Virgin Territory เรื่องราวการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่งดงาม โดยการดัดแปลงจากวรรณกรรมคลาสิกของนักประพันธ์ชาวอิตาลี จิโอวานนี่ โบบาซิโอ้

ข่าวบันเทิง Wednesday July 30, 2008 10:41 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--30 ก.ค.--สหมงคล ฟิล์ม
W” “รสจุมพิตที่ริมฝีปากไม่เคยจางหาย เฉกเช่นพระจันทร์ที่ขึ้นใหม่อีกครั้งตลอดเวลา””
- จิโอวานนี่ โบบาซิโอ้
Virgin Territory เรื่องราวการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่งดงาม โดยการดัดแปลงจากวรรณกรรมคลาสิกของนักประพันธ์ชาวอิตาลี จิโอวานนี่ โบบาซิโอ้
ในศตวรรษที่ 14 เมืองฟอร์เรนซ์เป็นเมืองสวยงาม เป็นเมืองที่เพียบพร้อมไปด้วยควมมหรูหราและฟู่ฟ่าทางด้านศิลปะและวัฒนธรรม เมืองที่ผู้คนต่างใช่ชีวิตด้วยความรื่นรมย์ แต่ในปี ค.ศ. 1364 ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เมืองทั้งเมืองต้องล่มสลายโดยโรคระบาดรุนแรงที่รู้จักกันในชื่อของมัจุราชดำ (กาฬโรค)
ลอเรนโซ่ เดอ เลมเบิรตติ (เฮย์เดน คริสเตนเซ่น) ชายหนุ่มผู้รักการผจญภัยพบว่าตัวเองได้เป็นปฎิปักษ์กับคหบดีผู้ร่ำรวย เจอบีโน เดอ ลา เรตตา (ทิม ร็อธ) การฆ่าเป็นความชื่นชอบส่วนหนึ่งของเจอบีโนและลอเรนโซคือเป้าหมายอันดับแรกของเขา ลอเรนโซจึงหนีจากฟอร์เรนซ์และหลบอยู่ในสำนักแม่ชีโดยทำงานเป็นคนสวน
แพมพีเนีย อนาสทากี (มิสชา บาร์ตัน) หญิงสาวจากตระกลูร่ำรวยและเป็นที่รู้จักผู้ซึ่งต้องเผชิญกับโรคระบาดและพบว่าเธอคือผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวของครอบครัว เจอบีโน เดอ ลา เรตตาพึ่งพอใจในเรือนร่างของแพมพีเนีย แทนการยึดบ้านของเธอเพื่อนำมาใช้หนี้บิดา เขาได้ยื่นข้อเสนอให้แพมพีเนียแต่งงานกับตน เพื่อเป็นการปลดหนี้สินของเธอ ภายหลังแพมพีเนียรู้ว่าเธอได้หมายหมั้นกับท่านเคานต์ชาวรัสเซีย ผู้ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างเดินทางจากเมืองนอฟโกร็อดมายังเมืองฟอร์เรนซ์
แพมพีเนียได้ชักชวนเพื่อนๆ ของเธอให้มาไปเที่ยวที่บ้านพักตากอากาศในชนบท เพื่อเป็นพยานในการแต่งงานระหว่างเธอกับท่านเคานต์ การแต่งงานจะช่วยให้เธอรอดเงื้อมมือของเจอบีโนและปลดภาระหนี้ทั้งหมดให้กับเธอได้
ภายหลังเพื่อนของแพมพีเนียได้ออกจากเมืองฟอร์เรนซ์และเดินทางไปโดยลำพัง แพมพีเนียได้หลบหนีไปยังสำนักแม่ชีเพื่อรอคอยงานแต่งงานของเธอ เธอซ่อนตัวอยู่ภายใต้ชุดแม่ชี ภายหลังการจุมพิตเธอตกหลุมรักลอเรนโซซึ่งทำงานเป็นคนสวนอยู่ในสำนักนางชีของเธอ ลอเรนโซก็ตกหลุมรักแพมพีเนียเช่นกัน เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าเธอผู้นั้นคือแพมพีเนีย
เรื่องราวมาถึงจุดสิ้นสุดที่บ้านพักตากอากาศของแพมพีเนีย ที่ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างจะได้รับการคลี่คลายในการเริ่มต้นชีวิตและความรักที่เต็มไปด้วยความสุข
เขียนบทและกำกับโดยเดวิด เลอแลนด์ ที่สร้างจากบทประพันธ์คลาสิกของจิโอวานนี่ โบบาซิโอ้ที่เร้าอารมณ์ด้วยเรื่องราวอันบริสุทธิ์ของความรัก เซ็กส์ และมิตรภาพ รวมถึงผองเพื่อนที่เดินผ่านทุ่งหญ้าทัสคาน ได้ค้นพบชีวิตตนเองผ่านโศกนาฎกรรมและภยันตรายที่พวกเขาได้ทิ้งไว้เบื้องหลัง นี่คือนิทานร่วมสมัย เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน ร่ำรวยไปด้วยเสน่ห์ที่น่าลุ่มหลงและเรื่องราวเกี่ยวกับเซ็กส์ที่เป็นไปรูปแบบของตัวเอง
เกี่ยวกับบทประพันธ์
The Decameron เป็นนิยายอมตะคลาสิกของนักประพันธ์ชาวอิตาลีในยุคศตวรรษที 14 จิโอวานนี่ โบบาซิโอ้ ที่ได้บรรจุเป็นตำราการเรียนการสอนในโรงเรียนมาหลายต่อหลายรุ่น เรื่องราวเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1364 เมื่อเมืองฟอร์เรนซ์ได้ถูกโจมตีด้วยกาฬโรค เนื้อหากล่าวถึงชายหนุ่ม 7 คน กับหญิงสาว 3 คนที่หลบหนีภัยกาฬโรคมาสู่ย่านชนบทนอกเมืองฟอร์เรนซ์ ตลอดระยะเวลา 10 วัน เรื่องราวต่างได้หล่อหลอมรวมกันกลายเป็นเรื่องราวร้อยเรื่อง The Decameron ของโบบาซิโอ้
