(ต่อ2) วอเนอร์ เสนอเรื่องย่อภาพยนตร์ MISS CONGENIALITY PRODUCTION NOTE

ข่าวทั่วไป Thursday March 10, 2005 16:22 —ThaiPR.net

ในอีกด้านหนึ่ง ที่ปรึกษาทางด้านเอฟบีไอ ทอม เฟลทเชอร์นั้นเป็นผู้ที่คอยดูว่าเครื่องแบบ อุปกรณ์ต่างๆที่ตัวละครซึ่งแสดงเป็นเจ้าหน้าที่นั้นใส่ออกมาถูกต้อง ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงเราก็ทำได้เพียงให้ “ดู” สมจริงเท่านั้น เฟลทเชอร์ยอมรับว่า “ทุกอย่างในภาพยนตร์นั้นน้ำหนักเบากว่าของจริงหลายเท่า” “อุปกรณ์ของเราธรรมดาแล้วจะหนักประมาณ 75-90 ปอนด์ขึ้นอยู่กับว่าใครต้องถืออะไร ที่เราใช้ในภาพยนตร์จะหนักประมาณ 20-25 ปอนด์ ปืนทุกกระบอกเป็นพลาสติดหมด”
คุณกลั้นหายใจใต้น้ำได้นานแค่ไหน?
เมื่อคุณจมไปกับการแสดงโจรสลัดแห่งเกาะมหาสมบัติ
การแสดงสตั๊นท์สำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้คือฉากของการแสดงเกาะมหาสมบัติที่ Siren ซึ่งทุกวันจะมีนักท่องเที่ยวนับร้อยมารวมตัวกันเพื่อชมการแสดงกลางแจ้งที่โจรสลัดต่อสู้กันและเรือที่พ่ายแพ้ก็จะจมลงในบึง
ภาพบางอันเราก็ถ่ายทำในสถานที่เลย โดยที่ทีมนักแสดงและทีมงานถ่ายทำต้องว่ายน้ำหรือปีนป่ายกันอยู่รอบอ่างเพื่อให้ได้มุมกล้องที่สำคัญๆต่างๆ แต่ภาพส่วนใหญ่ที่สำคัญๆที่ต้องถ่านทำใต้น้ำนั้นถ่ายกันที่อ่างจำลองขนาดเท่าของจริงที่โรงถ่าย 16 ในสตูดิโอของวอร์เนอร์ บรอเธอร์สที่เบอร์แบงค์ พาสคินเป็นผู้ควบคุมทุกเอง (ลมพายุที่ลาส เวกัสนั้นสามารถทำให้บึงเกาะมหาสมบัตินั้นเละเป็นโจ๊กได้ในพริบตา) ไม่ว่าจะเป็นความปลอดภัยและกลไกต่างๆที่ใช่เลื่อนขึ้นเลื่อนลงตามคิวเวลาถ่ายทำ
โรงถ่าย 16 เป็นฉากอ่างที่ลึกที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ แต่เดิมนั้นมันเคยเป็นสระน้ำตื้นๆในสตูดิโอที่ถ่ายทำภายนตร์คลาสสิกของ สเปนเซอร์ เทรซี่เรื่อง The Old Man and the Sea หลังจากนั้นก็ได้มีการขยายอ่างจากความลึก 8 ฟุต ให้ลึกถึง 22 ฟุตเพื่อถ่ายทำภาพยนตร์ของ วูล์ฟแกง ปีเตอร์สัน เรื่อง The Perfect Storm เมื่อปี 2000 ปัจจุบันนี้อ่างที่ว่ามีขนาด 95’x100’x22’ ทำให้ Miss Congeniality 2: Armed and Fabulous นั้นมีพื้นที่พอที่จะนำส่วนหนึ่งของเรือโจรสลัดจำลองขนาด 52x14 ฟุตลงไปไว้ได้ พร้อมกับระบบควบคุมที่ใช้เลื่อนเรื่อขึ้นลงจากผิวน้ำได้
“เรารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะถ่ายทำภายในเรือจากเรื่องมหาสมบัติของจริง” แอนดรูว คาน ผู้กำกับฝ่ายศิลป์เล่า ซึ่งในครั้งนี้เขากลับมาร่วมทีมกับ อามาดซึ่งทั้งสองเคยร่วมงานกันมาก่อนจากเรื่อง Dodgeball: An Underdog Story “ข้างในนั้นเป็นช่องเครื่องดีๆนี่เอง มีทั้งเครื่องยนต์กลไก แคบมากไม่มีพื้นที่เลย แต่ผู้คนมองไม่เห็นจากถนน เราต้องให้เห็นเครื่องยนต์แต่ก็ต้องให้พื้นที่สำหรับการแสดงที่จะเกิดขึ้นตรงนั้น”
เราได้สร้างส่วนหนึ่งของเรือขนาด 52 ฟุตขึ้นมาโดยยึดมุมมองของพาสคินผนวกกับมุมกล้องที่ผู้กำกับฝ่ายภาพ ปีเตอร์ แมนซี่ส์ ต้องการ พร้อมกับภาพถ่ายและการวัดสัดส่วนของเรือต้นแบบอย่างละเอียดถี่ถ้วน เรือทำจากเหล็กและไฟเบอร์กลาส สร้างขึ้นมา 8 ส่วนด้วยกันที่ฮอลลีวูดฝั่งตะวันตก แล้วจึงขนส่งมาที่โรงถ่ายเพื่อทำการประกอบอีกครั้ง ขั้นตอนทั้งหมดนี้ใช้เวลาถึง 8 สัปดาห์ด้วยกัน
