วอเนอร์ เสนอเรื่องย่อภาพยนตร์ HIDE AND SEEK

ข่าวทั่วไป Thursday January 13, 2005 11:10 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--13 ม.ค.--วอเนอร์ บราเธอร์ส
“ออกมานะ ออกมาซิ ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน!”
คำสั่งนี้ฟังดูคุ้นหูพวกเราทุกคนที่เคยเล่นเกมเด็กๆ ที่เรียกว่า ซ่อนหา คำเหล่านี้และเกมพาเราให้กลับไปยังช่วงเวลาของชีวิตที่ไร้เดียงสา ไร้กังวล ซึ่งเป้าหมายของการเล่นก็เพื่อหาผู้ร่วมเล่นเกมที่ซ่อนตัวอยู่ให้พบ เด็กๆ หลายคนยังสามารถสนุกได้กับการเล่นกับเพื่อนๆ ในจินตนาการอีกด้วย
แต่แล้ว บางครั้งเพื่อนในจินตนาการก็ช่างเหมือนจริงเสียเหลือเกิน
สำหรับหนูน้อย เอมิลี่ คัลลาเวย์ เกมซ่อนหาของเธอกับเพื่อนในจินตนาการ ที่ชื่อว่า ชาร์ลี กลายเป็นอะไรบางอย่างที่ไม่ธรรมดาและไร้เดียงสา เธอกลับได้พบว่าตนเองตกอยู่ท่ามกลางหลายเหตุการณ์ที่เป็นเหมือนฝันร้ายอย่างต่อเนื่องเป็นทวีคูณ ชนิดที่เดวิดพ่อของเธอไม่อาจยับยั้งได้ ใคร — หรืออะไร — คือ ชาร์ลี? เดวิดนึกสงสัย สิ่งที่อยู่ใน “จินตนาการ” ชนิดนี้ครอบงำสาวน้อยได้อย่างไร? บางทีชาร์ลีอาจไม่ใช่จินตนาการใดๆ แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นสิ่งชั่วร้ายที่มีเลือดเนื้อหรือ?
โรเบิร์ต เดอ นีโร เจ้าของรางวัลตุ๊กตาทอง? รับบทเป็นพ่อที่ตกพุ่มม่าย ในภาพยนตร์ระทึกขวัญ เรื่อง HIDE AND SEEK และดาโกต้า แฟนนิ่ง รับบทเป็นเอมิลี่ ลูกสาวตัวน้อยของเขา ผู้ที่แอบซ่อนความลับอันเหลือเชื่อเอาไว้ เรื่องราวเริ่มต้นด้วยการเสียชีวิตอย่างกระทันหันของอลิสัน (เอมี่ เออร์วิง) ภรรยาของคัลลาเวย์ ที่สร้างความบอบช้ำทางจิตอย่างมากแก่เอมิลี่ สองพ่อลูกย้ายไปอยู่ที่รัฐนิวยอร์คตอนเหนือ เพื่อทำให้เอมิลี่ห่างไหลจากความทรงจำของชีวิตกับแม่ที่แมนฮัตตัน ไม่นานหลังจากนั้น เอมิลี่ได้สานสัมพันธ์กับชาร์ลี ในตอนแรก เดวิดมองว่าชาร์ลีในแง่บวกสำหรับเอมิลี่ที่จะแสดงความรู้สึกของเธอออกมา แต่หลายเหตุการณ์ที่น่ากลัวทำให้เขาเริ่มจินตนาการถึงเรื่องที่ไม่อาจจินตนาการได้ : ชาร์ลีอาจเป็นเรื่องจริง…และถ้าเป็นเช่นนั้น เขาต้องยับยั้งให้ได้
“ผมอยากเขียนบทหนังที่ทำให้ขนหัวลุกจริงๆ” อาริ ชโลสเบิร์ก ผู้เขียนบทภาพยนตร์เป็นเรื่องแรกเล่าถึงผลงานของเขาเรื่อง HIDE AND SEEK “ผมโตมาในนิวยอร์คซิตี้ และป่าก็ทำให้ผมรู้สึกถึงความกลัวมาตลอด ดังนั้น ผมจึงเขียนเรื่องให้เกิดขึ้นนอกเมืองที่มีแต่ป่าจริงๆ”
เพื่อรักษาความระทึก และองค์ประกอบที่น่าขนลุกไว้ในเรื่องราว ชโลสเบิร์กมักจะนั่งเขียนในความมืดยามราตรี รวมทั้งแสดงทุกบทบาทออกมาด้วยตัวเขาเอง “เสียงของตัวละครบอกให้ผมรู้ว่าเรื่องกำลังเดินไปทางไหน” เขาบอก เมื่อเวลาผ่านไป เรื่องราววิวัฒนาการไปเมื่อเวลาผ่านพ้น จนกระทั่งผู้เขียนบทตัดสินใจว่าบทภาพยนตร์ของเขาพร้อมสำหรับการส่งออกแล้ว
ผู้อำนวยการสร้างแบร์รี่ โจเซฟสัน เป็นหนึ่งในคนแรกๆ ที่ได้อ่านผลงานของชโลสเบิร์ก “สคริปท์ทำให้ผมกลัวอย่างมาก“ โจเซฟสันทวนความจำ “ผมวางมันไม่ลง” โจเซฟสันประทับใจมาก จนกระทั่งเขาไม่เพียงแต่ซื้อบทภาพยนตร์แต่ยังนำไปที่ทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ด้วย เขาสัญญาว่าชโลสเบิร์กจะเป็นผู้เขียนคนเดียวที่จะเป็นผู้ปรับปรุงงานชิ้นนี้ในอนาคต — นับเป็นปรากฎการณ์ที่หาได้ยากในฮอลลีวู้ดวันนี้ ที่ผู้เขียนจำนวนมากมักจะถูกเรียกตัวมาเพื่อช่วยปรับแต่ง หรือ “ขัดเกลา” บทภาพยนตร์