ผู้กำกับ/เขียนบท เดวิด เลอแลนด์นำเอาตอน Virgin Territory ของโบบาซิโอ้มาดัดแปลงให้เป็นเรื่องราวมร่วมสมัยและถ่ายทอดลงบนแผ่นฟิลม์ที่จะทำให้ผู้ชมวัยรุ่นหลงใหลและประทับใจ
“อะไรที่เป็นความหลักแหลมที่เกี่ยวข้องกับโบบาซิโอ้ ก็คือการที่เขานำเอาเรื่องราวมารวมกันเป็นหนึ่งด้วยรูปแบบการนำเสนอที่เด่นชัดในความหลากหลายของเรื่องราว” เลอแลนด์กล่าว “เหตุผลที่ทำไมบทประพันธ์ The Decameron ถึงยังคงความคลาสิและมีอายุยืนกว่า 6 ร้อยปี ไม่ใช่เพราะว่าผู้คนถูกสั่งให้ต้องศึกษา แต่พวกเขาศึกษามันด้วยความเต็มใจ เพราะมันเป็นทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเราโดยตรง มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์และเรื่องอื่นๆ ที่ได้มีการเสริมเข้ามา มันจึงไม่ใช่เพียงเรื่องบังเอิญที่ผู้คนจะพากันหลงใหลในบทประพันธ์ชิ้นนี้ และมันไม่ใช้เหตุบังเอิญที่ชาวเซอร์และเช็ค สเปียร์สได้รับแรงบันดาลใจและนำองค์ประกอบภายในบทประพันธ์มาใช้ มันคือปรารถนาอันแรงกล้าในเรื่องของความรักและธรรมชาติของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความสุข นอกจากนั้นมันคือการเข้าใจและความกระตือรือร้นระหว่างชายหนุ่มและหญิงสาวในการที่พวกเขาต่างตกหลุมรักกันและกัน”
ผู้อำนวยการสร้างระดับตำนาน ดีโน่ และมาร์ธา เดอ ลอเรนติสเป็นผู้ที่สนใจในไอเดียการทำบทหนังร่วมสมัยจากบทประพันธ์ The Decameron ดีโน่ เดอ ลอเรนติสคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับงานของโบบาซิโอ้ และเคยนำมาสร้างเป็นหนังแล้วถึง 2 ครั้ง แต่เขาเชื่อว่ายังมีหนทางในการนำงานของโบบาซิโอ้มาทำหนังได้อีก โดยนำเสนอจิตวิญญาณอันแท้จริงในงานของโบบาซิโอ้ที่สามารถสะท้อนถึงกลุ่มผู้ชมวัยรุ่นได้ในเวลาเดียวกัน
การค้นหานักเขียนบทผู้ซึ่งสามารถรับรู้ได้ถึงความโรแมนติกในงานของโบบาซิโอ้และรู้ว่าจะต้องนำเอาธีมหลักมาใช้ในการสื่อสารกับกลุ่มวัยรุ่นในยุคปัจจุบันคืองานที่ท้ายทาย ผู้กำกับชาวอังกฤษเลอแลนด์ที่เป็นที่รู้จักจากงานกำกับหนังที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว Wish You Were Here ได้เป็นที่สนใจของ 2 ผู้อำนวยการสร้างดีโน่และมาร์ธา เดอ ลอเรนติสซึ่งต้องกล่าวขอบคุณสตีเว่น สปีลเบริ์กที่นำเอาผลงานดัดแปลงของเลอแลนด์ไปสร้างซีรีส์ทางโทรทัศน์เรื่อง Pendragon ซึ่งออกฉายทางช่อง HBO
“มันเป็นช่วงที่เลอแลนด์กำลังว่าง” ดีโน่ เดอ ลอเรนติสกล่าว “เดวิดสามารถตอบสนองความต้องการทางด้านเนื้อหาและธีมสำคัญหลักที่อยู่ข้างใน บทหนังพัฒนาไปได้ด้วยดี เขาทำให้มันมีเสน่ห์และทันสมัย และนำเสนอสิ่งที่วัยรุ่นในสมัยนี้รู้จักนั้นคือเซ็กส์ การผจญภัย และความรัก”
มาร์ธา เดอ ลอเรนติสเห็นด้วยว่า “เมื่อต้องคำนึงถึงช่วงยุคสมัย เครื่องแต่งกายอลังการและบทสนทนาที่ดูแข็งกระด้าง แต่เราก็ปรับให้มันเป็นธรรมชาติเป็นบทสนทนาที่ใช้กันในยุคปัจจุบัน เป็นบทสนทนาที่สนุกสนาน มีสีสันและมีชีวิตชีวา พวกเราเริ่มมองหานักเขียนบทชาวยุโรปผู้ที่เข้าใจอารมณ์ของนักประพันธ์อย่างโบบาซิโอ้ บางคนที่คุ้นเคยกับบทประพันธ์ The Canterbury Tales ของนักประพันธ์ชาวอังกฤษ ชาวเซอร์ ซึ่งมีเนื้อหาใกล้เคียงกับของโบบาซิโอ้ ฉันคิดว่าสิ่งที่ท้าทายก็คือการค้นหาสุดกลางของเรื่องแล้วทำให้มันสำเร็จตั้งแต่ต้นจนจบ เดวิดเผชิญกับการท้าทายที่ว่าและกลับมาพร้อมกับวิธีการที่ถูกต้อง”