นอกจากที่ลอกแบบมาให้เหมือนของจริงแล้ว ผู้ประสานงานด้าน Special effect เบิร์ต ดาลตันอธิบายถึงขั้นตอนการผลิตนั้นมีผลต่ออัตราการจม ความเร็วและมุมของเรือ เหมือนกับการแสดงที่ลาสเวกัสที่ต้องใช้ระบบไฮโดรลิคขนาด 10 ฟุตในการขับเคลื่อน “เรากำลังพยายามลอกแบบการแสดงที่เกาะมหาสมบัติ (Treasure Island) ซึ่งเรือนั้นไม่ได้จมดิ่งลงไปเลย แต่มันจะค่อยๆเอียง โดยที่มีแท่นรองรับขนาดใหญ่มากรองรับเรืออยู่ เมื่อแท่นข้างล่างจะควบคุมโดยระบบไฮโดรลิคค่อยๆดันเรือให้จมลงไปใต้น้ำ เราจะเห็นนักแสดงข้างในได้ใขขณะที่น้ำค่อยๆท่วมเข้าไป คุณจะเห็นว่ามันค่อยรั่วแล้วน้ำก็จะค่อยๆท่วมจนนักแสดงและทีมงานทุกท่านจมมิดอยู่ใต้น้ำ ทุกครั้งที่มีการเทค เราต้องนำจัวนักแสดงออกไป นำเรือขึ้นมาอยุ่ตำแหน่งเดิมแล้วก็ทำให้เรือแห้ง นักแสดงก็เช็ดเนื้อเช็ดตัว แต่งหน้าใหม่ แล้วจึงกลับเข้าตำแหน่งเดิมจึงเริ่มถ่ายอีกครั้ง”
ในการนำเรือที่มีน้ำหนัก 50,000 ปอนด์ขึ้นมาจากน้ำ ขั้นตอนก็ก็สวนทางกัน เริ่มการระบบระบายน้ำออก ซึ่งทำอย่างควบคุมโดยคอมพิวเตอร์เพื่อให้ได้ภาพที่นิ่งและแม่นยำ และมีการวัดความดัน ความสมดุลและตรวจสอบอันตรายมี่อาจจะเกิดขึ้นอยู่ตลอดอย่างสม่ำเสมอ แต่ถึงแม้ว่าทุกอย่างจะดูไฮเทคมากๆ ดอลตันก็พูดล้อเล่นว่าแผนฉุกเฉินที่เตรียมไว้ค่อนข้างจะโบราณไปหน่อยนั้นก็คือ “ดึงปลั๊กทุกอย่างและไปหารถยกขนาดใหญ่มา”
ทีมนักแสดง
แซนดร้า บูลล็อค (เกรซี่ อาท/ ผู้ผลิต) เป็นนักแสดงนำหญิงที่โด่งดังคนหนึ่งของฮอลีวูดเลยทีเดียว เธอแสดงคู่กับ ฮิวจ์ แกรนท์ในภาพยนตร์โรแมนติคคอมเมดี้เรื่อง Two Weeks Notice ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้เธอทำหน้าที่เป็นผู้ผลิตด้วยนั้นทำรายได้ไปมากถึง 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว บูลล็อคได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับวงการโทรทัศน์ด้วยโดยเป็นผู้ผลิตรายการ The George Lopez Show ซึ่งตอนนี้กำลังฉายเป็นฤดูกาลที่สามแล้วในช่อง ABC นอกจากนี้เธอยังแสดงในภาพยนตร์อิสระเรื่อง Crash ซึ่งจะออกฉายในเดือนเมษายน 2005 นี้ด้วย ภาพยนตร์เรื่องนี้มีทีมนักแสดงกลุ่มใหญ่และกำกับโดยพอล แฮกกินส์
ผลงานที่ผ่านมาไม่นานมานี้ของบูลล็อคได้แก่ บทแสดงนำในภาพยนตร์ตลกยอดฮิตเรื่อง Miss Congeniality ซึ่งเธอร่วมผลิตด้วย และยังมีภาพยนตร์แนวเขย่าขวัญเชิงจิตวิทยาเรื่อง Murder By Numbers ซึ่งเธอก็ทำหน้าที่ผู้ผลิตด้วย นอกจากนี้เธอยังนำแสดงภาพยนตร์เรื่อง Divine Secrets of the Ya Ya Sisterhood ซึ่งกำกับโดยผู้กำกับมือใหม่ คาลลี่ คูห์ริ (Callie Khouri)
บทบาทที่เป็นที่รู้จักกันในภาพยนตร์ต่างๆ เริ่มจากครั้งแรกในภาพยนตร์ยอดนิยมปี 1994 เรื่อง Speed ภาพยนตร์อีกสองเรื่องต่อมาคือ While You Were Sleeping ซึ่งจากเรื่องนี้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโกลเด้นโกลบด้วน และเรื่อง The Net ทั้งสองเรื่องนี้ถือว่าประสบความสำเร็จเลยทีเดียว บทแสดงนำต่อมาได้แก่ภาพยนตร์ยอดนิยมเร็วๆนี้คือเรื่อง Forces of Nature, Hope Floats ซึ่งเป็นเรื่องแรกที่เธอทำหน้าที่การผลิต ส่วนเรื่อง Practical Magic และ Gun Shy เธอได้ร่วมผลิตด้วยให้กับบริษัทโปรดักชั่นของเธอที่ชื่อ Fortis Film
ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆที่เธอร่วมแสดงได้แก่เรื่อง Speed 2: Cruise Control; A Time to Kill; In Love and War; Two if by Sea; The Vanishing; Demolition Man; Wrestling Ernest Hemingway; The Thing Called Love นอกจากนี้เธอยังเป็นผู้ให้เสียงตัวละคร มีเรียม (Miriam) ในเรื่อง Prince of Egypt ด้วย
