จีเอ็ม จับมือ ปตท มุ่งพัฒนาแหล่งพลังงานทางเลือกในอาเซียน

ข่าวยานยนต์ Friday August 15, 2008 09:39 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--15 ส.ค.--เวเบอร์ แซนวิค
บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่นส์ และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนามเป็นพันธมิตร ร่วมมือกันค้นคว้าวิจัยและพัฒนาพลังงานทางเลือกในประเทศไทย และภูมิภาคอาเซียน
มร.สตีฟ คาร์ไลส์ ประธานบริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส เซาท์อีสต์ เอเชีย โอเปอเรชั่นส์ และ ประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท ลงนามบันทึกความเข้าใจ หรือ MOU โดยมี มร.ริค แวกอเนอร์ ประธานคณะกรรมการบริหาร เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่นส์ ร่วมเป็นสักขีพยาน
การลงนามข้อตกลงครั้งนี้ เกิดขึ้นในวันแรกของงานแสดงเทคโนโลยียนตรกรรมพลังงานทางเลือกแห่งอนาคต จัดขึ้นโดย เจนเนอรัล มอเตอร์ส เพื่อแสดงยานยนต์หลากหลายรุ่นที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย และเปิดโอกาสให้หารือเรื่องพลังงานทางเลือกด้วย
จุดประสงค์ของการจับมือเป็นพันธมิตรระหว่าง จีเอ็ม และ ปตท. คือ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือและหารือเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการศึกษาเพื่อกำหนดแนวทางของตลาดและความต้องการทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการขยายการใช้พลังงานทางเลือกในระบบคมนาคม และผู้ผลิตรถยนต์ หรือ OEM
จีเอ็ม และ ปตท จะพิจารณารายละเอียดของความร่วมมือกันในหลายด้าน ทั้งการวิจัยเอธานอลที่ได้มาจากเซลลูโลส การวิจัยพืชผลชนิดอื่น ๆ ซึ่งไม่ใช้ทำเป็นอาหาร การขยายแหล่งพลังงานไบโอดีเซล การใช้ประโยชน์จากสาหร่ายโดยนำมาเป็นแหล่งไฮโดรเจน เอธานอล และ พลังงานไบโอดีเซล การพัฒนาการใช้ระบบเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ CNG แบบไบฟิว และ ดูอัลฟิว (DDF) และวัตถุดิบที่เหมาะสม รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีไฮบริดต้นทุนต่ำ เซลพลังงาน และเครื่องยนต์ดีเซลเพื่อประเทศไทย และกลุ่มอาเซียน
หน่วยงานทั้งสองจะใช้ระบบต่างๆ และศูนย์วิจัยและพัฒนาร่วมกัน พร้อมกับร่วมกันพัฒนาบริษัทจัดจำหน่ายในประเทศเพื่อให้มีการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์พลังงานทางเลือก
คุณประเสริฐ กล่าวว่า “ปตท นั้นได้ชื่อว่าเป็นบริษัทที่พัฒนา และมีความรับผิดชอบต่อสังคมมากที่สุดบริษัทหนึ่งในประเทศไทยมานาน ส่วน จีเอ็ม เองก็เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีนวัตกรรมล้ำหน้ามากที่สุดของโลก ดังนั้นการร่วมมือกันระหว่างสองหน่วยงานนี้ก็เพื่อดำเนินกลยุทธ์ด้านพลังงานยนตรกรรมเพื่อประเทศไทยร่วมกัน เพื่อให้เป็นประโยชน์มหาศาลต่อระบบคมนาคมของประเทศ ในทางกลับกัน นี่คือการทำคุณค่าให้แก่ประชาชนคนไทย โดยการยกระดับคุณภาพชีวิตเพื่อทุกคนรวมถึงรุ่นลูกรุ่นหลานด้วย พวกเรารู้สึกตื่นเต้นมากในศักยภาพของการร่วมมือกันครั้งนี้”
“การร่วมมือกันทางการวิจัยด้านพลังงานนั้น จะเป็นตัวอย่างที่ดีในการชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการร่วมมือกันระหว่างบริษัท สถาบันการศึกษา และระหว่างประเทศ เพื่ออนาคตของชาติของเรา ขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเติบโต เรามีภาระหน้าที่รับผิดชอบในฐานะผู้นำทางอุตสาหกรรมเพื่อสร้างความมั่นใจว่าเรารู้ดีว่าโอกาสอันดีงามและความท้าทายกำลังรอคอยเราอยู่ และโครงการนี้จะช่วยเราได้อย่างมาก” คุณประเสริฐกล่าวเพิ่มเติม
มร.คาร์ไลส์ เชื่อว่าบริษัทอย่างจีเอ็ม หรือ ปตท นั้นควรรับตำแหน่งผู้นำในการคิดค้นวิธีแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่ยากและซับซ้อนเกินกว่าการที่บริษัทเพียงบริษัทเดียว หรือ ประเทศเพียงประเทศเดียวจะสามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง
