30 ปี อนุบาลกุ๊กไก่ ความประทับใจจากรุ่นสู่รุ่น

ข่าวทั่วไป Friday September 12, 2008 11:14 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--12 ก.ย.--บ้านพีอาร์
30 ปี อนุบาลกุ๊กไก่ ความประทับใจจากรุ่นสู่รุ่น เปิดใจ 4 ครอบครัวดัง เลือกกุ๊กไก่เป็นอนุบาลที่สั่งสอนบุตรหลานจากรุ่นพ่อแม่สู่รุ่นลูก ชี้ความอบอุ่นจากความเอาใจใส่ของครู ความทันสมัยของหลักสูตรแบบผสมผสานเตรียมความพร้อม-วิชาการ ที่ 30 ปีที่ผ่านมาไม่เคยตกยุค และสถิติสอบเข้าโรงเรียนดัง เป็น 3 ปัจจัยหลักที่ไว้ใจให้กุ๊กไก่ยังเป็นโรงเรียนอนุบาลอันดับ 1 ในใจของตระกูล ไม่แปลกสำหรับเด็กที่เรียนอนุบาลที่ใดที่หนึ่ง แล้วจะไปเรียนต่อโรงเรียนดีๆ โรงเรียนดังๆ มีอนาคตการงานที่สดใส จะบอกว่า ความสำเร็จนี้ส่วนหนึ่งมาจากการบ่มเพาะจากรั้วโรงเรียนอนุบาลของเขา แต่ที่แปลกก็คือคนที่ประสบความสำเร็จเหล่านั้น นอกจากจะภูมิใจในโรงเรียนอนุบาลของตัวเองแล้ว ยังไว้วางใจที่จะให้รุ่นลูก เข้ามาอยู่ มาใช้ชีวิต โรงเรียนในฝันของเขาต่อไป แม้จะมีฐานะการเงินที่สามารถส่งเรียนนานาชาติได้อย่างสบายๆ เขากลับเลือกที่จะให้ลูกของเขาใช้ชีวิตธรรมดา ในโรงเรียนเล็กๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น! ครอบครัว “บูรณะสมบัติ”คือหนึ่งในครอบครัวเหล่านั้น “โรงเรียนนี้ที่ผมจำได้คือ มาโรงเรียนแล้วสนุก สนุกที่จะมาโรงเรียนทุกวันไม่มีงอแง” ธนพล บูรณะสมบัติ รองผู้อำนวยการโรงเรียนกรุงเทพการบัญชีวิทยาลัย หรือ พอ ศิษยเก่าโรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่รุ่นที่ 2 ในปี 2521 ที่ขณะนี้ได้ให้ลูกสาวคนเดียวคือ ด.ญ.จิณณพัต บูรณะสมบัติ หรือน้องจินนี่ได้เรียนอนุบาลในโรงเรียนแห่งนี้ ด้วยความประทับใจในโรงเรียนวัยเยาว์ของเขา พร้อมเล่าว่า ได้เข้าเรียนอนุบาลกุ๊กไก่ตั้งแต่อายุ 2 ขวบกว่าๆ ในชั้นเนอสเซอรี่ ซึ่งขณะนั้นมีครูป้อม ครูกระแต และครูแมว เป็นครูที่คอยดูแลเด็ก ซึ่งปัจจุบันคุณครูทั้ง 3
ท่านก็ยังเป็นครูที่กุ๊กไก่ ที่สำคัญเด็กนักเรียนที่มาเรียนอนุบาลกุ๊กไก่ทั้งในรุ่นตัวเองและรุ่นอื่นๆ ก็สามารถสอบเข้าโรงเรียนสาธิตประสานมิตรได้ เช่นเดียวกับเขา เพราะข้อสอบของสาธิตประสานมิตรเป็นแบบเดียวกันกับแบบเรียนในห้องเรียน จึงไม่เคยไปเรียนกวดวิชาเพิ่มที่ใด และเพื่อนๆ ส่วนใหญ่ก็สามารถสอบเข้าโรงเรียนมีชื่อเสียงได้หลายที่ ทั้งมาแตร์เดอีวิทยาลัย,เซนต์โยเซฟคอนเวนต์,วัฒนาวิทยาลัย,เซนต์ดอมินิค,อัสสัมชัญ,กรุงเทพคริสเตียน ฯลฯ อีกทั้งเป็นเพราะครอบครัวทำธุรกิจโรงเรียน คือโรงเรียนกรุงเทพการบัญชีวิทยาลัย จึงอยากให้ลูกคือน้องจินนี่ ได้เรียนในโรงเรียนที่ผู้บริหารมาบริหารงานที่โรงเรียนทุกวัน เหมือนกับที่ครอบครัวบูรณะสมบัติยึดเป็นหลักบริหารโรงเรียนของตัวเองด้วย จบจากการคุยกับครอบครัวบูรณสมบัติ เรานั่งรอเพื่อสัมภาษณ์ครอบครัวต่อไป กานต์-ชาณา เหตระกูล คือ พ่อและแม่ที่เลือกให้ลูกสาวคนเดียวของทั้งสองตระกูลใหญ่ อย่าง เหตระกูล-ศรีเฟื่องฟุ้ง เลือกที่จะให้ลูกสาวคนเดียว “ด.