บูลล็อครับหน้าที่เขียนบทและกำกับครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่องสั้น Making Sandwiches ซึ่งเธอได้ร่วมแสดงกับ แม็ทธิว แม็คโคโนเฮ (Matthew McConaughey) ที่ออกฉายครั้งแรกที่เทศกาลภาพยนตร์ Sundance (Sundance File Festival) เมื่อปี 1997
บูลล็อคได้รับรางวัลต่างๆหลายรางวัลและยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอยู่หลายครั้งด้วยกัน ซึ่งมีรางวัล Blockbuster Entertainment สองรางวัล และรางวัล MTV Movie สองรางวัลจากบทบาทของเธอในเรื่อง Speed เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลต่างๆดังนี้ รางวัลGolden Globe จากเรื่อง Miss Congeniality, รางวัล American Comedy, รางวัล People’s Choice จากเรื่อง A Time to Kill, และรางวัล Blockbuster Entertainment สองรางวัลจากการแสดงเรื่อง While You Were Sleeping และ A Time to Kill ในปี 1996 บูลล็อคได้รับการคิดเลือกให้เป็น ดาราหญิงยอดเยี่ยมแห่งปี โดย NATO/Sho West
ต้องขอบคุณบทต่างๆในภาพยนตร์หลายอันด้วยกันที่ทำให้ เรจิน่า คิง (แซม ฟูลเลอร์) และความสามารถของเธอเป็นที่รู้จักกันดีในฮอลลีวูด นักแสดงคนเก่งคนนี้ปรากฏตัวล่าสุดในภาพยนตร์เรื่อง Ray โดยแสดงคู่กับ เจมี่ ฟอกซ์ (Jamie Foxx)
คิงนั้นกำลังทำซีรี่ส์อนิเมชั่นเรื่อง Boodocks ซึ่งเธอเป็นคนให้เสียงตัวละครชื่อ ไรลี่ย์ (Riley) Boondocks จะออกอากาศรอบปฐมทัศน์ช่วงฤดูใบไม้ผลิในช่อง Cartoon Network ในช่วงรายการตอนดึก “Adult Swim”
เธอเพิ่งแสดงภาพยนตร์เรื่อง A Cinderella Story คู่กับ ฮิลลารี่ ดัฟ (Hilary Duff) และร่วมกับ รีส วิทเธอร์สพูน (Resse Witherspoon) ในเรื่อง Legally Blonde 2: Red, While and Blonde ซึ่งเป็นภาคต่อที่ทุกคนตั้งตาคอยต่อจาก Legally Blonde เมื่อปี 2000 ปีที่แล้วเธอก็ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Daddy Day Care ซึ่งเธอแสดงคู่กับ เอ็ดดี้ เมอร์ฟี้ (Eddie Murphy)
เธอเกิดและเติบโตในลอส แอนเจลิส และก้าวเข้าสู่จอแก้วครั้งแรกกับละครยอดฮิต 227 หลังจากห้าฤดูกาลผ่านไป คิงก็ก้าวเข้ามาสู่จอเงินกับการแสดงในภาพยนตร์ที่กำกับโดย จอห์น ซิงเกิลตัน (John Singleton)เรื่อง Boys N the Hood ซึ่งเธอกำลังจะกลับไปร่วมงานกับซิงเกิลตันอีกครั้งในเรื่อง Poetic Justice และ Higher Learning คิงนั้นมีความสม่ำเสมอในการแสดงความสามารถในบทต่างๆ ซึ่งเธอแสดงบทดรามาสลับกับบทตลก ยกตัวอย่างเช่นในภาพยนตร์เรื่อง Friday ที่แสดงกับไอซ์ คูบว์ (Ice Cube) และเรื่อง A Thin Line Between Love and Hate ที่แสดงกับ มาร์ติน ลอว์เรนซ์ (Martin Lawrence)
แต่ที่แน่มันต้องมีจุดหักเหครั้งสำคัญในชีวิตการทำงานของเธอ ซึ่งในปี 1997 เธอได้รับบทที่น่าประทับใจเป็นภรรยาของคิวบา กู๊ดดิ้ง จูเนียร์ (Cuba Gooding Jr.) ที่ชื่อ มาร์ซี่ในภาพยนตร์เรื่อง Jerry Mcguire การแสดงครั้งนี้เองนำเธอไปสู่การแสดงเรื่องภาพยนตร์เรื่อง How Stella Got Her Groove Back ที่แสดงกับแอนเจล่า บาสเซท (Angela Basset) หรือบทในภาพยนตร์แอคชั่นเขย่าขวัญในเรื่อง Enemy of the State ที่แสดงกับ วิล สมิธ (Will Smith) หรือภาพยนตร์ผจญภัยครอบครัว Mighty Joe Young ที่แสดงกับชาร์ลิซ เธรอน (Charlize Theron) และภาพยนตร์ตลกเรื่อง Down to Earth ที่แสดงกับ คริส ร็อค (Chris Rock)
คิงได้กลับมาแสดงในจอแก้วอีกครั้งในปี 2000 กับบทในภาพยนตร์โทรทัศน์อันโด่งดังของ HBO เรื่อง If These Walls Could Talk 2 และการแสดงภาพยนตร์ตลกของ NBC เรื่อง Leap of Faith ในปี 2002
คิงพำนักอยู่ที่ลอส แอนเจลิสกับสามี เอียน (Ian) และลูกชายอายุเก้าขวบ เอียนจูเนียร์ (Ian Jr.)
