กรุงเทพฯ--26 ส.ค.--พีอาร์ แอนด์ แอสโซซิเอส
บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด ประกาศผลประกอบการครึ่งปีแรก 2551 เป็นที่น่าพอใจและคาดว่ายอดขายปีนี้จะทะลุเป้า 6,300 ล้านบาท มุ่งเดินหน้าสู่เป้าหมายความเป็นเลิศตามนโยบายทั่วโลกในปี 2554 ด้วยกลยุทธ์กิจกรรมการตลาดสร้างสรรค์ ผลิตภัณฑ์หลากหลายที่มีเทคโนโลยีทันสมัย ทีมบุคลากรเข้มแข็งพร้อมบริการที่สร้างความสุขให้แก่ผู้บริโภค
นายวาตารุ นิชิโอกะ ประธานบริษัทและประธานกรรมการบริหาร บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า “แคนนอน ไทยแลนด์ จะฉลองครบรอบ15 ปี ในปีหน้า วิสัยทัศน์ของบริษัทคือการนำความสุขและความพึงพอใจมาให้คนไทยด้วยการนำเสนอสินค้าที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าสำหรับผู้บริโภคชาวไทย ในครึ่งปีแรก 2551 ที่ผ่านมาเราได้บรรลุเป้ายอดขาย 2,900 ล้านบาทจากเป้าที่วางไว้ ทั้งปี 6,300 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นอัตราการเติบโต16% จากปี 2550 ทั้งนี้เพราะผลิตภัณฑ์ทุกกลุ่มมียอดขายสูงขึ้น เช่น แผนกบิสสิเนส อิมเมจจิ้ง โซลูชั่น ได้เป็นผู้นำตลาดเครื่องถ่ายเอกสารดิจิตอลเป็นครั้งแรก โดยสามารถครองส่วนแบ่งตลาดถึง 25% ในขณะที่แผนกคอนซูเมอร์ อิมเมจจิ้ง แอนด์ อินฟอร์เมชั่น นั้นกลุ่มผลิตภัณฑ์พรินเตอร์อิงเจ็ท ซิงเกิล ฟังก์ชั่น มีส่วนแบ่งตลาด 47% หลังจากที่ครองอันดับที่ 1 ในตลาดเป็นเวลาแปดปีติดต่อกัน และยอดขายรวมของกล้องแคนนอนดิจิตอล เอสแอลอาร์ เป็นอันดับ 1 เช่นกัน โดยมีส่วนแบ่งตลาด 48%”
“ความสำเร็จของแคนนอนมาจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยให้ผู้บริโภคเลือกมากมายและตอบสนองวิถีชีวิตและการทำงานของผู้บริโภคทำให้ได้รับความพอใจและความสุข ทั้งนี้เพราะความกระตือรือร้นของทีมขาย พร้อมด้วยกิจกรรมการตลาดแนวรุก เสริมด้วยกิจกรรมส่งเสริมการขายที่เจาะลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเฉพาะ และของแคนนอน”
ยอดขายเครื่องถ่ายเอกสารดิจิตอลของแคนนอนมีการเติบโต 19% ในขณะที่เครื่องถ่ายเอกสารสีดิจิตอลมัลติฟังก์ชั่น (ไออาร์ซี) มีการเติบโตถึง 68% และผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์สีหน้ากว้าง imagePROGRAF (Large Format Printer) เติบโตอย่างน่าพอใจในอัตรา 63%
กลุ่มผลิตภัณฑ์พรินเตอร์อิงเจ็ท ซิงเกิล ฟังก์ชั่น ครองความเป็นผู้นำตลาดมาตลอด 8 ปีแล้ว และในครึ่งแรกของปีนี้ มีส่วนแบ่งตลาด 47% สำหรับผลิตภัณฑ์พรินเตอร์ มัลติฟังก์ชั่น มีส่วนแบ่งตลาด 31%
ผลิตภัณฑ์กล้องดิจิตอล เอสแอลอาร์ มียอดขายเป็นอันดับหนึ่ง และมีส่วนแบ่งตลาด 48% สำหรับกล้องดิจิตอล คอมแพค มีส่วนแบ่งตลาด 15%
นายนิชิโอกะ กล่าวต่อไปว่า สำหรับกลยุทธ์ในการสร้างการเติบโตของแคนนอนที่ประเทศไทยเพื่อให้ก้าวสู่ความเป็นเลิศในปี 2554 พร้อมด้วยเป้าหมายยอดขาย หนึ่งหมื่นล้านบาท ตามนโยบายของแคนนอนทั่วโลกมี 5 กลยุทธ์ คือ
กลยุทธ์แรกคือ ใช้การตลาดที่สร้างสรรค์กระตุ้นการตัดสินใจของผู้บริโภค ทั้งนี้แคนนอนเป็นหนึ่งในผู้นำของโลกด้านเทคโนโลยีดิจิตอล และการตลาดยุคใหม่จะเน้นการใช้สื่อดิจิตอล และสังคมเครือข่ายเพื่อสร้างโอกาสทางการตลาด โดยจะมีการใช้เว็บไซต์เป็นสื่อหลัก และใช้สื่อโทรทัศน์เป็นส่วนสนับสนุนที่สำคัญ ดังนั้นแคนนอนจะตั้งแผนกใหม่เพื่อดูแลการตลาดออนไลน์โดยเฉพาะ จะมีการนำเสนอเทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์เปรียบเทียบกับคู่แข่ง ปัจจุบันเว็บไซต์ของแคนนอน www.canon.co.th นำเสนอรายละเอียดผลิตภัณฑ์จากแคมเปญ “It works” ในกลุ่ม คอนซูเมอร์ ซิสเท็ม โปรดักส์ ซึ่งในอนาคต แคนนอนจะขยายบริการเว็บไซต์นี้สู่เฟสที่ 2 เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถลงทะเบียนรับผลิตภัณฑ์ไปทดลองใช้ได้