“เรื่องราวในบทประพันธ์ของโบบาซิโอ้จะเป็นเรื่องราวทั่วไปของคนธรรมดาที่มักจะทำผิดเล็กๆ น้อยๆ ไม่ว่าจะเป็น คนร่ำรวย องค์กรทางศาสนา ศาสนิชนคาธอลิก แม่ชี และบุคคลงี่เง่าที่มีภรรยาดีแต่มักชอบนอกใจอยู่เนืองๆ เหล่านี้ ทำให้เรื่องราวที่แต่งขึ้นโดยโบบาซิโอ้จะเป็นในแนวประชดประชันสังคม ทำให้บางเรื่องของเขาเป็นคล้ายแนวเสียดสีกลายๆ ที่คุณมักจะได้ยินคนมาเล่าสู่กันฟังในผับบาร์ บางครั้งก็อาจจะรุนแรงหรือลึกลับซับซ้อน องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้มีส่วนคล้ายกับละครฝรั่งเศสจำพวก กรางกินยอล (Grand Guignol) ประเภทมนุษย์เราสามารถฆ่าฟันกันได้หากลุ่มหลงในบางสิ่งบางอย่าง ผมคิดว่ามันค่อนข้างน่าพิศวงทีเดียว”
สิ่งที่ท้าทายในการเขียนบทหนังเรื่องนี้ก็คือ การค้นหาศูนย์กลางของเรื่องที่จะหล่อหลอมเอาบรรดาพล็อตรองทั้งหลายเข้ามาเป็นเรื่องเดียวกันเพื่อขับคลื่นให้เรื่องราวดำเนินไป “ปํญหาสำหรับการนำ The Decameron มาทำหนังก็คือ มันมีเรื่องราวในนั้นเป็นร้อยเรื่องราวถึงแม้ว่าเรื่องราวทั้งหมดจะมีการใช้คำเหมือนกัน แต่มันก็ยังคงเป็นเรื่องราวที่แยกออกมา ดีโน่ไม่อยากให้หนังออกมาเป็นในลักษณะฉากต่อฉากซึ่งผมเห็นด้วยกับเขาในข้อนี้ ผมพบว่าหนังที่ประกอบไปด้วยเรื่องราวที่แตกต่างกันจะไม่ค่อยน่าพึงพอใจสักเท่าไหร่ เพราะมันจะแยกเรื่องออกจากันและไม่มีจุดศูนย์กลางของเรื่อง”
เลอแลนด์และดีโน่ เดอ ลอเรนติสทำงานด้วยกันเพื่อหาแก่นสาระของเรื่องนี้ “องค์ประกอบที่สำคัญในการดัดแปลงบทประพันธ์ก็คือการพูดคุยกันระหว่างผมกับดีโน่ ดีโน่เป็นคนที่มีไหวพริบและละเอียดในทุกสิ่งที่เขาแสดงความคิดเห็นในตัวบทที่ได้ เขาจะทำการตรวจสอบบรรทัดต่อบรรทัด คำต่อคำ เพื่อมองหาสิ่งที่ใช่และรูปแบบที่ต้องการ สิ่งหนึ่งที่เรามักจะถกเถียงกันเสมอๆ ก็คือ นี่ใช่จิตวิญญาณของ โบบาซิโอ้แน่หรือเปล่า นี่ใช่จิตวิญญาณของ The Decameron แน่หรือเปล่า? นั้นคือสิ่งที่อยู่ภายในหัวของผม และผมรู้สึกเป็นอิสระในการแต่งโครงเรื่อง แต่งเรื่องราว และนำองค์ประกอบจากหลายๆ เรื่องราวที่แตกต่างในหนังสือ ผมทำให้ตัวละครหนุ่มสาวทั้งหลายเป็นผู้ดำเนินเรื่องแทนที่จะเป็นเพียงผู้เล่าเรื่อง ผมทำให้พวกเขาเหล่านั้นเป็นประเด็นสาระในหนังมากกว่าเป็นเพียงวัตถุ นั้นคือการที่ผมเริ่มสำหรับการเขียนบทหนังเรื่องนี้”
หลังจากบทสำหรับหนังเสร็จ ขั้นตอนต่อมาคือการคัดเลือกผู้กำกับ มาร์ธา เดอ ลอเรนติสอธิบายว่า “เดวิดเป็นคนที่เปิดกว้างและมันจะเสนอลำดับความคิดที่แตกต่าง เขามักจะกังวลว่าสิ่งที่เขากำลังทำคือสิ่งที่เราต้องการหรือไม่ อะไรน่าจะเหมาะสมมากกว่า ความสัมพันธ์ในการทำงานระหว่างเรากับเขาไปกันได้ด้วยดี และนั้นคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้เป็นผู้กำกับหนังเรื่องนี้ เขาสามารถตอบสนองความต้องการที่เราต้องการได้ทุกอย่าง”
เลอแลนด์เองในตอนแรกก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะเหมาะสมกับการเป็นผู้กำกับหรือไม่ “ดีโน่ มาร์ธาและผมเริ่มต้นการทำงานด้วยกันได้ดีในแบบนักเขียนบทและผู้อำนวยการสร้าง ซึ่งผมค่อนข้างพอใจและสนุกไปกับมัน เมื่อต้องมาทำหน้าที่ผู้กำกับ มันเหมือนกับเราทั้งหมดกลับมาที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง มันจึงมีความแตกต่างกัน ในตอนแรกผมไม่คิดจะทำหน้าที่กำกับหนังเรื่องนี้ แต่ภายหลังมันกลับแสดงว่านั้นเพราะผมเป็นผู้เขียนบท ดังนั้นผมจึงควรจะต้องกำกับมันเอง”
เดวิดอธิบายว่า “ดีโนจะทำหน้าที่เปรียบเสมือนหัวหน้าคนงานคอยดูงานที่หนักๆ ส่วนมาร์ธาจะทำหน้าที่คอยดูแลในงานที่ต้องการความละเอียดอ่อนกว่า ซึ่งทำให้การทำงานร่วมกันระหว่างดีโน่และมาร์ธาคือความสำเร็จและความเหมาะเจาะลงตัวกันมากๆ เลยทีเดียว”
เดวิดกล่าวต่อว่า “ดีโน่มีความกระตือรือร้นมาก เขาจะปลุกคุณให้ตื่นตั้งแต่ 5 โมงในตอนเช้าและถามว่า ทำไมคุณไม่เริ่มงานซะที? ดีโน่อยู่และหายใจเข้า-ออกเป็นงานและเขาคือแรงกระตุ้นสำหรับหนังเรื่องนี้ แม้การถ่ายทำหนังเรื่องนี้จะลำบากมากแค่ไหนแต่ผมก็ยินดีที่จะได้ทำหนังอีกครั้งกับดีโน่ สำหรับผมแล้วเขาคือผู้อำนวยการสร้างที่ยิ่งใหญ่ เขาจะอยู่ในกองถ่ายทุกวันเพราะนั้นคือความชอบของเขา ไม่มีใครเหมือนเขาเลย”