คุณสามารถพบ เอ็นริเก้ เมอร์เซียโน (เจฟ ฟอร็แมน) แสดงเป็น แดนนี้ เทเลอร์ในซี่รี่ส์ยอดฮิต CBSของเจอร์รี่ บร็อคไฮเมอร์เรื่อง Without A Trace ซึ่งได้รับการเนอชื่อเข้าชิงรางวัล SAG ด้วย ละครชุดนี้กำลังเข้าฤดูการที่สามแล้ว และเป็นละคะดรามาที่ได้รับความนิยมสูงสุดเป็นอันดับสองในฤดูกาลปี 2002/2003
เมอร์เซียโน่นั้นหยุดรับงานไปช่วงหน้าร้อนที่ยุ่งๆในปี 2004 แต่จะแสดงในภาพยนตร์ที่แอนดี้ การ์เซีย (Andy Garcia) ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับเป็นเรื่องแรก Lost City นักแสดงที่ร่วมแสดงเรื่องนี้ด้วยคือ การ์เซีย (Garcia) โรเบิร์ต ดูวาล (Robert Duvall) ดัสติน ฮอฟแมน (Dustin Hoffman) และ บิลเมอร์เรย์ (Bill Murray)
เมอร์เซียโนนั้นสนใจการแสดงมาตลอด และตัดสินใจที่จะมาฮอลลีวูดหลังจากที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัย Tulane และเข้าโรงเรียนกฎหมายไปปีหนึ่งที่ New England School of Law เมื่อเขามาถึงลอสแอนเจลิส เขาเข้าไปรับการฝึกที่สตูดิโอ Larry Moss การก้าวเข้าวงการอย่างเต็มตัวของเขาเริ่มจากงานในภาพยนตร์เรื่อง Traffic ที่ได้รับรางวัลออสการ์ของสตีเว่น โซโดเบิร์ก (Steven Soderbergh) ซึ่งตอนแรกไปช่วยงานเพียงสองวันแต่ก็กลายเป็นการทำงานหลายสัปดาห์ด้วยกัน
เมอร์เซียโนแสดงในเรื่อง Black Hawk Down ซึ่งกำกับโดยผู้กำกับรุ่นเก๋าริดลี่ย์ สก็อต (Ridley Scott) และผู้ผลิตเจอร์รี่ บร็อคไฮเมอร์ (Jerry Bruckheimer) ทีมนักแสดงของเรื่องนี้ได้แก้ จอช ฮาร์เนท (Josh Harnett) และทอม ซีมอร์ (Tom Sizemore) งานแสดงอื่นๆของเขาเช่นการแสดงในกาพยนตร์ตลกอินดี้เรื่อง How to Go Out on a Date in Queens ที่แสดงกับเจสัน อเล็กแซนเดอร์ (Jason Alexander)
เมอร์เซียโนอาศัยอยู่ที่ลอสแอนเจลลิสแต่ก็ไปเที่ยวไมอามี่อยู่บ่อยๆเพราะเขาโตที่นั่นและครอยครัวของเขายังคงอาศัยอยู่ที่นั่น เขาชื่นชอบรถและรถยนต์แปลกๆและมีความสามารถในการเล่นเปียโนและกีต้าร์ด้วย
วิลเลี่ยม แชทเนอร์ (แสตน ฟิลด์ส) คร่ำหวอดอยู่ในวงการนี้มานานถึง 50 ปี ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงมืออาชีพ ผู้กำกับ ผู้ผลิต นักเขียนบท นักประพันธ์ และ นักขี่ม้า เขาเป็นที่รู้จักกันดีในโลกวัฒนธรรม pop ในปัจจุบันและเขาก็เป็นผู้ที่มีใจบุญสุนทานคนหนึ่งของฮอลีวูดเลยที่เดียว
ในเดือนกันยายนปี 2004 แชทเนอร์ได้รับรางวัลเอมมี่จากการแสดงบทนักกฎหมายเดนนี่ เครน ในเรื่อง The Practice แชทเนอร์ได้กลับไปรับบทเดิมในรายการยอดฮิตของ ABC เรื่อง Boston Legal ซึ่งการแสดงครั้งนี้ทำให้เขาได้รับรางวัล Golden Globe ในเดือนมกราคมปี 2005
แชทเนอร์แสดงภาพยนตร์ครั้งแรกในเรื่อง The Brothers Karamazov ในปี 1957 ซึ่งตามมาด้วยภาพยนตร์เรื่อง Judgement a t Nuremburg และเรื่อง The Intruder ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เขาแสดงละคร บรอดเวย์เรื่อง The World of Suzie Wong และ A Shot in the Dark ด้วย หลังจากนั้นเขาก็เป็นนักแสดงรับเขิญในรายการโทรทัศน์นับร้อนซึ่งมีทั้งรายการคลาสสิกอย่าง The Twilight Zone, Alfred Hitchcock Presents, Mission: Impossible, 77 Sunset Strip และ Dr. Kildare ซึ่งต่อมาเขาได้รับการเสนอชื่อเขาชิงรางวัลเอมมี่จากการแสดงในเรื่อง 3rd Rock from the Sun นอกจากนั้น แชทเนอร์ยังได้รับแสดงบทนำในละครซีรี่ส์ยอดนิยมเรื่อง T.J. Hooker และเป็นผู้ดำเนินรายการ Rescue 911 ของทางCBS ติดต่อกันถึง 6 ฤดูกาล
