กรุงเทพฯ--3 ก.ย.--สหมงคลฟิล์ม
ผู้สร้าง (The Creator)
สเตฟานี่ เมเยอร์ (Stephenie Meyer)
เธอยังคงอยู่ในอาการช็อค เมื่อพบว่าผู้คนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเธอคือ เจ เค โรว์ลิ่ง คนต่อไป โดยนักเขียนวัย 34 ปีคนนี้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เธอยังคงเป็นแม่บ้านที่หน้าที่หลักของเธอ ก็คือการอยู่บ้านเลี้ยงดูลูกชายทั้งสามคนอยู่เลย ซึ่งเธอเองก็ยังรู้สึกไม่คุ้นเคยกับเสียงตอบรับในหนังสือของเธอ ที่หลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมหาศาลดั่งลาวาที่ไหลออกมาจากปล่องภูเขาไฟเช่นนี้ เธอกล่าวว่า"ในช่วงการถ่ายรูปทำสกู๊ปนี้ ฉันยังคิดว่าตัวเองน่าจะเป็นคนเคลื่อนย้ายไฟ หรือเป็นคนถือไอพ็อตและขวดน้ำของช่างภาพอยู่เลย"
ฮีโร่สาว (Heroine)
เบลล่า (Bella)
เล่าจากมุมมองของสาวน้อยที่แสนฉลาดวัย 17 ปี ที่จิตใจของเธอนั้นถูกทำให้สั่นคลอนโดยอานุภาพของความรัก หนังสือชุดของ Twilight เปรียบเสมือนยาแก้พิษ สำหรับคนที่เบื่อการเติบโตทางวัฒนธรรมที่ผิดพลาด เช่น รอยสักในที่ลับ, การเจาะสะดือ และ ปารีส ฮิลตัน แม้นักวิจารณ์หนังสือบางคนได้ตั้งข้อสังเกตุว่า เบลล่า ก็เป็นแค่หญิงสาววัยรุ่นอารมณ์ไม่ปกติเท่านั้น โดย เมเยอร์ ได้โต้แย้งว่า "เป็นเพราะเธอไม่ได้เรียนกังฟูและชอบทำอาหารให้พ่อของเธอกินทุกวัน ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอสมควรได้รับคำวิจารณ์แบบนั้นน่ะ"
บ้านเกิด (The Hometowns)
ฟอร์ค (Forks)
เบลล่า ย้ายมาที่เมืองเล็กๆ ที่มีฝนตกต้นไม้เชียวชอุ่มตลอดทั้งปีที่ชื่อว่า ฟอร์ค ในรัฐวอชิงตัน โดยเธอเดินทางมาอยู่กับ ชาร์ลี พ่อของเธอซึ่งมีอาชีพเป็นนายอำเภอในเมืองนี้ เธอได้เข้าเรียนในชั้นม.5 ซึ่งมันก็แตกต่างจากทุกๆอย่างที่เธอเคยเจอในฟินิกส์ ที่ซึ่ง เบลล่า เคยใช้ชีวิตกับแม่ ผู้ซึ่งตัดสินใจที่จะแต่งงานใหม่ (มันเป็นเรื่องที่บังเอิญที่ เมเยอร์ เคยอาศัยอยู่แถวฟินิกส์ และหลังจากนั้นเธอก็ได้ย้ายไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของแปซิฟิกส์ ที่ซึ่งมีบรรยากาศใกล้เคียงกับเมือง ฟอร์ค มาก)
มิตรสหาย (The Allies)
ครอบครัว คัลเลน (The Cullen Family)
เบลล่า ได้เป็นทำความรู้จักกับครอบครัวที่ค่อนข้างแปลก นำโดยหมอประจำเมือง คาร์ลิส (Carlisle) และภรรยาสุดสวย แอสเม่ (Esme) ซึ่งภายหลังเธอก็มารู้ว่าทั้งสองนั้นเป็น "พี่ชายและน้องสาวกัน" และทั้ง เอ็ดเวิร์ด, โรซาลี, เอ็มเม็ต และ แจสเปอร์ เองก็เป็นพี่น้องกันหมดด้วย พวกเขาเป็นแวมไพร์ที่หิวเลือด แต่พวกเขาก็ตั้งปฏิภาณเอาไว้ว่าจะไม่ยุ่งกับเลือดของมนุษย์ โดย เมเยอร์ นั้นรู้สึกฉุนเฉียวในดราฟ์แรกในบทภาพยนตร์ของเรื่องนี้ ที่ตัดสมาชิคทั้งหมดของครอบครัว คัลเลน ออกไป และเหลือไว้แต่เพียงแค่ เอ็ดเวิร์ด คนเดียว