เบนเดวิด ผู้กำกับภาพกล่าวว่า “ผมยกย่องดีโน่เป็นอย่างมาก ผมชื่นชมเขา จริงๆ แล้วผมคิดว่าเขายิ่งใหญ่มาก คุณแค่ลองมองดูเขาและคุณจะเห็นว่าเขาวิเศษมาก ผมคิดว่าเขาคงไปทำสัญญากับปีศาจเพื่อทำให้เขาดูอ่อนเยาว์อยู่ตลอดเวลา เขามีพลังงานเหลือเฟือและผมไม่มีอะไรนอกจากนับถือเขา ทุกๆ คนในกองถ่ายนับถือดีโน่ โดยเฉพาะทีมงานชาวอิตาเลี่ยน ผมคงจะยินดีมากหากได้มีโอกาสร่วมงานกับเขาตลอดชีวิตทีเหลืออยู่ของผม”
มิสชา บาร์ตัน ผู้รับบทเป็นแพมพีเนียเห็นด้วย “ดีโน่ชื่นชอบการทำหนังมากและฉันคิดว่ามันหาได้ยากมากในปัจจุบันนี้ ฉันรู้สึกตกหลุมรักหนังเรื่องนี้และเขาคือเหตุผลว่าทำไมฉันถึงรับงานนี้ มันคงจะดีไม่ใช่น้อยหากมีใครสักคนที่ไม่ได้จำเป็นจะต้องอยู่กองถ่ายทุกวันอย่างดีโน่มาอยู่ด้วย เขาทั้งเฉียบแหลมและยิ่งใหญ่และชื่นชอบหนังอย่างแท้จริง เขาคือแรงบันดาลใจของฉัน”
การคัดเลือกนักแสดง
สิ่งสำคัญที่จะทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จได้ ก็คือการคัดเลือกนักแสดงที่เหมาะสมกับ 2 ตัวละครนำในเรื่อง ซึ่งก็คือ ลอเรนโซ เดอ แลมเบอตี้ และ แพมพิเนีย อนาสตากิ ทางผู้อำนวยการสร้าง ดิโน เดอ ลอเรนติส ได้ให้ความเห็นว่า “ความลับในการตามหานักแสดงที่เหมาะสมกับบทนั้นสิ่งสำคัญก็คือบทหนัง หากคุณมีบทหนังที่ดีแล้ว มันไม่ใช่เรื่องยากในการที่จะดึงดูดนักแสดงที่คุณต้องการ”
“สำหรับบทแพมพิเนียเรามองหาใครสักคนที่มีบุคลิกสง่างามและดูดียามอยู่บนจอ เราต้องการนักแสดงหญิงที่เหมาะสมเฟอร์เฟ็กต์” มาร์ธา เดอ ลอเรนติสกล่าวและเสริมต่อว่า “ในตอนนั้น มิสชา บารตัน กำลังโด่งดังและเป็นที่รู้จักในวงกว้างจากซีรีส์เรื่องฮิตของช่องฟ็อกซ์ทีวี ‘The O.C’ (The Orange City) เราส่งบทหนังให้เธอและเธอก็ตอบตกลง มิสชาเหมาะสมกับบทมาก ในส่วนผู้มารับบทลอเรนโซ เราอยากได้นักแสดงที่ดูสดใส น่ารักและขึ้นกล้อง แต่เป็นไปในแนวแข็งแกร่งเหมือนเพศชาย ซึ่งบุคลิกที่ว่ามีน้อยมากในบรรดานักแสดงวัยรุ่นชาย สำหรับเฮย์เดนเขาชื่นชอบกับบทหนังมากและตอบตกลงในทันทีทันใด”
เลอแลนด์มีความกระตือรือร้นกับ 2 นักแสดงนำเป็นอย่างมาก “ผมได้เคยเห็นผลงานการแสดงของเฮยเด้นมาบ้างและรู้สึกชื่นชมเขาอยู่แล้ว ผมคิดว่าเขาเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมมาก เขาเกิดมาเพื่อเป็นนักแสดงจริงๆ สำหรับมิสชาคงต้องขอบคุณลูกชายวัย 16 ปีของผมที่แนะนำเธอให้ผมรู้จักจาก The O.C ซีรีส์ ที่โด่งดังมากในหมู่วัยรุ่นอเมริกัน ซึ่งมันเป็นอะไรที่พิเศษมากๆ ทุกคืนวันพฤหัสบดีเมื่อ The O.C เริ่มฉายห้องนั่งเล่นของผมจะคราคร่ำไปด้วยลูกชายผมและบรรดาเพื่อนๆ ของเขา
มิสชา บาร์ตันกับการรับบทนำ
มิสชา บาร์ตันเริ่มต้นอาชีพนักแสดงของเธอที่ประสบความสำเร็จในช่วงระยะเวลาข้ามคืนจากซีรีส์วัยรุ่นสุดฮิต The O.C สำหรับเสน่ห์ของ Virgin Territory นั้นแตกต่างอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับซิรีส์โทรทัศน์ “ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อฉันได้พบดิโน่และเรา 2 คนคุยกันถูกคอ พอฉันได้อ่านบทหนังก็รู้สึกตกหลุมรักมันเลยทีเดียว บทที่ว่าช่างแตกต่างจากสิ่งที่ฉันเคยอ่านนานมาแล้ว ฉันคิดว่าบทหนังเรื่องนี้ได้สร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโบบาซิโอ้เรียบร้อยแล้ว”
สำหรับการทำงานร่วมกับเลอแลนด์ บาร์ตันเสริมว่า “เลอแลนด์ คือผู้กำกับการแสดง ที่รู้ว่าอะไรคือสิ่งพิเศษที่เขาต้องการ เขาสามารถมองเห็นภาพรวมทั้งหมดได้เป็นอย่างดีเพราะเขาคือคนที่เขียนมันขึ้นมา เขาลุ่มหลงบทหนังอย่างมากและนั้นเขาทำให้เขาสามารถสื่อสารออกมาให้เรารับรู้ได้”
เดวิด เลอแลนด์เอ่ยถึงเฮย์เด้น, มิสชา และร็อธ