ในปี 1966 รับแสดงบทของกัปตัน เจมส์ ที เคิร์ค ในซีรีส์โทรทัศน์เรื่อง Star Trek และเขาก็กลับมารับบทนี้อีกครั้งในภาพยนตร์ Star Trek และก็ปรากฏตัวในภาพยนตร์ต่างๆเช่น Airplane II: The Sequel, Loaded Weapon 1 และ Miss Congeniality เขากำกับภาพยนตร์ครั้งแรกในเรื่อง Star Trek V: The Final Frontier เมื่อปี 1989 และเมื่อไม่นานมานี้เขาทำหน้าที่ผู้กำกับและผู้ผลิตภาพยนตร์เรื่อง Groom Lake
แชทเนอร์ยังเป็นนักประพันธ์หนังสือยอดนิยมมากมายเกิน 20 เรื่องด้วยกัน ทั้งประเภทเรื่องจริงและเรื่องแต่ง นวนิยายเรื่อง TekWar ของเขาได้นำมาทำเป็นซีรี่ส์ทางโทรทัศน์สำหรับช่อง Sci-Fi Network ซึ่งเขาก็แสดงและกำกับด้วย ตัวอย่างหนังสือขายดีของเขาได้แก่ Man O’ War, Star Trek Avenger, Ashes of Eden, Star Trek Memories, Star Trek Movie Memories และ Get A Life!
แชทเนอร์ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอีกอย่างหนึ่งคือ การเพาะพันธ์ม้า ในเดือนสิงหาคมปี 1997 เขาได้รับรางวัลชนะเลิศ World Harness Championship ที่ลูอิสวิล เคนตัคกี้ กับม้าพันธุ์ Saddlebred ที่ชื่อ Revival เขายังคงแสดง เขียน ทำการผลิต และกำกับต่อไปเรื่อยและยังสามารถเจียดเวลามาทำงานการกุศลและทำงานด้านม้าที่เขารักอีกด้วย เขาแต่งงานกับภรรยาของเขา อลิซาเบธ มีบุตรด้วยกัน 3 คนและพำนักอยู่ที่ลอสแอนเจลิส
คงมีนักแสดงไม่กี่ท่านที่มีประสบการณ์การทำงานที่ยาวนานและหลากหลายได้อย่าง เออร์นี่ ฮัดสัน (แม็คโดนัลด์) แต่การแสดงบทในภาพยนตร์ของฮัดสันนั้นไม่เหมือนใคร เพราะเขาสามารถแสดงได้ทุกบทบาท เขาตัวเลอะเปราะเปื้อนเมื่อเขาแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Ghostbusters เขาแสดงเป็นช่างซ่อมซื่อๆที่ชื่อ โซโลมอนในเรื่อง The Hand that Rocks the Cradle เขารับบท วาร์เดน เกลนในซีรี่ส์ยอดฮิตของ HBO เรื่อง Oz ติดต่อกันถึง 7 ฤดูกาลด้วยกันซึ่งจากบทนี้เขาได้รับรางวัล International Press Academy Golden Satellite สำหรับรางวัลนักแสดงชายในซีรี่ส์ดรามาที่มีการแสดงยอดเยี่ยม เขาแสดงเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ขึงขังในรายการ 10-8 ของ ABC และเพิ่งถ่ายทำภาพยนตร์ของ HBO เรื่อง Lackawanna Blues และภาพยนตร์เรื่องใหม่ของแรนดี้ มิลเลอร์ เรื่อง Miss Hotchkiss Ballroom Dancing and Charm School เสร็จเรียบร้อย ซึ่งภาพยนตร์ทั้งสองจะออกฉายครั้งแรกที่เทศกาลภาพยนตร์ Sundance ปี 2005
ฮัดสันแสดงภาพยนตร์เรื่องแรก Leadbelly ของกอร์ดอน พาร์ค ซึ่งนำไปสู่บทบาทอื่นๆเช่น The Main Event ที่แสดงกับ บาร์บาร่า สไตรแซน เรื่อง The Jazz Singer กับนีล ไดมอนด์ เรื่อง The Octagon กับชัค นอริส เรื่อง Going Berserk กับจอห์น แคนดี้ และรายการโทรทัศน์ที่โด่งดังเช่น King ของแอบบี้ แมนและรายการเรตติ้งสูงอย่าง Roots II ฮัดสันแสดงสลับไปมาระหว่างจอเงินและจอแก้วจนถึงปี 1983 เมื่อเขาได้รับคัดเลือกให้รับบท วินสตัน เข้าร่วมทีม Ghostbusters เป็นคนที่สี่ ภาพยนตร์เรื่อง Ghostbusters ทั้งสองภาคได้รับการนิยมอย่างมากซึ่งผู้ร่วมแสดงคนอื่นๆคือ บิล เมอรเรย์ และ แดน แอคครอยด์ ผลงานต่างๆจองฮัดสันที่ตามมาได้แก่บทในเรื่อง Weeds, Leviathan, Sugar Hill, The Cowboy Way, Speechless, No Escape, The Substitute, The Basketball Diaries, Congo และ The Crow