โจเซฟสันกล่าวว่าการเลือกตัวนักแสดงแห่งตำนานอย่างโรเบิร์ต เดอ นีโร เป็นเรื่องสำคัญสำหรับภาพยนตร์ “เดอ นีโร ได้ประทับตราอันหนักแน่นไว้กับบรรดาผู้ชม ในทุกบทบาทที่เขาเคยแสดง” โจเซฟสันพูด “เขานำหลายสิ่งมาให้กับ HIDE AND SEEK ในการถ่ายทอดความทรมาณและหวาดกลัวที่เพิ่มพูนขึ้นของเดวิด กับสิ่งที่กำลังเกิดกับลูกสาวของเขา”
ผู้กำกับการแสดง จอห์น โพลสัน ซึ่งร่วมงานภาพยนตร์เรื่องนี้หลังจากที่ได้ดูแลหนังระทึกขวัญเรื่องฮิตของฟ็อกซ์ Swimfan ควรทราบไว้ว่าภาพยนตร์เรื่อง HIDE AND SEEK เปิดโอกาสให้นักแสดงอย่างเดอ นีโร ได้แสดงในบทบาทใหม่ “เราไม่เคยเห็นบ็อบเล่นบทพ่อที่ต้องพยายามรักษาทุกอย่างเอาไว้ในขณะที่ครอบครัวกำลังจะแตกสลาย มันเป็นความเปราะบางชนิดใหม่ที่เขาต้องเล่น และน่าตื่นเต้นที่ได้เฝ้าดูเขาทำให้เราได้เห็นด้านที่แตกต่าง”
ความระทึกและไม่แน่นอนของเรื่อง ช่วยดึงดูดให้โพลสันเข้ามาทำงานเรื่องนี้ แต่สิ่งที่เขาชื่นชอบมากที่สุดก็คือเรื่องราวสัมพันธภาพของพ่อกับลูก “พ่อพยายามปกป้องลูกสาวของเขาจากบางสิ่ง...หรือบางคน… ซึ่งไม่เข้าใจทั้งคู่ เป็นพลังที่น่าตื่นเต้นจริงๆ” โพลสันกล่าว ตัวเขาเองนั้นเป็นผู้กำกับฯ ที่มีชื่อเสียง
“ความพยายามอย่างสิ้นหวังของเดวิดที่จะช่วยลูกสาวของเขา และความพยายามที่จะเชื่อมโยงกับเธออีกเป็นแรงผลักดันของเรื่อง” โพลสันกล่าวเสริม “เราต้องทำให้คนดูติดเบ็ดด้วยความสัมพันธ์ของพวกเขา เราจึงจะสร้างระดับอารมณ์ในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับทั้งสองในภายหลัง”
การเฟ้นหาตัวเอมิลี่ บทบาทที่ซับซ้อนและต้องใช้ความสามารถอย่างสูง นำทีมผู้สร้างไปสู่ ดาโกต้า แฟนนิ่ง “ผมไม่คิดว่าเราจะหานักแสดงหญิงในอายุเท่าเธอที่ดีไปกว่านี้ได้” โจเซฟสันกล่าว “เธอมีพรสวรรค์เกินอายุ”
“ดาโกต้าทำให้ผมลืมโลก; ไม่มีวิธีพูดอธิบายเป็นอย่างอื่นอีกแล้ว” โพลสันกล่าว “ได้ทำงานกับเธอเป็นเหมือนการได้ทำงานกับคนเก่งๆอายุ 35 ได้”
การอ่านสคริปท์เป็นครั้งแรกของแฟนนิ่งนับเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ “หนูเริ่มอ่านในห้องนอนบนชั้นสอง แต่กลัวมากเสียจนต้องลงมาข้างล่าง ที่พ่อกับพี่นั่งอยู่เพื่ออ่านให้จบ” เธอทวนความจำ
การรับบทเด็กน้อยที่มีปัญหา แฟนนิ่งผู้มีผมสีบลอนด์ต้องสวมวิกผมสีน้ำตาล และเติมแต่งใต้ตา ซึ่งทำให้นักแสดงสาวน้อยดูหน้าตาน่ากลัว แต่วิกผม แม้จะดูสมจริงก็ตาม เป็นเพียงแต่ช่วยเธอในการทำในสิ่งที่ใหม่สำหรับเธอ “บทนี้มาเหมือนอะไรที่หนูเคยแสดงมาก่อน” แฟนนิ่งเล่า “แรกสุด หนูดูแปลกออกไป แต่นั่นเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น เอมิลี่หวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัดและตกอยู่ในปัญหา แต่เธอทำให้เราคอยเดาว่า ใคร — หรืออะไร — เป็นต้นเหตุที่ทำให้เรื่องน่ากลัวเหล่านี้เกิดขึ้น”
แฟนนิ่งเข้ากันได้กับเดอ นีโรอย่างดีเยี่ยม — เหมือนที่เธอเป็นกับฌอน เพนน์ในเรื่อง I Am Sam และกับเดนเซล วอชิงตัน ในเรื่อง Man on Fire “การทำงานกับเดอ นีโรเป็นเหมือนฝันที่เป็นจริง” แฟนนิ่งบอก “เขาเป็นคนน่ารักมากเวลาอยู่ด้วย และหนูได้เรียนรู้บางอย่างจากเขาทุกวัน”