“เฮย์เด้นและมิสชาเป็นคู่ที่โรแมนติกที่วิเศษสุด” เลอแลนด์กล่าว “พวกเขาดูเข้าขากันได้เป็นอย่างดี และทำให้ทั้งคู่ดูเข้าคู่กันได้ดีเวลาอยู่บนจอด้วยกัน อะไรก็ดูดีไปหมดในเมื่อตอนนี้ผมมี 2 นักแสดงที่เหมาะสมกับบท เหมือนกับว่าพวกเขาเกิดมาหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะ
ตอนที่ต้องคัดเลือกนักแสดงผู้ที่มารับบทชายมั่งคั่ง เจอบิโน เดอ ลา เรตตา บทตัวร้ายของเรื่องที่ต้องการล่อลวงแพมพิเนีย เลอแลนด์เลือกทิม ร็อธให้มารับบทดังกล่าว ถือเป็นการร่วมมือกันครั้งแรกของทั้งคู่นับตั้งแต่ Mad in Britain ซึ่งเลอแลนด์เป็นคนเขียนบทหนังและถือเป็นครั้งแรกของร็อธในฐานะนักแสดง
“ผมรู้สึกดีมากที่ได้ทิมมาร่วมงาน เพราะว่าเขาได้เพิ่มความกดดันให้กับตัวร้ายของเรื่อง” เลอแลนด์อธิบาย “ทิมได้นำประสบการณ์ที่ช่ำชองมาใช้กับบทที่ว่า เขาคือศิลปินที่รู้ว่าจะต้องการอะไรและต้องทำอย่างไร เพื่อให้ภาพที่ออกมาดูมีพลังและสมจริง และเขายังสร้างสรรค์คาเรคเตอร์ตัวละครที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาอีกด้วย นอกจากนั้นแล้วเขายังให้ความช่วยเหลือนักแสดงคนอื่นด้วย ร็อธเป็นนักแสดงที่ท้าทายความสามารถมากสำหรับเฮย์เด้น และผมรู้ว่าเฮย์เดนต้องการเช่นนั้นเหมือนกัน”
เครื่องแต่งกาย
ถึงแม้ว่าเรื่องราวใน Virgin Territory จะมีฉากหลังเป็นยุคเรเนสซองแต่ดีโน่และมาร์ธา เดอ ลอเรนติสยังคงให้ความสำคัญกับผู้ชมในยุคปัจจุบันมากกว่า ทั้งคู่ยืนกรานว่าจะไม่มีการนำเอาสิ่งที่เคยเห็นในหนังเรื่องก่อนๆ มาใช้ แต่จะสร้างสรรค์รูปแบบในสไตล์ที่ดูใหม่และสดใสกว่า ทำให้การออกแบบเสื้อผ้าเป็นปัจจัยสำคัญในหนังเรื่องนี้ทันที
สำหรับเครื่องแต่งกายดีโน่ได้แนะนำโรเบริตโต คาเวลลี นักออกแบบแฟชั่นระดับโลกซึ่งผลงานที่เป็นที่รู้จักในวงกว้างก็คือการเป็นทีปรึกษาทางด้านเครื่องแต่งกายให้กับ Sex and The City นั้นเอง
“ผมไม่ต้องการสร้างหนังด้วยเครื่องแต่งกายในศตวรรษที่ 14 อย่างพวกวิกหรือว่าเสื้อผ้าแนวพีเรียด” ดีโน่ เดอ เลอเรนติสกล่าว “ผู้ชมวัยรุ่นอเมริกันส่วนใหญ่มักไม่ให้ความสนใจหนังพีเรียดแนวนี้มากนัก ดังนั้นผมจึงโทรหาโรเบริตโต้ คาเวลลี ส่งบทหนังไปให้และเขาก็บอกกับผมว่าเขาอยากทำเครื่องแต่งกายในหนังเรื่องนี้ แต่เพราะเขาชื่นชอบบทหนังเรื่องนี้มาก ผมเลยชวนเขาเป็นผู้อำนวยการร่วมกับผม คาเวลลีได้สร้างสรรค์เสื้อผ้าที่สุดยอดซึ่งมันทำให้หนังเรื่องนี้เป็นตำนานร่วมสมัยขึ้นมาทันที เนื้อเรื่องสามารถบ่งบอกได้ถึงวันวาน วันนี้หรือพรุ่งนี้ เครื่องแต่งกายไม่มีชิ้นใดบ่งบอกถึงยุคศตวรรษที่ 14 เลย มันคือการตีความหมายร่วมสมัยของโบบาซิโอ้เลยทีเดียว”
สำหรับโรเบริตโต้ คาเวลลี การทำงานใน Virgin Territory ถือว่ามีความหมายสำหรับเขาอย่างมาก โรเบริตโต้เกิดและโตที่ฟอร์เรนซ์ The Decameron จึงเสมือนไหลเวียนอยู่ในสายเลือดเขา “ผมรู้จักทั้งดีโน่และมาร์ธามานานหลายปี พวกเราเปรียบเสมือนครอบครัว พวกเข้าเป็นบุคคลที่วิเศษมาก” ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็นประสบการณ์ในตำแหน่งดีไซเนอร์และตำแหน่งผู้อำนวยการสร้าง “ตอนที่ดีโน่โทหาผม ผมยังอยู่ในแอลเอและเขาก็เล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับไอเดียของหนังที่ดัดแปลงมาจาก The Decameron ผมเริ่มคิดถึงสมัยวัยเด็ก เกี่ยวกับ The Decameron เกี่ยวกับเมืองฟอร์เรนซ์ในศตวรรษที่ 14 เกี่ยวกับโบบาซิโอ้ ผมชื่นชอบความไอเดียเพราะมันเสมือนส่วนหนึ่งในสายเลือดของผม จากนั้นดีโน่ก็ส่งบทหนังมาให้ผม หลังจากที่ผมได้อ่านมันจบลงอย่างรวดเร็ว ผมรู้เลยว่าผมต้องการมีส่วนในหนังเรื่องนี้ แต่ผมก็ติงดีโน่ว่าคุณกำลังมองหน้านักออกแบบชุดแต่งกายสำหรับหนังพีเรียด ผมอาจจะไม่เหมาะสมกับมันนัก ผมบอกว่า หากคุณให้อิสระกับสิ่งที่ผมรู้สึกว่ามันเหมาะกับหนังเรื่องนี้ ผมก็จะเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็กต์นี้ ดีโน่เห็นด้วย นั้นทำให้ผมได้เป็นส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้จริงๆ”