ตลอดชีวิตการทำงานฮัดสันหลีกเลี่ยงที่จะรับบทประเภทเดิมๆซึ่งทำให้เขาเล่นบทบาทที่หลากหลายเช่น นักกอล์ฟที่ติดซิก้าร์ในเรื่อง Miravle on the 17th Green, บทผู้ก่อการร้ายมืออาชีพในภาพยนตร์ยอดฮิตของ TBS เรื่อง Nowhere to Land, หรือบทฆาตกรสุดโหดในภาพยนตร์เขย่าขวัญ October 22, บทประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในภาพยนตร์แอคชั่น Stealth Fighter หรือบทเจมส์ จอร์แดนในภาพยนตร์ครอบครัวสำหรับโทรทัศน์ของฟอกซ์เรื่อง Michael Jordan: An American Hero ผลงานที่เพิ่งผ่านมาไม่นานได้แก่ A&E;s Spenser: Walking Shadows ที่แสดงกับ โจ มอนเตนา และ มาร์ชา เกย์ ฮาร์เดน และภาพยนตร์ของ CBS เรื่อง A Town Without Christmas ที่แสดงกับ แพททริเซีย ฮีตัน และปีเตอร์ ฟาลค์
เมื่อเขาไม่ทำงาน ฮัดสันชอบอยู่บ้านกันภรรยา ลินดา และลูกชายสองคนที่ชื่อ แอนดริวกับรอส
เฮเธอร์ เบิร์นส์ (เชอร์ริล) กลับมารับบทเดิท นางงามจากโรด ไอซ์แลนด์ จากเรื่อง Miss Congeniality ซึ่งนักแสดงสาวท่านนี้ได้ทำงานร่วมกับ แซนดร้า บูลล็อคและมาร์ค ลอว์เรนซ์ นักเขียน/ผู้กำกับ มาแล้วในเรื่อง Miss Congeniality และ Two Weeks Notice
เบิร์นส์ปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่อง You’ve Got Mail ของนอร่า เอฟรอน ซึ่งหลังจากนั้นก็มีผลงานออกมาเรื่อยๆ หลังจากการถ่ายภาพยนตร์ครั้งแรก เบิร์นส์ก็เริ่มตั้งมาตรฐานให้ตัวเองคือคนที่ทำงานกับเธอครั้งแรกแล้วมักจะมาร่วมงานกับเธออีกครั้ง เร็วๆนี้คุณจะได้พบเธอในเรื่อง Bewitched ของเอฟรอน ซึ่งแสดงร่วมกับ นิโคล คิดแมนและ วิล เฟอร็เรล
เบิร์นส์จบจากโรงเรียนสองการแสดง Atlantic Theater Company Acting School ภายใต้สังกัดของโรงเรียน TISCH School of the Arts มหาวิทยาลัยนิวยอร์ค แล้วจึงกลับมาแสดงในภาพยนตร์เรื่อง All Things Considered ซึ่งกำกับโดย เดวิด พิททู และเรื่อง Writer’s Block ซึ่งกำกับโดย วู๊ดดี้ อัลเลน เบิร์นส์ทำงานกันนักเขียนเคนเนธ โลเนอร์แกนถึงสองครั้งในเรื่อง Lobby Hero ซึ่งกำกับโดยมาร์ค โบร์คาว ที่โรงละคร Playwrights Horizon และ John Houseman Theatre กับเรื่อง This is our Youth ของ Lodon’s West End Production ที่โรงละคร Garrick ซึ่งกำกับโดยลอว์เรนซ์ บอสเวล และแสดงร่วมกับ เฟรดดี้ ปริ๊นซ์ จูเนียร์กับคริส ไคลน์
ในโลกภาพยนตร์อิสระ คุณจะได้พบเธอในเรื่อง Kill the Poor ที่ผลิตโดยจอห์น มาลโควิช และกำกับโดยอัลเลน เทเลอร์ และในเรื่อง Labster Farm ที่แสดงร่วมกับ เจน เคอร์ติส และแดนนี้ ไอโล หรือในเรื่อง Perception ที่แสดงกับ ไพเพอร์ เพราโบ, เซธ เมเยอร์ส และ เอเจ ไนดู ส่วนในจอแก้วเบิร์นส์เป็นนักแสดงขาประจำให้กับซีรี่ส์เรื่อง The Beat ซึ่งแสดงคู่กับ มาร์ค บัฟฟาโล่
ไดดริช เบเดอร์ (โจเอล) ร่วมแสดงในรายการตลกซีรี่ส์โทรทัศน์ The Drew Carey Show เป็นออสเวลด์ ลี ฮาร์วี ตั้งแต่ปี 1995 จนรายการสิ้งสุดลงเมื่อปี 2004
