090 1441 1767 2286 2706
*** BIMSTEC*** หรือ BIMST-EC (Bangladesh-India-Myanmar-SriLanka-Thailand Economic Cooperation)
เป็นกรอบความร่วมมือระหว่าง 7 ประเทศในภูมิภาคอ่าวเบงกอล ได้แก่ บังกลาเทศ ภูฏาน อินเดีย พม่า เนปาล ศรีลังกา และไทย โดยประเทศสมาชิกจะต้องมีภูมิประเทศติดอ่าวเบงกอล หรือพึ่งพิงอ่าวเบง กอลเป็นหลัก ซึ่งข้อตกลงทั้งหมดนี้ จะช่วยส่งเสริมและสร้างสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทย-อินเดียให้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่:ฝ่ายประชาสัมพันธ์งาน“IndiaFair@Bankok 2008 ”
ไอริณ ฤกษะสาร 081 584 1707
ภัทรวดี ใจผ่อง (เอ) 086 334 1894
ฐปณี จันทคัด (จุ๊) 081 534 5832
พัทธ์ธีรา ศรีศักดิ์วิชัย (นก)081 621 6620

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