คาเวลลีพบว่าการออกแบบเครื่องแต่งกายนั้นแตกต่างจากการออกแบบเสื้อผ้าชุดคอลเลคชั่น “ตอนที่ผมออกแบบคอลเลคชั่นเสื้อผ้าผมมักจะต้องตามกระแสเทรนด์แฟชั่น” คาเวลลีกล่าว “ผมสนุกและเพลิดเพลินมากกว่า เพราะว่าผมมีความอิสระทางความคิดสร้างสรรค์ สำหรับหนังผมจะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมกับโบบาซิโอ้และยุคศตวรรษที่ 14 แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือผมจะต้องคำนึงความเหมาะสมของตัวเองและสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจ และนั้นก็คือสิ่งที่ผมคิดและสร้างสรรค์ในที่สุด”
มาร์ธา เดอ ลอเรนติสตื่นเต้นในการที่ได้คาเวลลีมาร่วมงานด้วย “ฉันสวมเสื้อที่เขาเป็นออกแบบอยู่เป็นประจำ ดังนั้นดีโน่จะรู้ประเภทของเสื้อผ้าที่เขาเป็นคนออกแบบซึ่งสามารถทำให้ผู้หญิงที่มีรูปร่างใหญ่ดูดี มันเป็นความคิดที่วิเศษในการทีดีโน่ชวนโรเบริตโต้มาออกแบบเครื่องแต่งกายทำให้ดูน่าหลงใหล ทันสมัย และสร้างสรรค์ออกมาในสไตล์ร่วมสมัย”
มาร์ธายังชื่นชมในการได้คาเวลลีมาร่วมงาน “ในการออกแบบเสื้อผ้าสำหรับหนังนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการออกแบบเสื้อผ้าสำหรับเดินแบบ เพราะคุณจะต้องคำนึงถึงมุมมองทุกจุด เพราะว่ามุมกล้องที่แตกต่าง นักแสดงจะต้องสามารถเคลื่อนไหวได้โดยรอบและสามารถเข้า-ออกแต่ละฉากได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นมันจึงค่อนข้างเป็นขั้นตอนที่ยุ่งยากสำหรับเขา และอีกหลายอย่างที่สามารถบอกเล่าได้เกี่ยวการออกแบบเครื่องแต่งกาย แต่อย่างไรก็ตามมันก็ดูมีเสน่ห์ โออ่า หรูหรา ฟู่ฟ่าและเยี่ยมยอด จนทำให้คุณอยากสวมทุกชุดที่มีอยู่”
สำหรับเลอแลนด์ การได้ร่วมงานกับแฟชั่นดีไซเนอร์คือการเรียนรู้ขั้นสูง “เราเริ่มงานกันโดยการร่างรูปแบบซึ่งเป็นการร่างแบบแฟชั่น แต่เรากำลังผลิตหนังซึ่งต้องการเครื่องแต่งกายและมันเหมือนกับเรามีโลก 2 ใบที่แตกต่างกันอยู่ เป็นช่องว่างขนาดใหญ่ที่ต้องการการเชื่อมต่อกัน หลังจากเราได้เชื่อมต่อโลกทั้ง 2 ใบที่ว่าเข้าด้วยกัน ผลที่ได้ก็คือรางวัลที่น่าอัศจรรย์”
“โรเบริตโต้ คาเวลลีเป็นนักออกแบบเสื้อผ้าระดับอัจฉริยะ” เลอแลนด์กล่าวอย่างกระตือรือร้น “การออกแบบเสื้อผ้าของเขาและการเลือกใช้วัสดุในการตัดเย็บคือสิ่งที่แสดงตัวตนของโรเบริตโต้ คาเวลลี หากคุณได้ลองมองดูที่วัสดุเหล่านั้นก่อนที่จะนำมาตัดเย็บ และหลังจากที่เขาได้จัดการกับมันแล้ว มันคือสิ่งที่มหัศจรรย์ โรเบริตโต้และอีวาภรรยาของเขาคือการทำงานร่วมกันที่วิเศษสุดและเมื่อเราได้เริ่มต้นการตัดเย็บ ทำให้ชุดที่ออกมาประหนึ่งเสมือนมีชีวิตขึ้นมาทันที”
มิสชา บาร์ตันกระตือรือร้นไม่ต่างไปจากเลอแลนด์นัก “ฉันคิดว่าชุดที่ออกแบบโดยโรเบริตโต้ คาเวลลีคือสิ่งที่เหนือจินตนาการเพราะว่าเขามีพรสวรรค์เหลือเฟือ งานของเขาดูช่างน่าตื่นเต้น มันช่วยให้เราสามารถจัดโทนให้กับหนังได้เป็นอย่างดี โรเบริตโต้คือความยอดเยี่ยมและเป็นนักสร้างสรรค์ตัวยงเลยทีเดียว”
ภาพรวมของภาพยนตร์
เช่นเดียวกับงานออกแบบเครื่องแต่งกายดีโน่และมาร์ธา เดอ ลอเรนติสได้สรุปความสำคัญของการออกแบบงานสร้างกับผู้ออกแบบงานสร้าง จิม เคลย์ (เจ้าของรางวัลบาฟต้าจากหนังเรื่อง Children of Men ในปี 2007) ผู้ผ่านงานออกแบบในหนังมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นหนังแนวพีเรียดจาก Stage Beauty ของผู้กำกับริชาร์ด ฮายร์ และ Onegin ของผู้กำกับมาร์ธา ไฟเนส หรือในหนังแนวร่วมสมัยอย่าง Love Actually ของผู้กำกับริชาร์ด เคอติส และล่าสุดอย่าง Match Point ของผู้กำกับวูดดี้ อัลเลน