นักแสดงมีความสามารถท่านนี้เป็นคนให้เสียงตัวละครในภาพยนตร์อนิเมชั่นหลายเรื่องเช่น Dinotopian:Curse of the Ruby Sunstone, The Country Bears และ Ice Age และยังได้แสดงในภาพยนตร์หลายเรื่องเช่น Napoleon Dynamite, Office Space, Eurotrip, Jay and Silent Bob Strike Back และ The Beverly Hillbillies (แสดงทั้งบทเจทโทรและเจทไทรน) และเมื่อไม่นานมานี้เบเดอร์ได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง Dead & Breakfast ด้วย
ทรีท วิลเลี่ยมส์ (คอลลินส์) ประสบความสำเร็จไม่น้อยในวงการภาพยนตร์ โดยเริ่มจากบทในภาพยนตร์ซึ่งกำกับโดยไมโล ฟอร็แมน เรื่อง Hair ซึ่งเขาได้รับรางวัล Golden Globe ในปี 1980 จากภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย สองปีให้หลังเขาก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Golden Globe อีกครั้งจากการแสดงบทเดเนียล เซลโล่ ในภาพยนตร์ของ ซิดนีย์ ลูเม เรื่อง Prince of the City
ผลงานภาพยนตร์ของวิลเลี่ยมส์ได้แก่ ภาพยนตร์ของสตีเว่น สปีลเบิร์ก เรื่อง Smooth Talk เมื่อปี 1941 ซึ่งแสดงคู่กับ ลอเรน เดิร์น เรื่อง Dead Heat, Heart of Dixie, Things to Do in Denver When You’re Dead, ภาพยนตร์ของลี ทามาโฮริ เรื่อง Mulholland, เรื่อง The Phantom, Devil’s Own, The Deep End of the Ocean ซึ่งแสดงคู่กัยมิเชล ไฟเฟอร์ และภาพยนตร์ของวู๊ดดี้ อัลเลนเรื่อง Hollywood Endings
เมื่อไม่นานมานี้วิลเลี่ยมได้รับการยกย่องจากการแสดงบท เด็กเตอร์แอนดี้ บราวน์ในซีรี่ส์เรื่อง Everwood ซึ่งทำให้เข้าได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Screen Actor Guild Award สาขาการแสดงยอดเยี่ยมในซีรี่ส์ดรามาทั้งสองปี 2003 และ 2004 ส่วนผลงานในจอแก้ว จากการแสดงบทไมเคิล โอวิซในเรื่อง The Late Shite ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอมมี่สาขานักแสดงสมทบยอดเยี่ยมเมื่อปี 1996
ทีมผู้สร้างภาพยนตร์
ไม่ว่าจะเป็นการกำกับภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์หรือการผลิตละครเวที จอห์น พาสคิน (ผู้กำกับ) เป็นผู้กำกับระดับแนวหน้าในวงการบันเทิงนี้ ตลอดชีวิตการทำงานของเขา พาสคินได้ผลิตรายการซีรี่ส์ในโทรทัศน์ที่ได้รับความนิยมประสบความสำเร็จอย่างมากและเขาได้ผลิตภาพยนตร์ที่ให้ความบันเทิงกับคนทั่วโลกอีกมากมาย
ที่ผ่านมาไม่นาน พาสคินได้ทำหน้าที่เป็นผู้ผลิตและผู้กำกับให้กับรายการตลอกยอดฮิตของ ABC เรื่อง The George Lopez Show ในช่วงครึ่งแรกของปี 2003 ซึ่งตอนนี้เองทำให้เขาได้พบกับแซนดร้า บูลล็อคซึ่งเป็นผู้อำนวยการผลิตรายการ
และที่เพิ่งผ่านมาสดๆร้อนๆ พาสคินกำกับเรื่อง Joe Somebody ที่นำแสดงโดย ทิม อัลเลน, จิม เบลูชิ และ จูลี่ โบเวน ในปี 1997 เขากำกัยเรื่อง Jungle 2 Jungle ที่นำแสดงโดย ทิม อัลเลน, โจเบธ วิลเลี่ยมส์ และมาร์ติน ชอร์ท ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการกำกับภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่เรื่องแรกหลังการการกำกับภาพยนตร์เรื่อง Santa Clause ของภาพยนตร์วอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์สซึ่งทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนังแอคชั่นที่ทำเงินได้สูงที่สุด พาสคินจึงกลายเป็นผู้ทำหนังครั้งแรกที่ประสบความสำเร็จเป็นอันดับที่สาม
