แสนสิริชี้ตลาดคอนโดมิเนียมระดับพรีเมียม ราคาไม่สะท้อนสภาพตลาดจริง เตรียมปรับราคาต้นเดือนตุลาคมนี้ เผยแผนครึ่งหลัง 51’รุกหนักตลาดบ้านเดี่ยวระดับกลาง

ข่าวอสังหา Monday August 18, 2008 16:30 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--18 ส.ค.--แสนสิริ
แสนสิริชี้ตลาดคอนโดมิเนียมระดับพรีเมียม ราคาปัจจุบันไม่สะท้อนสภาพตลาดจริง เหตุความต้องการคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมยังมีต่อเนื่อง ขณะที่พื้นที่เหมาะสำหรับพัฒนาโครงการย่านใจกลางธุรกิจ (CBD) ลดน้อยลง ส่งผลราคาขายเฉลี่ยปรับขึ้นทุกปี ประกาศเตรียมปรับราคาคอนโดมิเนียมเฉลี่ย 8 — 30% ขึ้นอยู่กับขนาดยูนิตต้นเดือนตุลาคมนี้ เชื่อผู้บริโภครับราคาได้ เพราะระดับราคาที่ปรับไม่ชนราคาเปลี่ยนมือที่ซื้อขายจริง ชูมูลค่าโครงการเก่าพุ่งสูงโดยเฉพาะโครงการบ้านราชดำริราคาเปลี่ยนมือเฉลี่ย 2 แสนบาทต่อ
ตารางเมตร จากราคาเปิดขาย 1 แสนบาทต่อตารางเมตร ขณะที่โครงการสิริเรสซิเดนซ์ ต่างชาติสนใจเช่าในอัตราเดือนละ 1,000 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือนหรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทน (Yield) 8%
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมปรับราคาคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมที่อยู่ในพื้นที่ใจกลางธุรกิจ (CBD) ย่านสุขุมวิท ที่ยังมียูนิตเหลือขายในขณะนี้เฉลี่ย 8 — 30% ขึ้นอยู่กับขนาดของยูนิต เพื่อสอดรับกับสภาพตลาดจริงที่มีราคาขายเฉลี่ยในปัจจุบันอยู่ที่ 90,000 บาทต่อตารางเมตร ปรับขึ้นจากช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาที่มีราคาขายเฉลี่ย 86,000 บาทต่อตารางเมตร ขณะที่ราคาที่ดินในทำเลย่านสุขุมวิทมีราคาขายเฉลี่ยสูงถึง 6 แสน — 8 แสนบาทต่อตารางวา จากแนวโน้มความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมย่านใจกลางเมืองที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะที่พื้นที่เหมาะสมกับการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมหายากมากขึ้น
“ตลาดคอนโดมิเนียมระดับพรีเมียมในย่านใจกลางเมือง เป็นการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย เนื่องจากสภาวะตลาดปัจจุบัน ผู้ประกอบการที่จะแข่งขันในตลาดนี้ต้องมีฐานเงินทุนที่มั่นคงจากราคาที่ดินที่สูงขึ้นอย่างมากรวมทั้งค่าก่อสร้าง ดังนั้นสินค้าใหม่ ๆ ในตลาดนี้จึงมีอยู่ไม่มากขณะที่ความต้องการสินค้าระดับบนยังคงมีอย่างต่อเนื่อง การที่แสนสิริพัฒนาสินค้าในทำเลที่มีศักยภาพสูง มีจุดเด่นที่ชัดเจน สามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าระดับบนอย่างแท้จริง ทำให้เชื่อมั่นว่ากลุ่มผู้ซื้อคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมของแสนสิริ จะมีความเข้าใจในเหตุผลของต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นและรับราคาที่ปรับได้อย่างแน่นอน” นายเศรษฐา กล่าว
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แสนสิริเป็นผู้นำในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมมาแล้วกว่า 30 โครงการ ในปี 2550 แสนสิริประสบความสำเร็จอย่างสูงในการพัฒนาโครงการ Siri at Sukhumvit , โครงการ 39 By Sansiri, โครงการ Siri on 8 รวมถึงโครงการ Prive’ By SANSIRI และ Preen ซึ่งเป็นโครงการะดับพรีเมี่ยม ที่มีราคาขายตั้งแต่ 1.1 - 1.6 แสนบาทต่อตารางเมตร ซึ่งมีผู้ประกอบการไม่กี่รายเท่านั้นที่มีการรุกตลาดดังกล่าว ในขณะที่คอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมของแสนสิริ ประสบความสำเร็จอย่างมากในทุกโครงการ หลายโครงการสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากแสนสิริเป็นผู้นำที่มีประสบการณ์ในการพัฒนาคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่เรื่องการเลือกทำเลที่ดีที่สุดในย่านใจกลางธุรกิจ การดีไซน์ที่มีรูปแบบเฉพาะ การเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ได้คุณภาพและมาตรฐาน รวมถึงเรื่องของบริการในด้านการอยู่อาศัยที่มีความแตกต่างจากคู่แข่งอื่นๆ อย่างชัดเจน ทำให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่นในแบรนด์สินค้าอย่างเหนียวแน่น