ตอนผมพบกับดีโน่และเดวิดครั้งแรก ดีโน่บอกกับผมว่า อย่าออกแบบงานสร้างแนวพีเรียดให้กับผม มันทำให้ผมแปลกใจเพราะว่ามันคือ The Decameron ของโบบาซิโอ้ และมันเขียนขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 14” เคลย์อธิบาย “แต่ผมก็ไม่ได้ถามคำถามอะไรกับดีโน่เพราะผมรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร ผมเคยผ่านงานสร้างหนังแนวพีเรียดมามากมาย ด้วยลักษณะการเขียนบทหนังและนักแสดงวัยรุ่น ผมรู้ว่าดีโน่และเดวิดต้องการสร้างหนังเรื่องนี้ให้ออกมาเข้าถึงกลุ่มผู้ชมวัยรุ่น”
เนื่องจากเคลย์ไม่ต้องการอ้างอิงช่วงประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เขาจึงให้อิสระในการทำงานให้กับตัวเองโดยการนำออกแบบงานสร้างที่อยู่ระหว่างช่วงศตวรรษที่ 14 และ 16 ซึ่งทำให้เขาและทีมงานมีอิสระอย่างมากในการเลิกสถานที่ รูปแบบและการดีไซน์งานสร้าง
“ช่วงเวลาดังกล่าวจะเป็นรูปแบบโครงสร้างของศิลปะในแบบบาโรก และให้เราสามารถสร้างฉากที่มีกลิ่นอายของความหรูหราและสุดเหวี่ยง ขณะเดียวกับก็สามารถเข้าได้กับสไตล์เครื่องแต่งกายที่ออกแบบโดยโรเบริตโต้” เคลย์กล่าว “มันช่วยทำให้หนังเรื่องนี้ดูดีขึ้นอย่างมาก ทั้งบทพูดและดนตรีก็ไม่ได้เป็นแนวพีเรียด เรื่องราวการค้นพบตนเองของวัยหนุ่มสาวถือเป็นเรื่องราวร่วมสมัย หนังเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน เราได้ถกเถียงกันพวกขเขาน่าจะขี่รถสกูเตอร์แทนที่จะเป็นม้า ซึ่งนั้นจะทำให้มันดูเป็นงานร่วมสมัย แต่นั้นก็จะทำให้มันดูไม่สมจริงหรือถูกต้องทั้งหมด เรามีบทสนทนาที่แสดงให้เห็นว่ามันคือสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ การทำงานของผมจะช่วยทำให้เนื้อหาดูดีมากกว่าจะเป็นทำให้มันถูกต้องตามช่วงเวลาตามประวัติศาสตร์”
การทดสอบสำหรับทุกคนควรจะเป็น The Decameron ซึ่งก็คือบล็อคเคซิโอ” เลอแลนด์กล่าว “ไม่ว่าจะเป็นการแสดง บทสนทนา เครื่องแต่งกาย การออกแบบงานสร้าง หรือการจัดถ่ายทำ ทุกสิ่งที่กล่าวมาคือจิตวิญญาณของโบบาซิโอ้ใช่หรือไม่?”
สถานที่ถ่ายทำ
การถ่ายทำเรื่องราวที่เกิดยุคเรเนสซองของอิตาลีทำให้ทีมงานสามารถใช้สถานที่ได้ตั้งแต่ตอนกลางของประเทศอิตาลีตลอดการถ่ายทำ 9 สัปดาห์ จากคอนเวนต์ยุคกลางในทะเลทรายในเมืองบรัคเซียโน (ใกล้ๆ กับกรุงโรม) จนถึงสถาปัตยกรรมอันงดงามของเซียนน่าและซาน กิมิคนาโน และเขตชนบทอันกว้างใหญ่ไพศาลรอบๆ แคฟราโรลา ก่อนจะย้ายไปถ่ายทำในโรงถ่ายซิเนซิตาในโรมเป็นแห่งสุดท้าย
“เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในเมืองฟอร์เรนซ์ แต่เพราะมันเป็นเมืองใหญ่ที่วุ่นวายทำให้ถ่ายทำเป็นไปด้วยความยากลำบาก” เคยล์กล่าว “เราจึงเลือกเมืองซาน กิมิคนาโน และ เซียนน่าซึ่งเป็นเมืองใหญ่แทน โบสถ์ดัวโมในเมืองเซียนน่าจะมีลักษณะทางสถาปัตยกรรมคล้ายกับโบสถ์ดัวโมในเมืองฟอร์เรนซ์ และเป็นผลดีต่อการถ่ายทำ
มาร์ธา เดอ เลอเรนติสกล่าวเพิ่มเติมว่า เซียนน่าเปิดต้อนรับพวกเราและด้วยความบังเอิญขนาดอันใหญ่โตของลานพลาซ่า เดล ดัวโมทำให้เราสามารถถ่ายออกมาในมุม 300 องศา อีกทั้งสถานที่ถ่ายทำยังคงเหมือนเดิม โดยไม่มีสิ่งใดบ่งบอกเจาะจงถึงยุคสมัยว่าเป็นยุคใดก็ตาม”
สถานที่ถ่ายทำอีกแห่งที่เคลย์ชื่นชอบเป็นพิเศษคือ พาลาสโซ ฟาร์เนส ใน เคฟราโรลา ซึ่งใช้เป็นฉากบ้านพักตากอากาศของแพมพีเนีย ส่วนของพิพิธภัณฑ์ที่เมื่อก่อนเป็นที่อาศัยของโป๊ป โดยยังคงความดั้งเดิมไว้นับตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 16 อาคารหลังหนึ่งใน พาลาสโซ ที่ใช้เป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ Pleasure Palace เหล่านี้คือประวัติศาสตร์อ้างอิงที่สถานที่ถ่ายทำได้ให้กับหนังเรื่องนี้