ก่อนที่เขาจะถ่ายทอดความสามารถของเขาลงบนแผ่นฟิล์มภาพยนตร์ พาสคินอยู่เบื้องหลังการผลิตรายการโทรทัศน์ที่ประสบความสำเร็จหลายรายการ เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอมมี่จากการเป็นผู้กำกับ ผู้ผลิตและทีมงานสร้างสรรค์รายการ Home Improvement ของ ABC พาสคินได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอมมี่และรางวัล Guild of America Award สำหรับการกำกับการแสดงให้กับละครภาคดึกยอดนิยมเรื่อง LA Law นอกจากนี้เขายังได้เป็นผู้กำกัลป์กิตติมศักดิ์ให้กับซีรี่ส์แนวดรามาเรื่อง thirtysomething ด้วย
พาสคินได้ทำหน้าที่ผู้กำกับให้กับรายการโทรทัศน์หลาบรายการด้วยกันเช่น Roseanne ที่กำลังจะเข้าฤดูกาลใหม่ และหลายๆตอนของเรื่อง Family Ties, Growing Pains, Newhart และ Alice ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนักเขียน/ผู้กำกับ มาร์ค ลอว์เรนซ์ย้อนกลับไปตั้งแต่ตอนถ่ายทำเรื่อง Family Ties ซึ่งพาสคินเป็นผู้กำกับตอนแรกของรายการนั้น เส้นทางของการทำงานของทั้งสองโคจรมาพบกันอีกครั้งเมื่อพาสคินเริ่มทำภาพยนตร์เรื่อง The Santa Clause ซึ่งลอว์เรนซ์เป็นผู้นำบทไปเขียนเพิ่ม
ก่อนที่เขาจะเข้าสู่วงการฮอลลีวูด พาสคินลับทักษะฝีมือในการทำงานโดยการกำกับละครเล็กต่างๆและผลิตละครต่างๆในสหรัฐอเมริกา เขาได้รับรางวัล Obie Award จากการกำกับละครซึ่งเป็นที่ยอมรับกันเรื่อง Moonchildren นอกจากนี้เขายังกำกับละครหลายเรื่องของโจเซฟ แป๊บ (Joseph Papp) เพื่อเทศกาลเชคเสปียร์ที่นิวยอร์คด้วย
แซนดร้า บูลล็อค (ผู้ผลิต) กรุณาดูประวัตินักแสดง
มาร์ค ลอว์เรนซ์ (ผู้เขียน/ ผู้ผลิต) เป็นผู้นำพาเกรซี่ ฮาทไปสู่การผจญภัยครั้งใหม่ในบทภาพยนตร์เรื่อง Miss Congeniality 2: Armed and Fabulous ซึ่งเป็นการ่วมงานกับแซนดร้า บูลล็อคครั้งที่สี่แล้ว ภาพยนตร์สร้างชื่อเรื่องแรกคือ Two Weeks Notice ตามมาด้วย Miss Congeniality และภาพยนตร์เรื่องแรกที่ร่วมงานกับ แซนดร้า บูลล็อคคือเรื่อง Forces of Nature
เขามาจากบรู๊คลินและออกจากโรงเรียนกฎหมายของ NYU ลอว์เรนซ์เริ่มต้นทำงานเป็นนักเขียนให้กับรายการโทรทัศน์เรื่อง Family Ties ซึ่งเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอมมี่ และ Humanitas สำหรับการเขียนบทและการผลิตรายการของ NBC เรื่องนี้ด้วย นอกจากนี้เขายังเป็นคนเขียนบทและร่วมกำกับในซีรี่ส์ของ NBC เรื่อง Pride and Joy
แมรี่ แม็คเลเกลน (ผู้อำนวยการผลิต) ร่วมงานกับแซนดร้า บูลล็อคเป็นครั้งที่ห้า ซึ่งเธอก็ได้อำนวยการผลิตภาพยนตร์เรื่อง Two Weeks Notice, Divine Secrets of the Ya-Ya Sisterhood, Practical Magic และ Hope Floats ด้วย โครงการต่อไปของแม็คเลเกลนคือเรื่อง Il Mare สำหรับภาพยนตร์วอร์เนอร์ บรอเธอร์สซึ่งแซนดร้า บูลล็อคจะแสดงคู่กับคีนู รีฟส์
ภาพยนตร์เรื่องอื่นที่แม็คเลเกลนรับหน้าที่อำนวยการผลิตได้แก่ เรื่อง Dodgeball, Envy และเรื่อง Pay It Forward ส่วนภาพยนตร์ที่เธอทำหน้าที่ร่วมผลิตได้แก่ One Fine Day, Sgt. Bilko, Moonlight and Valentino, The Client และ Sommersby
เธอไม่ใช่ใครหน้าใหม่ในวงการบังเทิงนี้ แม็คเลเกลนเติบโตในครอบครัวที่มีความสามารถด้านการบันเทิง คุณปู่ของเธอคือนักแสดงชื่อดัง วิคเตอร์ แม็คลเลเกลน คุณพ่อของเธอคือผู้กำกับ แอนดริว วี แม็คเลเกลนและพี่ชายของเธอ จอช แม็คเลเกลนเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ
(ยังมีต่อ)

แท็ก ภาพยนตร์  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