ตอนที่เราได้พบกับเอมิลี่ เธอเป็นเด็กอายุ 9 ขวบธรรมดาที่มีความสุขคนหนึ่ง ที่ผูกพันกับแม่เป็นอย่างมาก ไม่นานหลังจากการตายของแม่ เอมิลี่และพ่อของเธอย้ายไปเช่าบ้านในเมืองที่เงียบเหงา และน่ากลัวทางตอนเหนือของรัฐนิวยอร์ค ที่นี่เราได้เห็นว่าตัวละครเอมิลี่ของแฟนนิ่งกลายเป็นเด็กที่เงียบขรึมและมีความลับ กับเพื่อนตัวร้ายที่ชื่อว่าชาร์ลี “ตอนแรกมันดูเหมือนจะดีที่เอมิลี่มีเพื่อนในจินตนาการ” แฟนนิ่งเล่า “แต่แล้วมันเลวร้าย แล้วก็เลวร้ายมากยิ่งขึ้น”
เพื่อถ่ายทอดสถานการณ์ที่แย่ลงเรื่อยๆ ของเดวิดและเอมิลี่ — และเพิ่มความน่ากลัวขึ้นอย่างช้าๆ ชัดๆ — โพลสันและทีมงานใช้การออกแบบฉาก แสง การเคลื่อนไหวกล้อง เสียง และดนตรี “เราใช้สิ่งเหล่านี้ รวมทั้งการทำงานที่เรียบง่ายของบ็อบและดาโกต้า เพื่อสร้างความน่ากลัวระทึก ‘ทางจิต’ อย่างเงียบๆ สำหรับสองในสามส่วนแรกของภาพยนตร์ เพื่อให้คนดูหวาดเสียว” โพลสันกล่าว “ในระหว่างองก์สุดท้าย แอ็คชั่นและความน่ากลัวไม่มีการหยุดยั้ง”
ในตอนต้นเรื่อง ผู้กำกับภาพ ดาไรอัซ โวลสกี้, ASC ใช้แสงเพื่อสร้างความรู้สึกในแง่ดี แต่เมื่อความหวังในชีวิตใหม่ของเดวิดและเอมิลี่ต้องจางหาย และแสงของโวสกี้ก็นำเราลึกลงไปสู่ฝันร้ายของเดวิด “บางอย่างแตกสลายในตัวของเอมิลี่” โวสกี้กล่าว “และเดวิดพยายามแก้ไขมัน” และเช่นเดียวกันการเคลื่อนไหวของกล้องของโวสกี้ก็แสดงให้เห็นถึงคธรรมชาติแห่งความกลัวของเดวิดและเอมิลี่
สตีเวน จอร์แดน ผู้ออกแบบฝ่ายศิลป์ เป็นผู้มีส่วนร่วมในการดูแลงานสร้างสรรค์ภาพวาดที่ทวีความรุนแรงของปัญหาของเอมิลี่ เมื่อเปิดเรื่อง ผลงานภาพเขียนของเธอดูไร้เดียงสาและมีเสน่ห์ แต่เมื่อเอมิลี่กลับยิ่งผูกพันกับเพื่อนในจินตนาการของเธอมากขึ้น ภาพเขียนดูร้ายกาจมากขึ้น จอร์แดนและโพลสสันได้ดูภาพพวาดนับร้อย ซึ่งเป็นขั้นตอนที่โพลสันกล่าวว่าเหมือนกับการคัดตัวแสดง “เรายังมี ‘ตัวแทน’ ของ ‘ดารา’ ภาพวาดเกือบทั้งหมดด้วย” ผู้กำกับฯ กล่าว
ผลงานดนตรีออเคสตร้าประกอบของผู้ประพันธ์เพลง จอห์น ออตแมน (X2) เพิ่มความเย็นสันหลังให้ภาพยนตร์ สำหรับเพลงไตเติ้ลเอกซึ่งถูกใช้เดินเรื่องโดยตลอด ออตแมนได้ผสมผสานเสียงร้องจากดาโกต้า แฟนนิ่ง “เสียงร้องเพลงของดาโกต้า มีให้ฟังในซาวน์ดแทร็คทั้งหมด” ออตแมนกล่าว “เธอช่วยเสริมความรู้สึกที่มหัศจรรย์จนน่าขนลุก”
บรรดานักแสดงร่วมคนอื่นๆ ต่างชื่นชมความตื่นเต้นและระทึกของหนัง ในขณะที่รับรู้ถึงความโดดเด่นของเหล่าตัวละคร เอมี่ เออร์วิ่ง รับบทเป็นเอลิสัน มารดาของเอมิลี่ ผู้ที่การตายของเธอเป็นชนวนของเหตุการณ์น่าสพรึงกลัวในชีวิตของเดวิดและเอมิลี่ “เอลิสันเป็นแม่ที่สนุกสนานและมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดมากกับลูกสาว” เออร์วิ่งกล่าว “ดังนั้นเมื่อเอลิสันตาย มันจึงเป็นผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเอมิลี่”
อีกหนึ่งตัวละครหลักของเรื่องคือจิตแพทย์เด็ก แคธรีน (แฟมเก้ แจนเส็น) ซึ่งรับหน้าที่ทั้งเป็นตัวแทนแม่และความสัมพันธ์ในอาชีพกับเอมิลี่ แคธรีนซึ่งอยู่ที่นิวยอร์คซิตี้ ติดต่อเป็นประจำกับเดวิดและเอมิลี่ และไปเยี่ยมพวกเขาเมื่อได้ยินเรื่องราวประหลาดที่เกิดขึ้นในบ้านใหม่ ท้ายที่สุด แคธรีนเอาชีวิตของเธอเข้าเสี่ยงเพื่อช่วยเด็กหญิงตัวน้อย
“แคธรีนเป็นจิตแพทย์ที่เชี่ยวชาญ ซึ่งอุทิศตัวเพื่อช่วยเอมิลี่และเดวิด” แจนเส็นกล่าว “แคธรีนรู้จักเกมพื้นๆที่เอมิลี่เล่น และว่าเพื่อนในจินตนาการของเธอที่ชื่อชาร์ลีเป็นสิ่งที่มีความหมายมากกว่าที่ดูเหมือนจะเป็น แต่คำว่า ‘เล่นซ่อนหา’ สะท้อนสำหรับทุกตัวละคร ไม่เพียงแต่เอมิลี่ และสะท้อนว่าพวกเขาเป็นใครและกำลังเผชิญกับอะไร”