เอ็ดเวิร์ดกลับชาติมาเกิด (Edward incarnate)
โรเบิร์ต แพททินสัน (Robert Pattinson)
เขาเป็นนักแสดงที่เป็นที่รู้จักจากบท เซดริก ดิกกอรี่ ในหนังเรื่อง แฮรรี่ พ๊อตเตอร์ ทันทีที่เขาถูกประกาศว่า จะมารับบท เอ็ดเวิร์ดในหนังเรื่อง Twilight มันก็สร้างเสียงบ่นอื้ออึงจากเหล่าแฟนๆหนังสือเป็นอย่างมาก เมเยอร์เล่าว่า "พวกเขาคลั่งไปเลยในตอนแรก แต่หลังจากที่เห็นตัวอย่างและรูปของ โรเบิร์ต ในบทแล้ว พวกเขาก็พูดเป็นเสียงเดียวกันแล้วว่า ‘พระเจ้าต้องสร้าง โรเบิร์ต แพททินสัน ด้วยมือของท่านเองแน่ๆ’ ฉันคิดว่า สาววัยรุ่นพวกนี้เอาใจไม่ถูกจริงๆเลย”
แฟนแวมไพร์ (Vampire Fans)
ทีมเอ็ดเวิร์ด (Team Edward)
"โอ้ พระเจ้า ฉันอยากมีคนอย่าง เอ็ดเวิร์ด มาอยู่ที่บ้านจัง" นี้คือคำตอบที่เป็นปกติของเหล่าสาวกวัยรุ่นของแวมไพร์ตนนี้ "ถ้า เบลล่า ตัดสินใจทิ้งเอ็ดเวิร์ด ละก็ ฉันจะไม่ให้อภัยเธอแน่ๆ" นี้เป็นคำพูดของแฟนที่คลั่งไคล้ของชุดหนังสือของ เมเยอร์ ถึงแม้ว่าพวกเธออาจะไม่ได้คิดถึงการที่ ฮีโร่สาวต้องทิ้งความเป็นมนุษย์เพื่อความรักกับแวมไพร์ แฟนหนังสือวัย 19 ปี ได้ให้ความเห็นว่า "ไม่เป็นไร พวกเขาสามารถรับเด็กมาเลี้ยงดู และทำให้พวกเขาเป็นแวมไพร์ก็ได้" เป็นคำตอบที่ดูน่ารักมาก น่ากลัวแต่ก็ยังน่ารักอยู่
ฝูงหมาป่า (Wolf Parade)
ทีมเจค๊อบ (Team Jacob)
เอ็ดเวิร์ด ใช้ความพยายามอย่างหนักในการปกป้อง เบลล่า ในเล่มแรกของซีรี่ย์ แต่เขากลับหายตัวไปจากเล่มที่สอง และก็ปล่อยให้ เบลล่า ให้โดดเดี่ยวเดียวดาย และแฟนหนังสือก็รู้สึกถึงการเข้ามามีบทบาทของ เจค๊อบ ที่เป็นเพื่อนสนิทของ เบลล่า เขามีลักษณะนิสัยที่รื่นเริงและยังไว้ใจได้ และเขาเองก็อยู่ในเผ่าพันธ์หมาป่าอีกด้วย เขายังเป็นคนแนะนำท้องฟ้าอันสดใสให้กับ เบลล่า อีกครั้งหนึ่ง และถึงแม้ว่าเธอจะหลงไหลในเสน่ห์ของแวมไพร์ แต่เหล่าสาวกของ เจค๊อบ ก็รู้สึกตื่นเต้นเมื่อเธอมอบจุมพิตอันดูดดื่มให้กับเขาในตอนจบของ Eclipse
จุดเปลี่ยน (The Tipping Point)
สุริยุปราคา (Eclipse)
ก่อนที่ Eclipse จะออกวางขายในปี 2007 เมเยอร์ มีรายได้จำนวน 750,000 ดอลลาร์ จากสัญญาการเขียนหนังสือทั้งสามเล่ม และเธอก็เริ่มที่จะได้จากค่าลิขสิทธ์บ้างแล้ว และระหว่างการทัวร์โปรโมต Eclipse นั้นเอง ที่ชุดหนังสือนี้ก็เป็นที่แพร่หลายอย่างรวดเร็ว และก็ทำให้คนทีมาร่วมงานโปรโมตหนังสือ มีจำนวนเพิ่มจาก 600 คนเป็น 2000 คนในช่วงเวลาเพียงแค่ไม่กี่อาทิตย์