“การร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานของเราในช่วงเวลาแห่งความท้าทายเช่นนี้ จะช่วยสร้างโอกาสอันดีและโดดเด่นเป็นอย่างมาก” มร.คาร์ไลส์ กล่าว “เราคาดหวังว่า การร่วมมือกันระหว่าง จีเอ็มและ ปตท. ครั้งนี้จะให้ผลตอบรับที่แสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม มีผลดีทางเศรษฐกิจ พิทักษ์สิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน และใช้เทคโนโลยีที่เป็นไปได้ การค้นหาพลังงานทางเลือกในระยะยาวเพื่อแทนที่การใช้น้ำมันนั้นเพื่อเป็นประโยชน์สูงสุดของทุกๆ คน”
บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่นส์ สหรัฐอเมริกา (General Motors Corporations: GM) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก เป็นผู้นำด้านยอดจำหน่ายรถยนต์ทั่วโลกถึง 77 ปี ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2451 ปัจจุบันมีพนักงานทั่วโลกกว่า 266,000 คน โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ ณ เมืองดีทรอยต์ สหรัฐอเมริกา และมีศูนย์การผลิตรถยนต์และรถกระบะใน 35 ประเทศ ในปี 2550 จีเอ็มจำหน่ายรถยนต์และรถกระบะไปกว่า 9.37 ล้านคัน ภายใต้แบรนด์ บูอิค (Buick) คาดิลแลค (Cadillac) เชฟโรเลต (Chevrolet) จีเอ็มซี (GMC) โฮลเด้น (Holden) ฮัมเมอร์ (Hummer) โอลส์โมบิล (Oldsmobile) โอเปิล (Opel) พอนทิแอค (Pontiac) ซาบ (Saab) แซเทิร์น (Saturn) ว็อกซ์ฮอล (Vauxhall) และวู่หลิง (Wuling) นอกจากนั้น ระบบนำทางและขอความช่วยเหลือด้วยสัญญาณดาวเทียม ออนสตาร์ (OnStar) ของจีเอ็ม ทำให้จีเอ็มกลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ด้านความปลอดภัยและบริการด้านข้อมูลอีกด้วย (www.gm.com)
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มีสาขามากมายซึ่งมีส่วนร่วมในธุรกิจปิโตรเลียมในประเทศไทยและระหว่างประเทศ บริษัทมีการแบ่งการปฏิบัติงานเป็น 4 ส่วนหลัก นั่นคือธุรกิจน้ำมัน ธุรกิจการเสาะหาและการผลิตก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจการกลั่น และธุรกิจปิโตรเคมี โดยธุรกิจน้ำมันนั้นดูแลการบริการด้านตลาดน้ำมัน ซึ่งรวมถึงตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์หล่อลื่นเพื่อจำหน่ายปลีกและค้าส่ง รวมถึงตลาดระหว่างประเทศ อีกทั้งการนำเข้าและส่งออกน้ำมันดิบ ผลิตภัณฑ์จากน้ำมัน วัตถุดิบ และสินค้าปิโตรเคมี ส่วนธุรกิจการเสาะหาและการผลิตก๊าซธรรมชาตินั้นดูแลด้านการจัดซื้อ ท่อส่งก๊าซธรรมชาติ และการจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ ซึ่งธุรกิจนี้ยังมีหน้าที่รับผิดชอบในการแสวงหาและผลิตปิโตรเลียมจากอ่าวไทย ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค และตะวันออกกลาง ธุรกิจการกลั่นนั้นดูแลทางด้านกระบวนการ ขั้นตอน และการจัดจำหน่ายสินค้าน้ำมันสำเร็จรูป และธุรกิจปิโตรเคมีมีหน้าที่ดูแลด้านการจัดซื้อพืชเศรษฐกิจสำหรับวัตถุดิบพืชปิโตรเคมี รวมถึงการผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าและผลพลอยได้จากปิโตรเคมี บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ยังดูแลตลาดโพลีเมอร์ ความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม การดูแลรักษาโรงงานและงานด้านวิศวกรรม บริการด้านการเก็บรักษาและการขนส่งเคมีเหลว รวมถึงน้ำมันและก๊าซ โดยบริษัทก่อตั้งขึ้นในปี2544 และมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเทพฯ
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ:
คุณชาติชาย สุวรรณเสวก
กรรมการอำนวยการบริหาร
บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส เซาท์อีสต์เอเชีย โอเปอเรชั่นส์ จำกัด
ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ประจำภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทย
บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด
โทร. 0-2791-3400 แฟกซ์ 0-2937-0441
อีเมล: chartchai.suwanasevok@gm.com

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