ผู้หญิงคนใหม่ในชีวิตของเดวิดคือ เอลิซาเบ็ธ ซึ่งเพิ่งผ่านการหย่าร้างและมองหาทิศทางใหม่ให้กับชีวิต เอลิซาเบธต้อนรับเดวิดและเอมิลี่สู่บ้านใหม่ และเธอกับเดวิดกลายเป็นเพื่อนสนิทกับเดวิด เมื่อความสัมพันธ์แปรเปลี่ยนเป็นความรัก เอลิซาเบ็ธพบว่าตนเองตกเป็นเป้าหมายของใครบางคน …หรือบางอย่าง “แต่มันเป็นชาร์ลี เอมิลี่ หรือใครที่เรายังไม่รู้กันแน่?“ เอลิซาเบ็ธ ชู ตั้งคำถาม เธอเป็นผู้รับบทเอลิซาเบ็ธ “นั่นเป็นความลึกลับที่สำคัญอย่างหนึ่งของหนัง”
นายอำเภอแฮฟเฟอตี้ รับบทโดย ดีแลน เบเคอร์ ยังได้เข้ามาพัวพันในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านของครอบครัวคัลลาเวย์ที่ทวีความน่าสพรึงกลัวขึ้นเรื่อยๆ “บ้านและสถานที่ตั้งนั้นสวยงาม แต่ในบางเวลาดูโดดเดี่ยว” เบเคอร์กล่าว “มันเป็นเมืองเล็กๆ ที่น่ารัก แต่ดูน่ากลัวหน่อย มีบางอย่างเกี่ยวกับการถูกโดดเดี่ยวใน ‘สวรรค์’ และนั่นเป็นมากกว่าความน่าขนลุก”
น่าขนลุกชนิดที่จอห์น โพลสันหวังว่าผู้ชมจะสนุกการลุ้นระทึกกับเรื่อง HIDE AND SEEK แต่เขาก็ยังอยากเห็นพวกเขาได้อะไรที่มากกว่านั้นกลับไป “เราพยายามทำหนังระทึกขวัญที่ไม่หลอกคนดู” เขากล่าว “ผมอยากให้คนดูสนุกสนานกับหนัง แต่ให้รู้ว่าพวกเขาได้สัมผัสกับความสัมพันธ์ที่ไม่หยุดนิ่งและซับซ้อนระหว่างพ่อกับลูกสาว”
และพวกเขาจะได้พบกับเพื่อนใหม่ที่น่าขนลุกชื่อ ชาร์ลี
ทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ ภูมิใจเสนอผลงานภาพยนตร์ของ Josephson Entertainment นำแสดงโดย โรเบิร์ต เดอ นีโร ในเรื่อง HIDE AND SEEK ร่วมแสดงโดยดาโกต้า แฟนนิ่ง, แฟมเก้ แจนเส็น, เอลิซาเบ็ธ ชู, เอมี่ เออร์วิ่ง และดิแลน เบเคอร์ ภาพยนตร์กำกับฯ โดย จอห์น โพลสัน, เขียนบทโดย อาริ ชโลสเบิร์ก, และอำนวยการสร้างโดย แบร์รี่ โจเซฟสัน, ผู้อำนวยการบริหาร คือ โจ คารัคซิโอโล จูเนียร์, ผู้กำกับภาพ คือ ดาไรอัซ โวลสกี้, ASC, และผู้ออกแบบฝ่ายศิลป์ คือ สตีเวน จอร์แดน ผู้ลำดับภาพ คือ เจฟฟรีย์ ฟอร์ด, และดนตรีประกอบโดย จอห์น ออตแมน
นักแสดง
โรเบิร์ต เดอ นีโร (เดวิด คัลลาเวย์) เปิดตัวอาชีพการแสดงภาพยนตร์อย่างมีชื่อเสียงในหนังของไบรอัน เดอ พาลมา เรื่อง The Wedding Party เมื่อปี 1969 จวบจนปี 1973 เดอ นีโรได้รับรางวัล New York Film Critics’ Award สาขา Best Supporting Actor จาผลงานการแสดงโด่งดังที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์เรื่อง Bang the Drum Slowly และหนังของมาร์ติน สกอร์เซสซีเรื่อง Mean Streets
ในปี 1974 เดอ นีโรได้รับรางวัลตุ๊กตาทองสาขา Best Supporting Actor จากการรับบทเป็นวีโต คอร์ลีโอเน วัยหนุ่มในเรื่อง The Godfather, Part II ในปี 1980 เขาได้รับรางวัลออสการ์ตัวที่สองสาขา Best Actor จากการรับบทที่ไม่ธรรมดาเป็นเจค ลา มอตต้าในหนังของสกอร์เซสซีเรื่อง Raging Bull เดอ นีโรได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลตุ๊กตาทองจากหนังอีกสี่เรื่อง : เป็นเทรวิส บิกเคิล ในหนังเรื่องดังของสกอร์เซสซี Taxi Driver, เป็นทหารผ่านศึกเวียตนามในหนังของไมเคิล ซิมิโน เรื่อง The Deer Hunter, รับบทคนไข้โรคจิตที่ถูกนำกลับมาสู่ชีวิต ในหนังของเพนนี มาร์แชล เรื่อง Awakenings และในปี 1992 เป็นแมกซ์ เคดี้ อดีตนักตุ๋นที่หาโอกาสล้างแค้นในหนังรีเมคของสกอร์เซสซีจากเรื่องคลาสสิคของปี 1962 Cape Fear