เมื่อเอ่ยถึง พาลาสโซ ฟาร์เนส เคลย์ได้อธิบายว่า “มาร์ธาและดีโน่บอกว่าการออกแบบเครื่องแต่งกายของคาเวลลีจะเป็นในลักษณะที่แสดงถึงความหรูหราและอลังการ ดังนั้นผมจึงต้องมองหาสถานที่หรือฉากที่จะมาช่วยเสริมเครื่องแต่งกายเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าจะมีข้อจำกัดทางด้านเงินทุนแต่เราก็สามารถทำจัดการกับมันได้ในแต่ละสถานที่ที่เราไปถ่ายทำ พาลาสโซ ฟาร์เนสได้ถูกสร้างขึ้นในต้นศตวรรษที่ 16 ถึงแม้ว่ามันจะเป็นศิลปะแบบเรเนสซอง แต่ก็มีส่วนผสมของศิลปะแบบบาโรค ทำให้มันมีรูปทรงที่ใหญ่โต มันประกอบไปด้วยรูปปั้นทีมีขนาดใหญ่ 10 เท่าของตัวคน เราจึงมีไอเดียที่จะทำสถานที่เปรียบดังเทพนิยายแห่งนี้เป็นบ้านของแพมพีเนีย เพราะมันดูเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง
เคลย์ค่อนข้างจะประทับใจในตัวเลอแลนด์ ผู้ซึ่งเคยทำงานกับดีไซเนอร์ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีในโรงละคร
“การทดสอบความสัมพันธ์ของการออกแบบงานสร้างก็คือการเตรียมพร้อม” ผู้กำกับหนุ่มกล่าว “คุณจะต้องเดินทางเป็นระยะทางไกลไปกับพวกเขาเหล่านั้น และหากว่าคุณรู้สึกสบายใจแล้วละก็ คุณก็สามารถทำหนังเรื่องนั้นได้ เพราะคุณจะต้องใช้เวลาทำงานร่วมกับเป็นระยะเวลานาน มันไม่สำคัญว่าคุณจะพูดอะไรกัน เพราะสายตาของเขาไม่เคยละจากสิ่งที่เรากำลังมองหากันอยู่”
ผู้กำกับภาพ เบน เดวิด มีความรับผิดชอบคล้ายกันในหนังเรื่องนี้ “หลังจากที่ผมได้เจอเดวิด ผมรู้ทันทีว่าผมต้องการทำหนังเรื่องนี้” เดวิดผู้เคยมีผลงานกำกับภาพให้กับหนังเรื่อง Layer Cake ของผู้กำกับแมทธิว วอห์น และที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการเตรียมการกับ Click ของผู้กำกับโอลีเวอร์ ปาร์คเกอร์ สิ่งที่น่าสนใจในการทำงานกับเดวิดก็คือ เขาเป็นคนเขียนบทหนัง เป็นผู้กำกับ รวมถึงเป็นนักแสดง เพราะฉะนั้นเขาจึงมาพร้อมกับทักษะอันหลากหลาย เดวิดถนัดในการปล่อยให้นักแสดงทำหน้าที่และแสดงในแบบที่พวกเขาต้องการ มันเป็นรูปแบบการทำงานที่ดีมาก โดยเฉพาะเมื่อคุณได้นักแสดงวัยรุ่น แต่นั้นก็เป็นทางออกที่คุณจะได้การแสดงที่ยอดเยี่ยมของพวกเขา และผมคิดว่าเขาได้ทำมันแล้ว เดวิดได้สนุกกับการทำงานและเขารักในสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ มันเป็นบรรยากาศการทำงานที่สนุกตลอดการถ่ายทำหนังเรื่องนี้เลยทีเดียว”
“เราต้องการใครสักคนที่จะสามารถถ่ายทอดความเป็นเด็กสาวและสิ่งสำคัญก็คือทำให้ทุกคนดูงดงาม” มาร์ธา เดอลอเรนติสบอก “มันคือความโรแมนติกในถ่ายทอดเรื่องราวและเบนก็ช่วยเพิ่มความมีเสน่ห์ให้กับความงดงามที่ว่าด้วยการจัดแสงของเขา”
“เบนเป็นคนที่เต็มไปด้วยพลังและความคิดสร้างสรรค์” ลอแลนด์กล่าว “เราทั้งคู่มีความเห็นตรงกันในการเคลื่อนไหวของกล้องภายในแต่ละฉากและทำให้มันดูน่าสนใจ เราไม่เคยขัดแย้งกันเพราะเบนจะมองทุกอย่างออกชัดเจน มีพลังและความคิดสร้างสรรค์ในมุมมองของบางสิ่งบางอย่างซึ่งผมมักจะเห็นด้วย เขาจะสร้างมันออกมาจากไอเดียที่ว่า มันเป็นการร่วมมือกันอย่างแท้จริง ทำให้ผลลัพท์ที่ได้คือคุณจะลงเอยกับสิ่งที่คุณได้คิดมันมาแล้ว ซึ่งเป็นการร่วมมือที่ดีมากจริงๆ”
ทีมนักแสดง
เฮย์เดน คริสเตสเซ่น รับบท ลอเรนโซ่ เดอ แลมเบริตติ
ผลงาน — Life As A House, Star Wars Episode II: Attack of The Clones, Star Wars Episode III: Revenge of The Sith, Shattered Glass, Awake และ The Factory Girl
มิสชา บาร์ตัน รับบท แพมพีเนีย อนาสทากี้
ผลงาน — Lawn Dogs, The Sixth Sense, Notting Hill, Paranoid, The Oh In Ohio และซีรีส์ทางโทรทัศน์ The O.C
ทิมร็อธ รับบท เจอบิโน เดอ ลา เรตตา
ผลงาน — Made In Britain, Reservoir Dogs, Pulp Fiction, Planet of The Apes, Youth Without Youth, The Aftermath (HBO), The Incredible Hulk และ Beautiful Country
ทีมงาน
เดวิด เลอแลนด์ — ผู้กำกับและเขียนบท
ผลงาน — Wish You Were There, Checking Out, The Big Man, Crossing The Line และ Land Girls

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