กรุงเทพฯ--3 ก.ย.--สหมงคลฟิล์ม
เมืองแอมเบอร์ นครแห่งความมืดมิด ที่ไร้ซึ่งดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์, หมู่ดาว และพฤกษานานาพัน และมีเพียงแต่แสงสว่างที่พวยพุ่งออกมาเพื่อสยบความมืดมิดเป็นเวลา 14 ชั่วโมงต่อวันเพียงเท่านั้น ที่จะพอทำให้ชาวเมืองแอมเบอร์มีโอกาสได้ออกไปทำงาน และดำรงชีวิตของตัวเองให้อยู่รอด
ชาวเมืองแอมเบอร์อาศัยอยู่ในเมืองนี้เป็นปีที่ 241 แล้ว พวกเขาไม่รู้แน่ชัดว่ามันเป็นปีที่ถูกต้องหรือไม่ แต่อย่างน้อยนั้นก็คือปีที่ "The Builders" ผู้สร้างเมืองและบรรพบุรุษที่คอยปกป้องรักษาเมืองของพวกเขาได้ลงบันทึกเอาไว้ เมืองแอมเบอร์นั้นเต็มไปด้วยผู้คนและสิ่งของต่างๆ สิ่งของที่สูญเสียความมีประโยชน์ของตัวเองไปนานแล้ว และมันก็สอดคล้องกับผู้คนที่กำลังจะสูญเสียแรงศรัทธาไปเฉกเช่นเดียวกัน
ความตื่นตระหนกได้คืบคลานเข้ามาอย่างเงียบๆไปทั่วทุกมุมเมือง ด้วยการที่พวกเขาพบว่า อาหารและสิ่งของเครื่องใช้ที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตกำลังจะหมดไป ผู้คนที่เคยเปี่ยมไปด้วยความหวังเริ่มที่จะรู้สึกหวาดกลัว แต่ไม่นานนัก เราก็ได้ทำความรู้จัก ลีน่า เด็กสาวคนหนึ่งที่ความหวังนั้นไม่มีวันสั่นคลอน เธอเพิ่งเรียนจบและได้รับมอบหมายให้ออกไปทำงานเป็นเป็นคนส่งข่าว เธอตั้งใจทำให้ดีที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ และมันก็ทำให้เธอค้นพบว่า เมืองที่เธออาศัยอยู่นั้นกำลังจะพบกับจุดจบในอนาคตอันใกล้...
เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ทาง Fox Media ได้นำวรรณกรรมเยาวชนชั้นเยี่ยมเรื่อง City of Ember มาลงสู่จอภาพยนตร์ ที่จะมีกำหนดฉายในเดือนตุลาคม ปี 2008 ซึ่งวันนี้เราก็รู้สึกเป็นเกียรติ ที่ได้เข้าไปเยี่ยมชมฉากเมืองแอมเบอร์ที่ถูกสร้างอย่างยิ่งใหญ่ ณ.เมืองเบลฟาสส์ ประเทศไอร์แลนด์
นครแอมเบอร์ ถูกสร้างในอู่ต่อเรือขนาดมหีมา ที่ซึ่งเคยถูกใช้เป็นสถานที่สร้างเรือ ไททานิค เรือเดินมหาสมุทรชื่อดัง และเพื่อที่จะสามารถทำจินตนาการของนครแอมเบอร์ และ "พื้นที่ที่มนุษย์ไม่เคยย่างกราย" ที่เต็มไปด้วยความมืดมิด มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับการนำเสนอ โดยเฉพาะการตีความลักษณะหน้าตาและบรรยากาศที่น่าอึดอัดของเมืองนี้ ให้ปรากฎอยู่ในจอภาพยนตร์ ซึ่งมันก็เป็นหน้าที่ของผู้กำกับศิลป์ มาร์ติน เหลียง (Martin Laing) และเหล่าทีมงานที่มากไปด้วยฝีมือของเขา โดยที่เมืองทั้งเมืองนี้ ถูกสร้างอยู่ในโกดังที่มีความสูงถึง 100 ฟุต ที่ตั้งอยู่ในอู่ต่อเรือ เขาและทีมงานได้ทำงานอย่างหนักในการดึงเอาความขึงขังของนครแอมเบอร์ ให้เคียงคู่ไปกับความปราดเปรื่องของคนที่อาศัยอยู่ในนั้น
กฎของการออกแบบเครื่องแต่งกาย มักจะเป็นการเลือกเอาเสื้อผ้าที่ดีที่สุดไปใส่ให้กับตัวละครในเรื่อง แต่ครั้งนี้ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย รูธ เมเยอร์ (Ruth Myers) ไม่ได้แต่งกายให้กับเหล่านักแสดง ให้ดูสวยและสง่างามเหมือนกับที่เธอเคยทำไว้ในเรื่อง Golden Compass โดยครั้งนี้เธอตัดสินใจใช้ผ้าเก่าๆ และผสมผสานเส้นใยสีเทา, ฟ้า, น้ำตาล และสีเขียวให้ออกมาเป็นเนื้อเดียวกัน เพราะว่าเสื้อผ้าพวกนี้ สมควรจะทำให้ดูเหมือนว่าถูกใส่ซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยทิ้งเอาไว้โดยบรรพบุรุษจากรุ่นสู่รุ่นในเมืองแอมเบอร์
ทอม แฮ๊งค์ ซึ่งรับบทเป็นผู้อำนวยการสร้าง ได้พูดถึงแรงบันดาลใจของเขาในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้เอาไว้ว่า “"สิ่งที่ผมอยากจะทำ นั้นก็คือการรักษาการเล่าเรื่องราวแบบคลาสสิคเอาไว้ ตัวละครเอกทั้งสองคนต้องผ่านการกระตุ้นจากบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งจะทำให้พวกเขาตื่นขึ้นมาดูโลกที่ตัวเองอาศัยอยู่ และกลายเป็นคนที่เตรียมพร้อมรับมือ ในสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของพวกเขา ผมอยากให้หนังสร้างถูกเล่าอย่างช้าๆและมั่นคง มันจะไม่มีการเปิดเรื่องด้วยฉากอลังการ ดังเช่นหนังที่เล่าถึงความหายนะเรื่องอื่นๆ ผมอยากจะให้คนดูซึบซับโลกที่พวกเขากำลังรับชม ไปพร้อมๆกับตัวละครทั้งสองในเรื่อง”
เตรียมพร้อมกับการผจญภัยไปกับสองฮีโร่ ที่จะพาคุณไขความลับของเมืองแอมเบอร์ไปพร้อมกับพวกเขา ใน City of Ember ในวันที่ 16 ตุลาคม นี้ ทุกโรงภาพยนตร์ใกล้บ้านคุณ