รวมผลงานที่โดดเด่นของเดอ นีโร รวมถึงการแสดงในหนังของเอเลีย คาแซนเรื่อง The Last Tycoon, หนังของเบอร์นาโด เบอร์โตลุคชี่เรื่อง 1900, หนังของอูลู กรอสบาร์ด เรื่อง True Confessions และ Falling in Love, หนังของเซอจิโอ เลโอเน เรื่อง Once Upon a Time in America, หนังของสกอร์เซสซีเรื่อง New York, New York, Goodfellas, และ Casino, หนังของเทอรี่ กิลเลียมส์ เรื่อง Brazil, หนังของโรแลนด์ โจฟ เรื่อง The Mission, และหนังของไบรอัน เดอ พาลมา เรื่อง The Untouchables
เดอ นีโรยังแสดงในหนังของอลัน พาร์คเกอร์ เรื่อง Angel Heart, หนังของมาร์ติน เบรสต์ เรื่อง Midnight Run, หนังของเดวิด โจนส์ เรื่อง Jacknife, หนังของมาร์ติน ริตส์ เรื่อง Stanley and Iris, หนังของนีล จอร์แดน เรื่อง We’re No Angels, หนังของรอน โฮเวิร์ดส เรื่อง Backdraft, หนังของไมเคิล เคตัน-โจนส์ เรื่อง This Boy’s Life, หนังของจอห์น แมคนอตัน เรื่อง Mad Dog and Glory, หนังของเคนเนธ บรานัคเรื่อง Mary Shelley’s Frankenstein, หนังของไมเคิล แมนน์ เรื่อง Heat, หนังของแบรี่ เลวินสัน เรื่อง Sleepers and Wag the Dog, หนังของเจอรี่ แซคส์ เรื่อง Marvin’s Room, หนังของโทนี่ สก็อต เรื่อง The Fan, หนังของเจมส์ แมนโกลด์ เรื่อง Copland, หนังของอัลฟองโซ คัวรองเรื่อง Great Expectations, หนังของเควนติน ทาเรนติโน เรื่อง Jackie Brown, และ A Bronx Tale, กำกับฯ โดย เดอ นีโร
นอกจากนี้ เดอ นีโรยังแสดงในหนังของจอห์น แฟรงเกนไฮเมอร์ เรื่อง Ronin, หนังขงแฮโรลด์ เรมิส เรื่อง Analyze This และ Analyze That, หนังของโจเอล ชูมักเกอร์เรื่อง Flawless, หนังของเดส แมคนัฟ เรื่อง Rocky and Bullwinkle, หนังของเจย์ โรช เรื่อง Meet The Parents, หนังของจอร์ช ทิลแมน เรื่อง Men of Honor, หนังของจอห์น เฮิร์ซเฟลด์ เรื่อง Fifteen Minutes, หนังของแฟรงค์ ออซ เรื่อง The Score, หนังของทอม ดีย์ เรื่อง Showtime, หนังของไมเคิล เคตัน-โจนส์ เรื่อง City By The Sea, และหนังของนิค แฮมส์ เรื่อง Godsend
เมื่อไม่นานนักเขาได้แสดงในหนังของแมรี่ แมคกัคเคียน เรื่อง The Bridge of San Luis Rey, หนังแอนิเมชั่นของดรีมเวิร์ค เรื่อง Shark Tale และหนังของเจย์ โรช เรื่อง Meet the Fockers
เดอ นีโรภาคภูมิใจกับการก่อตั้งบริษัทโปรดักชั่นของตนเอง Tribeca Productions และ Tribeca Film Center ร่วมกับเจน โรเซ็นธัลในปี 1988 ภายใต่ชื่อ Tribeca เขาสร้างภาพยนตร์หลายเรื่องและรับหลายหน้าที่ด้วยตัวเอง อาทิเช่น อำนวยการสร้าง, กำกับฯ และแสดง
ภาพยนตร์ของ Tribeca เรื่อง A Bronx Tale เป็นผลงานกำกับฯ เรื่องแรกของเดอ นีโร ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ โดย Tribeca ได้แก่ Thunderheart, Cape Fear, Mistress, Night and the City, The Night We Never Met, Faithful, Panther, Marvin’s Room, Wag the Dog, Analyze This, Flawless, Rocky and Bullwinkle, Meet the Parents, Fifteen Minutes, Showtime, Analyze That และ Meet the Fockers ในปี 1992 Tribeca TV ถูกเปิดตัวและได้รับคำชมจากนักวิจารณ์สำหรับซีรีส์เรื่อง Tribeca เดอ นีโรรั้งตำแหน่งเป็นหนึ่งในบรรดาผู้อำนวยการบริหารของซีรีส์เรื่องนี้
