“เอส.แอล.เอสเตท” มั่นใจปิดการขาย”รอยัลราชาวดี-พาร์คราชาวดี”กลางปีหน้า รุกสร้างแบรนด์ครั้งใหญ่-เตรียมลงทุนอีกไม่ต่ำกว่า500 ล้านเปิด 2 โครงการใหม่

ข่าวอสังหา Wednesday September 3, 2008 07:54 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--3 ก.ย.--เอดีทูวาย คอมมิวนิเคชั่น
“เอส.แอล. เอสเตท” ย้ำจุดขาย“บ้านพร้อมอยู่ พร้อมโอน ในราคาต้นทุนเดิม” มั่นใจปิดการขายโครงการ “รอบยัลราชาวดี-พาร์คราชาวดี”ได้ภายในไตรมาสสองปีหน้า พร้อมเตรียมควักกระเป๋าอีกไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาทเปิดตัวโครงการใหม่อีก 2 แห่ง หันชิมลางตลาดอาคารชุดที่หัวหิน ส่วนตลาดกรุงเทพฯขณะนี้อยู่ระหว่างการเลือกทำเล ล่าสุดปรับโฉมและรี-แบรนด์ดิ้งครั้งใหญ่ วางโพซิชั่นเป็นโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับคนทำงานในเมือง ที่มีคุณภาพและราคาที่เหมาะสม หวังสร้างแบรนด์ให้รับรู้ในวงกว้างขึ้น พร้อมอัดแคมเปญการตลาดต่อเนื่องอีกระลอกก่อนปิดการขายในปีหน้า
นายสุรินทร์ องค์วาสิฏฐ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส. แอล. เอสเตท จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันตัวแปรทางเศรษฐกิจและการเมืองยังเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอยู่ แต่ด้วยความเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลาง ทำให้บริษัทสามารถปรับตัวให้สอดรับกับความต้องการของตลาดได้เร็วและคล่องตัว บวกกับการทำสัญญาระยะยาวกับผู้ประกอบด้านวัดุก่อสร้างและผู้รับเหมา ทำให้บริษัทสามารถพยุงราคาขายให้อยู่ในอัตราเดิมได้ ขณะที่โครงการใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นได้ปรับราคาขึ้นตามราคาต้นทุนของวัสดุก่อสร้างและราคาน้ำมันไปแล้วเฉลี่ยประมาณ 10-15%
ทั้งโครงการพาร์คราชาวดี ทาวน์เฮ้าส์หรู 159 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 500 ล้านบาท และรอยัลราชาวดี บ้านเดี่ยว 65 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 500 ล้านบาท นั้นปัจจุบันยอดขายอยู่ที่ประมาณ 80-85% ซึ่งเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ ส่วนที่เหลืออีก 10% คาดว่า ปิดการขายได้ทั้งหมดในอีก 4-5 เดือนข้างหน้า ส่วนที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 5% บริษัทจะเร่งดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จและปิดการขายได้ทั้งหมดในช่วงไตรมาสสองของปี 2552
นายสุรินทร์ กล่าวถึงแนวทางการลงทุนด้วยว่า ในแต่ละปีบริษัทมีนโยบายลงทุนมูลค่าโครงการไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท โดยในปีหน้า 2552 นี้บริษัทได้เตรียมงบลงทุนเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 30% ของมูลค่าโครงการในปี 2551 โดยมุ่งพัฒนาที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮ้าส์ในเมืองที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนที่อยู่ในเมืองอย่างน้อยอีก 2 โครงการ จากปัจจุบันที่พัฒนาไปแล้วจำนวน 3 โครงการ โดยจะมีโครงการอาคารชุดที่เขาเต่า อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และโครงการในกรุงเทพฯอีก 1 โครงการ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการการตัดสินใจเลือกทำเลที่เหมาะสม
“ตอนนี้เรามีที่ดินเข้ามาให้เลือกอยู่หลายทำเล ทั้งในโซนพระราม 2 ซึ่งเป็นทำเลเดิม และโซนเกษตร- นวมินทร์, รามอินทรา ลาดพร้าว รามคำแหง พระราม 9 เป็นต้น แต่เราจะยังโฟกัสในทำเลที่อยู่ในเมือง เนื่องจากมองว่าผู้บริโภคในยุคนี้จะมองปัจจัยเรื่องของราคาน้ำมันเป็นตัวแปรหลักในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งในแต่ละทำเลก็จะมีรูปแบบการลงทุนที่แตกต่างกัน อาทิ ถ้าตุ้นทุนราคาที่ดินไม่สูงนักเราก็จะพัฒนาบ้านเดี่ยว เพราะเชื่อว่าตลาดบ้านเดี่ยวก็ยังไปได้ “ นายสุรินทร์กล่าว และว่า อย่างไรก็ตาม การลงทุนในทุกรูปแบบนั้นบริษัทจะให้ความสำคัญในเรื่องของทำเลที่ตั้งที่อยู่ในเมือง คนทำงานเดินทางสะดวก รวมทั้งคุณภาพ มีดีไซน์และฟังก์ชั่นที่ทันสมัยด้วย