นอกจากนี้จากความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมใจกลางเมืองประกอบกับความเชื่อมั่นในผู้ประกอบการของกลุ่มลูกค้าแสนสิริยังส่งผลให้เกิดการซื้อขายเปลี่ยนมือ (Resales) คอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมพร้อมเข้าอยู่ที่ปิดการขายไปแล้ว โดยเฉพาะโครงการบ้านราชดำริ มีราคาซื้อขายเปลี่ยนมือเฉลี่ย 2.06 แสนบาทต่อตารางเมตร จากราคาที่เปิดขายประมาณ 1.07 แสนบาทต่อตารางเมตร คิดเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 92% จากที่เปิดขายในปลายปี 2547 ขณะที่ชาวต่างชาติ อาทิ อังกฤษ ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน และสิงคโปร์ ให้ความสนใจเช่าโครงการสิริเรสซิเดนซ์ คอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมของแสนสิริที่สร้างเสร็จและส่งมอบให้กับลูกค้าในปีที่ผ่านมา ในอัตราเช่าสูงถึง 1,000 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือนหรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทน (Yield) 8% โดยโครงการดังกล่าวมีชาวต่างชาติให้ความสนใจเช่าพักอาศัยแล้วถึง 72%
“แม้ว่าคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมของแสนสิริ จะมีราคาซื้อขายเปลี่ยนมือที่ขยับสูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ยังมีความเคลื่อนไหวด้านการซื้อขายเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทำให้เชื่อมั่นว่ามีผู้ประกอบการเพียงไม่กี่รายที่จะสร้างความเชื่อมั่นและสามารถควบคุมราคาขายเปลี่ยนมือในอัตราที่เพิ่มสูงในระดับนี้ เป็นอีกส่วนที่สะท้อนให้เห็นถึงตลาดคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมสภาพจริงในปัจจุบัน ซึ่งผู้บริโภคที่ต้องการซื้อคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมในช่วงนี้น่าจะเป็นโอกาสที่เหมาะที่สุด เนื่องจากจะยังไม่มีการการปรับราคาจนถึงต้นเดือนตุลาคมนี้”
นายเศรษฐา กล่าวเสริมถึงแผนการรุกธุรกิจในช่วงครึ่งหลังปี 2551 ของกลุ่มบริษัทแสนสิริว่า ยังคงเน้นการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรมากยิ่งขึ้น โดยจะเน้นการรุกขยายฐานตลาดบ้านเดี่ยวมากขึ้น โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวในระดับราคา 4 — 15 ล้านบาท นอกจากโครงการเดิมแล้ว ยังได้เริ่มพัฒนาโครงการใหม่อีก 7 โครงการ ในทำเลที่มีศักยภาพ ได้แก่ ย่านรามอินทรา บางนา ราชพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ ซึ่งเป็นทำเลที่ยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงระดับบนอยู่อีกเป็นจำนวนมาก โดยได้ทยอยเปิดตัวโครงการ (Pre-Sale) ตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาและจะจัดกิจกรรมเปิดตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาสสามและสี่ของปีนี้ ทั้งนี้เฉพาะโครงการบ้านเดี่ยวใหม่ทั้ง 7 โครงการดังกล่าว มีมูลค่าการขายรวมกว่า 6,000 ล้านบาท
“ในช่วงครึ่งปีแรกยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยโดยรวมค่อนข้างน่าพอใจ แม้ว่าปัจจัยเศรษฐกิจหลาย ๆ ประการ จะทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อโครงการที่อยู่อาศัย แต่ก็มั่นใจว่าความต้องการที่อยู่อาศัยที่แท้จริงก็ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเห็นได้จากยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยรวมในช่วงครึ่งปีแรก ขายไปแล้วกว่า 2,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าขายรวมกว่า 10,000 ล้านบาท โดยบ้านทุกเซกเมนต์และทุกระดับราคายังได้รับการตอบรับที่ดี และจะมีการทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้จากการที่กลุ่มบริษัทแสนสิรีมียอดขายล่วงหน้า (Pre-sale Back Log) ที่รอรับรู้รายได้ในอีก 1 — 3 ปี ประมาณ 23,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดขายล่วงหน้าสูงที่สุดในระบบในขณะนี้และเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความมั่นคงในระยะยาวให้กับบริษัทได้เป็นอย่างดี จะส่งผลให้ยอดรับรู้รายได้ภายในสิ้นปี 2551 สูงขึ้นประมาณร้อยละ 25 และมีกำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 จากปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เป็นผลจากการบริหารต้นทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำกำไรแม้ปัจจัยทางเศรษฐกิจจะมีการเปลี่ยนแปลงก็ตาม” นายเศรษฐา กล่าว
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