ในปี 1998 Tribeca ผลิตมินิซีรีส์ให้กับ NBC จากเรื่องราวชีวิตจริงของแซมมี่ “The Bull” กราเวโน
Tribeca Productions มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ Tribeca Film Center ของเดอ นีโรที่แถบ TriBeCa ของนิวยอร์ค Film Center เป็นอาคารที่ได้รับการออกแบบเพื่อวงการภาพยนตร์และโทรทัศน์โดยเฉพาะ ตัวตึกแปดชั้นประกอบไปด้วยส่วนสำนักงาน, ห้องทดสอบ, ห้องจัดเลี้ยงและภัตตาคาร นอกเหนือจากบริการของวงการบันเทิงเต็มรูปแบบจากบรรดามืออาชีพ
ดาโกต้า แฟนนิ่ง (เอมิลี่ คัลลาเวย์) ล่าสุดเพิ่งเสร็จจากการทำงานเรื่อง Dreamer, แสดงคู่กับเคิร์ท รัสเซล และ คริส คริสทอฟเฟอร์สัน เรื่องราวดราม่าครอบครัวที่ไม่หยุดนิ่ง ท่ามกลางโลกอุตสาหกรรมแห่งการแข่งขันของเคนตักกี้ มีกำหนกออกฉายช่วงใบไม้ร่วงหน้า
ดาโกต้าแสดงร่วมกับทอม ครูซ และทิมร็อบบินส์ในหนังเรื่องใหม่ War of the Worlds, กำกับฯ โดยสตีเวน สปีลเบิร์ก ก่อนหน้านี้สปีลเบิร์กและดาโกต้าเคยร่วมงานกันในมินิซีรีส์เรื่อง Taken, ซึ่งผู้สร้างภาพยนตร์ชื่อดังเป็นผู้อำนวยการบริหาร
DreamWorks มีข้อผูกพันที่จะสร้างผลงานภาพยนตร์ดัดแปลงจากเรื่องราวของลูอิส แครอล Alice in Wonderland, ที่จะเขียนให้กับดาโดต้าเป็นการเฉพาะโดยเจ้าของรางวัลเอ็มมี่ เลส โบเฮม (Taken)
ดาโกต้าเริ่มต้นอาชีพการแสดงเมื่อสี่ปีที่แล้วในตอนที่มีอายุหกขวบ ก่อนหน้านั้นเธอเคยเป็นนักแสดงรับเชิญในเรื่อง ER, The Practice, Malcolm in the Middle, Spin City, และ CSI และในจอใหญ่ดาโกต้าแสดงกับฌอน เพนน์ และมิเชล ไฟเฟอร์ในเรื่อง I Am Sam, ซึ่งเธอได้รับรางวัล BAFTA? และกลายเป็นนักแสดงที่อายุน้อยที่สุดที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Screen Actors Guild? Award
ไม่นานต่อมาเธอได้แสดงในเรื่อง Taken, ซึ่งกลายเป็นรายการที่มีเตติ้งสูงสุดของ Sci-Fi Channel และได้รับรางวัลเอ็มมี่สาขา Best Mini-series
ในปี 2004 ภาพยนตร์เรื่อง Man on Fire กำกับฯ โดยโทนี่ สก็อต จัดจำหน่ายโดยทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ ดาโกต้าแสดงคู่กับ เดนเซล วอชิงตัน การแสดงของเธอได้รับเสียงชื่นชมเป็นอันมากจากทั่วโลก
ดาโกต้ายังได้ร่วมแสดงในเรื่อง Trapped คู่กับชาลิซ เธอรอน และในเรื่อง Sweet Home Alabama กับรีส วิทเธอร์สปูน, The Cat in the Hat, และ Uptown Girls
ดาโกต้ารักการอ่านอย่างมาก กำลังเรียนพูดภาษาสเปนและฝรั่งเศส แล่นเปียโน ถักนิตติ้ง สะสมตุ๊กตา — และสนุกสนานเต็มที่กับชีวิต
แฟมเก้ แจนเส็น (แคธรีน) รับบทเดิมในเรื่อง X-Men เป็นจีน เกรย์ในหนังเรื่องดังติดอันบ็อกซ์ออฟฟิศ เรื่อง X2, และแสดงในหนังอิสระเรื่องล่าสุด Eulogy ก่อนหน้านี้เคยแสดงในเรื่อง I Spy กับเอ็ดดี้ เมอร์ฟีย์ และโอเวน วิลสัน ในเรื่อง Don’t Say a Word กับไมเคิล ดักกลาส, และเรื่อง Made ร่วมแสดงกับจอน ฟาฟโรและวินซ์ วอห์น
แจนเส็นได้รับคำชมอย่างท่วมทันจากการแสดงคู่กับจอจ ฟาฟโร ในหนังของวาเลอรี ไบรแมน เรื่อง Love and Sex, ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกที่ 2000 Sundance Film Festival ผลงานของเธอยังรวมไปถึง House on Haunted Hill กับเจฟฟรย์ รัช, หนังของจอห์น ดัล เรื่อง Rounders กับเอ็ดเวิร์ด นอร์ตันและแมต เดมอน และหนังของวู้ดดี้ แอลเลน เรื่อง Celebrity, กับเคนเนธ บรานัค และลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ได้แก่ The Faculty, Deep Rising, The Gingerbread Man, Monument Avenue, City of Industry และหนังเจมส์ บอนด์เรื่องฮิต Goldeneye