นายสุรินทร์กล่าวด้วยว่า จากการที่บริษัทได้เปิดตัวโครงการแล้วทั้งหมด 3 โครงการ และทั้ง 3 โครงการอยู่ในทำเลย่านพระราม 2 นั้น ทำให้การรับรู้ในแบรนด์ของเอส.แอล.เอสเตท ยังอยู่ในวงจำกัดแต่ก็มั่นใจว่าผู้บริโภคในโซนพระราม 2 เกิดความเชื่อมั่นในแบรนด์ของบริษัทในระดับหนึ่งแล้วว่าเป็นโครงการที่ดี มีคุณภาพ และมีดีไซน์ที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่
ดังนั้น ในปีนี้บริษัทจึงมีแผนที่จะทำให้แบรนด์เอส.แอล.เอสเตทให้เป็นที่รับรู้และเข้าไปอยู่ในใจของกลุ่มผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้นด้วย ด้วยการวางโพซิชั่นนิ่งของบริษัทให้เป็นโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับคนทำงานในเมือง ที่มีคุณภาพและระดับราคาที่เหมาะสม
นายวรพจน์ เดชอุดมวิทยา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กล่าวเพิ่มเติมถึงแนวทางการสร้างแบรนด์ว่า เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคยอมรับในด้านคุณภาพและโลเคชั่นของโครงการอยู่แล้ว ส่งผลให้แบรนด์ของบริษัทเป็นที่ยอมรับมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่จะรู้จักชื่อโครงการเป็นหลัก ปีนี้บริษัทจึงหันมาให้ความสำคัญกับการสร้าง แบรนด์ เพื่อให้ชื่อเอส.แอง.เอสเตทเป็นท่รู้จักในวงกว้างขึ้นด้วยการปรับโฉมและรี-แบรนด์ดิ้งโดยเริ่มตั้งแต่การปรับเปลี่ยน โลโก้ นามบัตร รวมไปถึงส่วนต่อเนื่องภายในองค์กร เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางและเป้าหมายของบริษัทในระยะยาว และทำให้ภาพลักษณ์เป็นเทรนด์ดี้มากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อตอบโจทย์ว่าสินค้าของบริษัทมีความหลากหลาย มีไลฟ์สไตล์ และมีความเป็นพรีเมี่ยม
นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญกับด้านสิ่งแวดล้อมและรับผิดชอบต่อสังคม (CSR: Corporate Social Responsibility) ซึ่งนอกจากจะใส่ใจเรื่องสังคมและสิ่งแวดล้อมแล้ว บริษัทยังหันไปใช้วัสดุที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างความจดจำในแบรนด์เอส.แอล.เอสเตท รวมทั้งยังเป็นการสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งที่อยู่ในตลาดอย่างชัดเจน (Private Brand) สอดรับกับภาวะเศรษฐกิจและไลฟ์สไตล์ที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
ด้านนายนิรุธ สัจจานิตย์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด กล่าวเสริมว่า จากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองที่ยังไม่นิ่งเป็นผลให้ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยใช้เวลาในการตัดสินใจช้าลง ในทางกลับกันพบว่าผู้ซื้อบ้านบางรายก็รับตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น เพราะหากไม่ซื้อในช่วงนี้อาจได้ที่อยู่อาศัยในราคาที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นทุนก่อสร้างโดยรวมเพิ่มขึ้นตามภาวะราคาน้ำมัน เหล็ก และวัสดุก่อสร้างอื่นๆ ซึ่งแอล.แอล. เอสเตทนั้นมุ่งขายที่อยู่อาศัยที่สร้างเสร็จแล้วพร้อมโอน ทำให้ปัจจุบันยังสามารถขายบ้านในราคาเดิมได้ โดยในปีนี้บริษัทได้ทำแคมเปญหลักๆ 2 แคมเปญ ได้แก่ 1. แคมเปญ “บ้านพร้อมอยู่ พร้อมโอน ในราคาต้นทุนเดิม” เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เพื่อเป็นการตอกย้ำความได้เปรียบในเรื่องต้นทุน ซึ่งเป็นแคมเปญที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก เพียงแค่ 3-4 เดือนทั้ง 2 โครงการ รอยัลราชาวดี และพาร์คราชาวดี มียอดขายเพิ่มขึ้นเกือบ 200 ล้านบาท และ 2. แคมเปญ “One Price One Zone” ทุกโซนราคาเดียว สำหรับโครงการพาร์คราชาวดี และแคมเปญ “Gift Voucher Modern form 5 แสนบาท” สำหรับโครงการรอยัลราชาวดี ในช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคมนี้ เนื่องจากคอนเซ็ปต์ แคมเปญ “บ้านพร้อมอยู่ พร้อมโอน ในราคาต้นทุนเดิม” นั้นมีผู้ประกอบการหลายรายนำไปใช้ และคาดว่าแคมเปญดังกล่าวนี้จะได้รับการตอบรับที่ดีเช่นกัน
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม :
คุณพิชมนต์ อ้วนคำ โทรศัพท์ 02-9419631 แฟกส์ 02-9419819 www.sl-estate.com
หรือฝ่ายประสานงานประชาสัมพันธ์ ผกากานท์ (ลูกหยี) 0 1489 8419
E-mail: yee@ad2y.com , yee_ka36@hotmail.com

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