กรุงเทพฯ--3 ก.ย.--กระทรวงไอซีที
กระทรวง ICT พัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ ส่งดาวเทียม SMMS ขึ้นสู่วงโคจรกันยายนนี้ นายสือ ล้ออุทัย ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการร่วมสร้างดาวเทียมเอนกประสงค์ขนาดเล็ก(Small Multi — Mission Satellite :SMMS)หรือ SMMS ว่าเป็นอีกผลงานการวิจัยของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งเกิดจากความร่วมมือพหุภาคีด้านเทคโนโลยีอวกาศและการประยุกต์ใช้ประโยชน์ในภูมิภาคและเอเชียแปซิฟิก (Asia—Pacific Multilateral Cooperation in Space Technology and Application :AP-MCSTA) ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2540 ให้ประเทศไทย เข้าร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการนำเทคโนโลยีอวกาศมาใช้ประโยชน์ในโครงการร่วมสร้างดาวเทียมอเนกประสงค์(Memorandum of Understanding for Small Multi-Mission Satellite Project and Related Activities :SMMS) มีประเทศสมาชิกลงนาม 6 ประเทศ ได้แก่ เกาหลีใต้ จีน มองโกเลีย ปากีสถาน บังคลาเทศและอิหร่าน
ดาวเทียม SMMS เป็นดาวเทียมร่วมสร้างระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา วิจัย ออกแบบ เทคโนโลยีอวกาศและพัฒนาบุคลากรไทยให้มีศักยภาพในการวิจัย พัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ และสามารถนำมาประยุกต์ใช้ประโยชน์กับงานด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไปได้ โดยประเทศไทยเป็นผู้รับผิดชอบการจัดสร้างอุปกรณ์สื่อสาร ระบบ Ka-Band บรรจุในตัวดาวเทียม SMMS สร้างสถานีภาคพื้นดินประจำที่และสถานีภาคพื้นดินเคลื่อนที่ พร้อมอุปกรณ์รับ-ส่งสัญญาณและระบบควบคุมติดตามดาวเทียม ส่วนสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดสร้างอุปกรณ์ด้าน Remote Sensing การทดลองวิทยาศาสตร์ และจรวดส่งดาวทียม รวมทั้งสถานีติดตามและควบคุมดาวเทียม สำหรับคุณลักษณะของดาวเทียม SMMS เป็นดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LOW Earth Orbit) มีน้ำหนักประมาณ 510 กิโลกรัม ส่งขึ้นสู่วงโคจรในแนวเหนือใต้ หรือ Sun-Synchonous polar orbit และมีอายุการใช้งาน 3 ปี หลังจากที่ดาวเทียมได้จัดส่งขึ้นสู่วงโคจร ประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนจะได้ร่วมมือกันพัฒนาและประยุกต์ใช้ดาวเทียมดังกล่าว เพื่อให้เกิดประโยชน์ในด้านต่างๆ เช่น
1. การบริหารจัดการพื้นที่ชายฝั่ง / การเฝ้าระวังภัยพิบัติ สามารถนำภาพถ่ายดาวเทียมมาใช้สังเกตการณ์และจัดการพื้นที่บริเวณชายฝั่ง ความหนาแน่นการจราจรชายฝั่ง การเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศน์วิทยา และการเฝ้าระวังภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เช่น ภัยน้ำท่วม ดินถล่ม ซึ่งสามารถเฝ้าดูปริมาณน้ำสะสมในแต่ละลุ่มน้ำ รวมทั้งใช้ประกอบการวิเคราะห์ผลกระทบก่อนและหลังการเกิดภัยพิบัติ
2. การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำภาพถ่ายดาวเทียมมาใช้ติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพของดิน การประเมินความรุนแรงของการกัดเซาะผิวดิน การจำแนกประเภทของป่าไม้ และการวิเคราะห์ความหนาแน่นของป่าไม้ เป็นต้น
3. การเกษตรกรรม เพื่อใช้ในการวางแผนและบริหารจัดการพื้นที่และผลิตผลทางการเกษตร สามารถประเมินผลผลิตที่คาดว่าจะได้และสนับสนุนการตัดสินใจในด้านเศรษฐกิจและสังคมของพื้นที่อย่างเหมาะสม
4. การชลประทาน เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ประเมินแหล่งน้ำต่างๆ ได้แก่ แม่น้ำ เขื่อน อ่างเก็บน้ำ เพื่อให้สามารถเก็บกักน้ำในฤดูน้ำหลาก /บรรเทาการขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง สามารถรองรับปริมาณความต้องการใช้น้ำในแต่ละช่วงเวลา นอกจากนี้ ยังใช้เป็นข้อมูลประกอบการวางแผนด้านการชลประทานและการแจกจ่ายน้ำ การเปลี่ยนแปลงเส้นทางน้ำ รวมทั้งคุณภาพของน้ำ
5. การประมง เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการสำรวจพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะกับการทำประมง และ/หรือ แหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ
6. การสำรวจและการจัดทำแผนที่ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ วางผังเมือง จัดทำ แผนที่ และติดตามการขยายตัวของเมือง/แหล่งชุมชน ให้มีความเหมาะสม กระทรวงฯพร้อมเป็นส่วนเชื่อมโยงใช้บริการให้แก่ประชาชนคนไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่:สำนักกิจการอวกาศแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ติดต่อ.โทร 02 942 8842 02 505 8630 http://www.space.mict.go.th Email: space@mict.go.th
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ บังอร แก้วบวร มือถือ 0819047907