ทางโทรทัศน์เธอเห็นนักแสดงรับเชิญในหลายตอนของเรื่อง Nip/Tuck
เอลิซาเบ็ธ ชู (เอลิซาเบ็ธ ยัง) ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมี่ สาขา Best Actress จากผลงานแสดงในเรื่อง Leaving Las Vegas, กับนิโคลัส เคจ และยังได้รับรางวัล Best Actress จาก Los Angeles Film Critics, Chicago Film Critics, National Society of Film Critics, รวมทั้งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Independent Spirit Award, รางวัลลูกโลกทองคำ และรางวัล Screen Actors Guild Award
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของชู ได้แก่ The Karate Kid, Adventures in Babysitting, Cocktail, Soapdish, Radio Inside, The Underneath, The Saint, Palmetto, Cousin Bette, Deconstructing Harry, Molly และ Hollow Man นอกจากนี้เธอยังได้แสดงในเรื่อง Amy and Isabelle, ผลงานสร้างของโอปราห์ วิมฟรีย์ ชูเคยแสดงบนเวทีบรอดเวย์ในงานของริชาร์ด เนลสัน เรื่อง Some Americans Abroad
เอมี่ เออร์วิง (เอลิสัน คัลลาเวย์) เป็นที่รู้จักในวงการภาพยนตร์เป็นครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1970 ในตอนที่เธอแสดงในภาพยนตร์สองเรื่องของผู้กำกับฯ ไบรอัน เดอ พาลมา: Carrie และ The Fury จากนั้นแสดงในเรื่อง Voices, Honeysuckle Rose, The Competition, และ Micki and Maude ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์จากเรื่อง Yentl และได้รับรางวัลลูกโลกทองคำจากเรื่อง Crossing Delancey
เออร์วิงแสดงในเรื่อง Tuck Everlasting และแสดงร่วมกับไมเคิล ดักกลาสในภาพยนตร์ของสตีเวน โซเดอเบิร์กที่ได้รับรางวัลตุ๊กตาทองเรื่อง Soderbergh’s Traffic เออร์วิงยังได้แสดงในภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ เรื่อง Bossa Nova, กำกับฯ โดยสามีของเธอ บรูโน่ แบเรตโต้ ซึ่งเขายังได้กำกับฯ เธอในเรื่อง Carried Away และ A Show of Force ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ได้แก่ Deconstructing Harry, I’m Not Rappaport และ 13 Conversations About One Thing
เออร์วิงเข้ารับการฝึกฝนที่ American Conservatory Theater และ London Academy of Music and Dramatic Art บนเวทีละครเธอได้แสดงในเรื่อง Three Sisters, และได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ที่บรอดเวย์ถึงผลงานในละครของอาเธอร์ มิลเลอร์ เรื่อง Broken Glass, ซึ่งเธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล1994 Drama Desk Award และ The Outer Critics Circle Award? เออร์วิงยังได้แสดงที่บรอดเวย์ในเรื่อง Amadeus และHeartbreak House, ซึ่งเธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Drama Desk อีกครั้ง และยังได้รับรางวัล Obie? Award แลพได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Drama Desk nomination สาขา Best Actress จากการแสดงในเรื่อง Road to Mecca
ทางโทรทัศน์เออร์วิงได้แสดงในภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่อง The Twilight Zone: Rod Serling’s Lost Classics เธอยังได้แสดงในมินิซีรีส?ฮิตเรื่อง Anastasia, ซึ่งเธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ และในเรื่อง Spin City, Law and Order: SVU, และหลายตอนของเรื่อง Alias