รากฐานความเชื่อ (The Grounding)
โบสถ์มอร์มอน (Mormon Church)
เมเยอร์ กล่าวติดตลกไว้ว่า “ตอนที่ จอห์น สจ๊วต เขียนหนังสือออกมา ไม่มีใครบอกว่าเขาจะเป็นนักเขียนชาวยิวลูกสองซะหน่อย” เพราะด้วยความที่เธอนับถือลัทธิมอร์มอน เมเยอร์ จึงเลือกที่จะไม่ดูหนังเรท R ถึงแม้ว่ามันจะแสดงโดยนักแสดงคนโปรดของเธอ เช่น เจมส์ แม็คเอวอย ในเรื่อง Wanted และเธอก็ยังไม่เคยทำงานวันอาทิตย์ ถึงขนาดปฏิเสธคำเชิญเพื่อเข้าร่วมการพรีวิวตัวอย่างของ Twilight ในงาน MTV Movie Awards
ความสะอาด (The G Spot)
ลูกๆของเบลล่า (Bella Babies)
เมเยอร์ ได้รับคำชมจากแฟนๆในการเขียนหนังสือที่ปราศจากความรุนแรง ไม่มีฉากบรรยายเซ็กส์ที่โจ่งครึ่ม แต่เธอก็ยังสามารถทำให้แฟนๆอายจนหน้าแดง สำหรับฉากที่บรรยายถึงการใกล้ชิดกันระหว่าง เอ็ดเวิร์ด และ เบลล่า ทั้งๆที่ในฉากนั้นทั้ง สองไม่ได้ทำอะไรที่เกินเลยไปกว่าการพรรณณาถึงฝ่ายตรงข้ามเลย ในงานโปรโมตหนังสือ เมเยอร์ มักจะถูกได้รับขนมพุดดิ้งที่ถูกเรียกว่า “ลูกของเบลล่า” ซึ่งให้ความหมายว่า “เมื่อประสบความสำเร็จในการบรรยายฉากโรแมนติคในวรรณกรรม ก็เปรียบเสมือนการทำให้ผู้หญิงตั้งครรถ์ได้ในโลกความเป็นจริงเช่นเดียวกัน”
ภาพแรก (First Look)
สยบรุ่งอรุณ (Breaking Dawn)
เมเยอร์ เล่าถึงการคัดเลือกรูปปกของ Breaking Dawn เอาไว้ว่า "สำนักพิมพ์ของฉันส่งรูปมาให้ฉันดูหลายรูป ถึงแม้ว่าบางรูปจะไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องเลย เช่น เป้าปาลูกดอก, ไมโครโฟน, ผ้าคลุมสีม่วง และสำรับไพ่ แต่ในที่สุด มันก็มาลงเอยที่ตัวหมากรุก แต่พวกเขาก็อยากจะให้มีแค่ตัวควีนสีขาว แต่ฉันบอกว่า ‘ไม่ ไม่ ไม่ พวกเราต้องใส่เบี้ยสีแดงเข้าไปด้วย’"
ข้อตกลง (The Deed)
การทำให้บริบูรณ์ (Consummation)
เมอยร์ เล่าว่าเธอมีความรู้สึกยินดี ที่ได้เขียนฉากการแต่งงานของ เอ็ดเวิร์ด และ เบลล่า ในเล่มที่สี่ (อย่ากังวล ทีมเจค๊อบ เด็กของคุณยังไม่ "ยอมแพ้" ที่จะลงเอยกับคู่แท้ของเขาหรอก!) และตอนนี้แฟนๆที่ใฝ่ฝันถึงฉากโรแมนติค ก็จะมีอิสรภาพในการจินตนาการว่า เมเยอร์ จะทำอย่างไรกลับคืนฮันนี้มูนของพวกเขา
เวลาของเอ็ดเวิร์ด (Edward's Turn)
พระอาทิตย์เที่ยงคืน (Midnight Sun)
เมเยอร์ บอกแฟนๆหนังสือของเธอเอาไว้ว่า Breaking Dawn จะเป็นเล่มสุดท้ายที่เธอเล่าจากมุมมองของ เบลล่า และตอนนี้เธอก็กำลังเขียน Midnight Sun ที่จะเล่าจากมุมมองของ เอ็ดเวิร์ด เป็นครั้งแรก ไปได้กว่าครึ่งทางแล้ว โดยเธอเล่าว่า "สาเหตุที่ Breaking Dawn มีความยาวมากกว่าปกติ เป็นเพราะว่าฉันประสบกับความยากลำบาก ในการที่ทำให้ เบลล่า สละความเป็นมนุษย์ในตอนสุดท้าย"