กรุงเทพฯ--7 ส.ค.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาทของธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A-” ในขณะเดียวกันยังประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของธนาคารที่ระดับ “A-” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานภาพการเป็นธนาคารเพื่อรายย่อยที่ได้รับการยอมรับ คณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ และความสามารถในการทำกำไร ทั้งนี้ ธนาคารมีความสามารถในการขยายฐานธุรกิจเพื่อทดแทนธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ลดขนาดลงเรื่อยๆ โดยเห็นได้จากอัตราการเติบโตของสินทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ธนาคารยังมีเงินทุนสำรองในระดับที่แข็งแกร่งพอที่จะช่วยรองรับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงปัจจัยแวดล้อมในธุรกิจธนาคารพาณิชย์และการถดถอยของคุณภาพสินทรัพย์ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวมีข้อจำกัดจากปัญหาคุณภาพสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก รวมทั้งจากสถานภาพการเป็นธนาคารขนาดเล็กซึ่งมีเครือข่ายสาขาน้อยกว่าธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่อันอาจมีผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของธนาคารในระยะยาว ภายใต้การแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมธนาคารเพื่อรายย่อย ประกอบกับการมีฐานลูกค้าในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงอาจส่งผลให้ธนาคารมีความอ่อนไหวต่อการขยายธุรกิจและการทำกำไรในอนาคต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนการคาดการณ์ว่าธนาคารเกียรตินาคินจะสามารถรักษาระดับการทำกำไรภายใต้ภาวะแวดล้อมที่ผันผวนของธุรกิจการเงินซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบต่อไปอีกระยะหนึ่ง ประกอบกับธนาคารน่าจะมีความสามารถในการปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ให้ดีขึ้นในอนาคตจากการที่ธนาคารมีนโยบายจะขยายธุรกิจสู่ฐานลูกค้าที่มีประวัติคุณภาพสินทรัพย์ในระดับดี แนวโน้มอันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความสามารถในการดำรงเงินทุนที่เพียงพอจะรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลดมูลค่าสินทรัพย์จากผลของภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนด้วย อย่างไรก็ตาม หากคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญก็อาจส่งผลกระทบในทางลบต่อแนวโน้มหรืออันดับเครดิตของธนาคารได้
ทริสเรทติ้งรายงานว่า จากการที่ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและสินทรัพย์รอการขายของธนาคารเกียรตินาคินจะทยอยลดขนาดลงจนหมดภายใน 2-7 ปีข้างหน้า ผู้บริหารของธนาคารจึงได้หันมาเน้นการเพิ่มสินทรัพย์โดยดำเนินธุรกิจให้กู้ยืมที่ให้ผลตอบแทนสูง อาทิ สินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2551 สินเชื่อของธนาคารเติบโต 8.7% จากสิ้นเดือนธันวาคม 2550 อันเป็นผลมาจากการขยายตัวของสินเชื่อเช่าซื้อเป็นสำคัญซึ่งคิดเป็น 68% ของสินเชื่อทั้งหมด หรือ 50% ของสินทรัพย์ทั้งหมด ธนาคารมีนโยบายควบคุมสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ซึ่งทำให้สินเชื่อดังกล่าวลดลงประมาณ 1,600 ล้านบาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 ซึ่งสัดส่วนสินเชื่อดังกล่าวคิดเป็น 18% ของสินเชื่อทั้งหมด หรือ 13% ของสินทรัพย์ทั้งหมด ธุรกิจหลักทั้ง 3 ประเภทของธนาคาร (การลงทุนและการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ สินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์) ช่วยสร้างรายได้และคงอัตราผลตอบแทนในระดับสูงให้แก่ธนาคาร ธนาคารมีอัตราส่วนสินเชื่อจัดชั้นที่ค้างชำระเกิน 3 เดือน (ชั้นปกติ ชั้นสงสัย และชั้นสงสัยจะสูญ) ต่อสินเชื่อรวมลดลงจากระดับ 12.3% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2550 เป็น 10.6% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2551 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวนับว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ระดับ 8.62% ของธนาคารพาณิชย์ไทยทั้ง 12 แห่งในช่วงเดียวกัน
สินทรัพย์ของธนาคารเกียรตินาคินได้รับผลกระทบจากสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ โดยธนาคารมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในสัดส่วนที่สูงมากถึง 65% ของฐานสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ทั้งหมด (5,000 ล้านบาทจากทั้งหมด 7,700 ล้านบาทเมื่อสิ้นเดือนมีนาคม 2551) ธนาคารมีอัตราสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อจัดชั้นที่ค้างชำระเกิน 3 เดือน ยอดคงค้างสินเชื่อที่ปรับโครงสร้างหนี้ และสินทรัพย์รอการขาย) คิดเป็น 0.87 เท่าของเงินกองทุนและค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของธนาคาร ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ไทยทั้ง 12 แห่ง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 0.81 เท่า การมีนโยบายปล่อยสินเชื่อแก่กลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อผลตอบแทนที่สูงโดยเฉพาะสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์นั้นเนื่องจากธนาคารมีความจำเป็นจะต้องดำรงเงินกองทุนที่แข็งแกร่งและตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญให้สูงเพียงพอที่จะบรรเทาความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2551 ธนาคารมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงเท่ากับ 15.4% ทริสเรทติ้งกล่าว