กรุงเทพฯ--1 ก.ย.--ออนไลน์ แอสเซ็ท
"สิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล" มั่นใจครึ่งปีหลัง MILL เติบโตแข็งแกร่ง แม้แนวโน้มราคาเหล็กเริ่มอ่อนตัว เหตุมีฐานลูกค้ากว้างขึ้น หลังเข้าลงทุนใน'บีอาร์พี สตีล' และมีกำลังการผลิตเพิ่มจาก 5 แสนตัน/ปี มาเป็น 9 แสนตัน/ปี รองรับความต้องการใช้เหล็กที่มีทิศทางเพิ่มสูงขึ้นได้อย่างคล่องตัว มั่นใจสิ้นปีปั๊มรายได้ทะลุ 1 หมื่นลบ. ตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ แจงครึ่งแรกของปีนี้รับรู้รายได้จาก 'บีอาร์พี สตีล' เพียง 2 เดือน แต่หนุนกำไรโดดเด่นโดย Q2/51 มีกำไรสุทธิ 361.43ลบ.ส่วนยอดรวม 6 เดือน 437.42 ลบ. ถือโอกาสจ่ายเงินปันผลตอบแทนผู้ถือหุ้นทันทีในอัตราหุ้นละ 0.08 บาท
นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิลล์คอนสตีล อินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ MILL เปิดเผยถึงแนวโน้มธุรกิจในครึ่งปีหลังว่า ยังมีทิศทางการเติบโตที่ดี ถึงแม้ว่าราคาเหล็กในตลาดโลกเริ่มอ่อนตัวลงบ้างตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก อย่างไรก็ตามมั่นใจว่าจะไม่มีผลกระทบกับการดำเนินธุรกิจของบริษัทโดยมั่นใจว่าผลประกอบการและรายได้ในไตรมาสที่ 3/2551 ต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสสุดท้ายของปี จะยังคงเติบโตดีต่อเนื่อง เพราะ MILL มีฐานลูกค้าใหญ่ขึ้น โดยเป็นฐานลูกค้าจากบริษัทย่อยคือ บริษัท บีอาร์พี สตีล จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้นอยู่ในสัดส่วนร้อยละ 83.78 ประกอบกับเมื่อรวมกำลังการผลิตกับ บีอาร์พี สตีล ทำให้มีกำลังผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 900,000 ตันต่อปี จากเดิมที่มีกำลังการผลิต 500,000 ตันต่อปี
ยอมรับว่าขณะนี้ราคาเหล็กในตลาดโลกเริ่มทรงตัวและเคลื่อนไหวไม่หวือหวาเหมือนช่วงที่ผ่านมา แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัท โดยในช่วงครึ่งหลังปีนี้จะรับรู้รายได้จาก บีอาร์พี สตีล เข้ามาเต็มตัว มากกว่าครึ่งปีแรกที่รับรู้รายได้เพียง 2 เดือนเท่านั้น แต่ก็ทำให้ผลประกอบการเพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัด ดังนั้นจึงมั่นใจว่าจะสามารถทำรายได้ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ระดับ 10,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ประมาณ 3,200 ล้านบาท ส่วนผลงานในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา MILL มีรายได้แล้วกว่า 5,000 ล้านบาท ' นายสิทธิชัย กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานเฉพาะกิจการไตรมาส 2/2551 ของ MILL มีกำไรสุทธิ 155.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้น141.37 ล้านบาทหรือร้อยละ 1,021.50 และงวด 6 เดือนมีกำไรสุทธิ 31.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 182.73 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 377.07 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันในปีก่อน ส่วนงบการเงินรวมสำหรับไตรมาส 2/2551 มีกำไรสุทธิ 361.27 ล้านบาท ขณะที่งวด 6 เดือน มีกำไรสุทธิ 437.42 ล้านบาท
ทั้งนี้ กำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 2/2551 มาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น เป็นรายได้จากการขาย 3,043.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 626.18 ล้านบาท ในงวดบัญชีเดียวกันของปี 2550 เพิ่มขึ้นเท่ากับ 2,417.12 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 386.39 เนื่องจากบริษัทจำหน่ายสินค้าได้มากขึ้นประกอบกับราคาของสินค้ามีการปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีรายได้จากการขายของบริษัทย่อยซึ่งรับรู้เป็นรายได้ในงบการเงินรวมตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2551 ถึง 30 มิถุนายน 2551 เท่ากับ 580.49 ล้านบาท
บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้น 297.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 48.20 ล้านบาท ในงวดบัญชีเดียวกันของปี 2550เพิ่มขึ้นเท่ากับ 906.28 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 1,880.25 ซึ่งเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนของรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นแต่มีอัตราส่วนต้นทุนขายต่อยอดขายลดลงในอัตราร้อยละ 2.09 อันเนื่องจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาขายที่สูงกว่าต้นทุนการผลิตและขายที่เพิ่มขึ้น ทั้งในงบเฉพาะกิจการและงบการเงินรวม
ดังนั้นเพื่อตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น คณะกรรมการบริษัทจึงมีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผล ระหว่างกาล จากผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2551 ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทในอัตราหุ้นละ 0.08 บาท โดยกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อสิทธิในการรับเงินปันผลระหว่างกาล ในวันที่ 28 สิงหาคม 2551 เวลา 12.00 น. และกำหนดจ่าย เงินปันผลในวันที่ 8 กันยายน 2551
'การจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นการตอบแทนกลับให้กับผู้ถือหุ้น เพราะหลังจากที่เรามีกำไรก็ต้องให้ผลตอบแทนผู้ถือหุ้นบ้าง ส่วนครึ่งปีหลังจะจ่ายอีกหรือไม่คงต้องดูกำไรก่อนว่าจะออกมาอย่างไร สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับมติของคณะกรรมการบริษัท แต่นโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัท กำหนดไว้ไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ นายสิทธิชัย กล่าวในที่สุด
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
คุณปภาดา สุวรรณกูฎ (ตุ้ย) TEL : 02-554-9396 / 085-133-0184