กลยุทธ์ที่สอง การมีผลิตภัณฑ์หลากหลายที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทย โดยฝ่ายวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคของแคนนอนจะรวบรวมข้อมูลความต้องการของผู้บริโภคและคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ เพื่อให้แคนนอนที่ประเทศไทยสามารถวางแผนและนำเสนอให้ฝ่ายวิจัยและพัฒนาที่ประเทศญี่ปุ่น ได้นำเสนอสินค้าที่ตรงความต้องการของชาวไทยมากที่สุด ซึ่งอาจจะแตกต่างจากตลาดประเทศอื่นๆ
กลยุทธ์ที่สามคือ การสร้างความแข็งแกร่งให้บุคลากรขององค์กร เพราะเป็นหัวใจของความสำเร็จ โดยการเตรียมทีมงานให้มีความเข้มแข็งเพื่อให้สามารถรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจ การเน้นให้การศึกษา การฝึกอบรมทั้งด้านบริหารและการตลาด เพื่อให้แคนนอนเป็นบริษัทที่แข็งแกร่ง ยุติธรรม และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
กลยุทธ์ที่ 4 คือการให้บริการที่ “สร้างความสุข” ให้กับผู้บริโภคชาวไทยและชุมชนไทย โดยความสุขนี้เป็นระดับที่เหนือกว่าแค่ “ความพึงพอใจ” ซึ่งหมายถึงการให้บริการที่ใส่ใจเป็นพิเศษที่บรรดาคู่แข่งไม่เคยให้บริการเช่นนี้มาก่อน
ประการสุดท้ายคือ การสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสังคมทั้งด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และส่งเสริมชุมชน ในแต่ละปีแคนนอนได้ทำกิจกรรมส่งเสริมสังคมในหลากหลายรูปแบบ และกิจกรรมล่าสุด ได้แก่การสนับสนุนให้นักศึกษามหาวิทยาลัยได้แสดงออกถึงศักยภาพด้าน ดนตรี กีฬา และบันเทิงในโครงการ “แคนนอนยูลีก”
นอกจากนี้แคนนอนยังมุ่งมั่นลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม แคนนอน อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) ได้ลดสารพิษและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในผลิตภัณฑ์และในกระบวนการผลิต เพื่อแสดงว่าแคนนอนใส่ใจที่จะป้องกันมลภาวะที่อาจเกิดกับสิ่งแวดล้อม ด้วยการลดปริมาณของเสียให้ต่ำที่สุด รวมทั้งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อการรักษาสภาพแวดล้อมไม่ว่าในกรณีใดๆ และต้องมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ของแคนนอนทุกชนิดปลอดสารพิษและปลอดภัยต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม
ด้วยผลงานที่ดีเด่นในด้านสิ่งแวดล้อม เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2550 ที่กรุงนิวยอร์ก แคนนอนได้รับคะแนนเป็นที่หนึ่งในผลงานด้านสภาวะอากาศ (Climate Count Scorecard) นำเด่นเหนือบริษัทชั้นนำของโลก 56 บริษัทซึ่งสร้างผลงานด้านสิ่งแวดล้อมในกระบวนการประกอบธุรกิจและมีความมุ่งมั่นในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน
รายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ
บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด
ปฐนียา ศิริประพฤทธิ์ โทร. 0 2344 9999 ต่อ 134 / pataneeya@cmt.canon.co.th
บริษัท พีอาร์ แอนด์ แอสโซซิเอส จำกัด
เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง โทร.0 2651 8989 ต่อ 440 / pensee@prassociates.net