ดีแลน เบเคอร์ (นายอำเภอแฮฟเฟอตี้) ร่วมแสดงในผลงานดราม่าเสียดสีของ Fox Searchlight เรื่อง Kinsey, และล่าสุดแสดงในภาพยนตร์เรื่องฮิตติดบ็อกซ์ออฟฟิศเรื่อง Spider-Man 2 เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล IFP Gotham Award? และ IFP West Independent Spirit Award? จากการรับบทเป็นบิล เมเปิลวู้ดในภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์เรื่อง Happiness กำกับฯ โดยท็อด โซโลนซ์.
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ได้แก่ Head of State, How to Deal, Road to Perdition, Changing Lanes, The Cell, Random Hearts, Committed, Requiem for a Dream, Celebrity, Simply Irresistible, True Blue, Disclosure, Planes Trains and Automobiles, Talk Radio, The Wizard of Loneliness, The Long Walk Home, Delirious และ Passed Away
เบเคอร์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Tony Award? และ Drama Desk Award จากบท Prince ในละครบรอดเวย์เรื่อง Eastern Standard และรางวัล Obie Award จากผลงานในละครนอกบรอดเวย์เรื่อง Not About Heroes ล่าสุดเขาแสดงในเรื่อง The Sea of Tranquility ที่ Atlantic Theatre Company และได้รับคำชื่นชมจากผลงานในละครนอกบรอดเวย์เรื่อง That Championship Season at the Second Stage Theatre
ผลงานทางโทรทัศน์ของเบเคอร์ ได้แก่มินิซีรีส์ของทอม แฮงคส์ทาง HBO เรื่อง From the Earth to the Moon, ดราม่าในศาลของสตีเฟน บอคโคเรื่อง Murder One และผลงานเรื่องอื่นๆ อีกมาก
ทีมงาน
จอห์น โพลสัน (ผู้กำกับการแสดง) มีผลงานกำกับฯ ภาพยนตร์เมริกันเรื่องแรกในหนังระทึกขวัญเรื่องฮิต Swimfan จัดจำหน่ายโดยทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์
โพลสันเป็นนักแสดงและผู้กำกับฯที่ได้รับรางวัล และผู้ก่อตั้ง Tropfest, งานเทศกาลภาพยนตร์สั้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของออสเตรเลีย ผลงานในฐานะผู้กำกับฯ ของโพลสัน ได้แก่ภาพยนตร์สั้นสามเรื่อง รวมทั้งภาพยนตร์เรื่องยาว Siam Sunset ซึ่งได้รับรางวัล Rail D’Or อันทรงเกียรติจาก Cannes Film Festival รวมทั้งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Australian Film Institute Award? สาขา Best Film ในเดือนพฤศจิกายน 1997 โพลสันได้รับรางวัล Byron Kennedy Award จาก AFI Awards จากการอุทิศตัวของเขาที่มีให้กับวงการภาพยนตร์ออสเตรเลีย
ในฐานะนักแสดง โพลสันได้มีผลงานในหนังฮิตบ็อกซ์ออฟฟิศเรื่อง Mission: Impossible 2 ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ได้แก่ Sirens, นำแสดงโดย ฮิว แกรนท์, The Sum of Us, ซึ่งเขาได้รับรางวัล Australian Film Critics Circle Award; และเรื่อง The Boys, ซึ่งทำให้โพลสันได้รับรางวัล Best Supporting Actor Award จาก Australian Film Institute โพลสันยังแสดงในเรื่อง Idiot Box, Prisoners of the Sun, มินิซีรีส์ Kangaroo Palace และ Vietnam, เรื่อง Dadah is Death โพลสันยังคงทำงานสม่ำเสมอในด้านละคร ที่ซึ่งเขาเริ่มต้นอาชีพ
(ยังมีต่อ)

แท็ก ภาพยนตร์  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