ญ.มิณิณ เหตระกูล”เรียน โรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่ โรงเรียนอนุบาลในความทรงจำของทั้ง 2 คน แม้ว่าวันนี้ทั้งครอบครัวจะต้องตามคุณพ่อกานต์ไปอยู่ที่ฮ่องกง เนื่องจากคุณพ่อกานต์ต้องไปทำงานที่ธนาคาร UBS และคุณแม่ต้องลาออกจากงานประจำเพื่อเป็นแม่บ้านดูแลลูกเต็มตัว และมีความจำเป็นต้องให้น้องมิณิณ เรียนหนังสือในโรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่งในฮ่องกง แต่พอมีเวลาและโอกาส ช่วงที่คุณพ่อต้องมาดูงานในประเทศไทยเป็นระยะเวลา 2 เดือน คุณพ่อและคุณแม่พร้อมทั้งคุณปู่คุณย่าจึงต่างพร้อมใจกัน ขออนุญาตครูไก่เป็นพิเศษ เพื่อให้น้องมิณิณมาเรียนในอนุบาลกุ๊กไก่ในช่วงระยะเวลานี้ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม “จริงๆ เราเตรียมไว้พร้อมแล้วว่าจะให้ลูกเราเรียนที่อนุบาลกุ๊กไก่ เตรียมเอกสารการสมัครไว้เรียบร้อย คือเด็กไทย เราคิดกันว่าไม่จำเป็นต้องเรียนโรงเรียนอินเตอร์ อยากให้ลูกอยู่ในที่อบอุ่น โรงเรียนธรรมดาๆ อยู่กับคนได้ทุกคน พอคุณกานต์ต้องไปอยู่ฮ่องกงเราก็เสียดาย แต่ตั้งใจกันว่าทุกครั้งที่กลับมาเมืองไทย จะให้น้องมิณิณได้มาเรียนซัมเมอร์ที่กุ๊กไก่” คุณแม่ชานา กล่าว พร้อมเล่าว่าการเรียนรู้แบบไทยเป็นสิ่งสำคัญ อีกทั้งความที่เป็นศิษย์เก่าก็ได้ทำให้อยากมาดูโรงเรียนว่าเป็นอย่างไรในปัจจุบัน พอกลับมาดูแล้วก็เห็นว่า โรงเรียนไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ยังคงความอบอุ่น คงบรรยากาศ เหมือนกับที่เคยได้รับมาเมื่อในอดีต รวมถึงมีวิธีการสอนใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมา เช่น การเรียนการสอนแบบ Project approach ที่ทำให้เด็กรู้จักคิด อีกทั้งเรื่องวิชาการที่เด็กจากที่นี่สามารถเรียนต่อโรงเรียนดีๆ อย่างสาธิตมศว.ประสานมิตร ได้จำนวนมากในแต่ละปี หรือเรื่องจริยธรรม มีครบหมดทุกอย่าง “อนุบาลกุ๊กไก่ เหมือนเป็นของดีที่เงียบๆ คือไม่ต้องพูดมากแต่ดี เลยชอบ” ขณะที่ คุณเกลียวทอง เหตระกูล คุณย่าของน้องมิณิณ ได้เล่าถึงภาพอดีต ยามที่ตนต้องตัดสินใจให้ลูกชายเข้าโรงเรียนเมื่อ 30 ปีก่อนว่า คุณย่าได้ไปดูโรงเรียนอื่น ๆ รวมทั้งศึกษาแนวการสอนของโรงเรียนอนุบาลขณะนั้น แต่คุณย่ารู้สึกประทับใจโรงเรียนนี้ตั้งแต่แรกเห็น “โรงเรียนน่ารักมากแม้สถานที่จะคับแคบ แต่ก็ประทับใจมาก เพราะครูไก่เป็นคนที่มีความรักเด็ก โรงเรียนเป็นอย่างไร ก็แสดงถึงจิตใจผู้บริหารด้วย ความที่เธอรักเด็ก ทุกอย่างที่โรงเรียนจึงทำไว้สำหรับเด็ก ทุกอย่างที่ทำ เราดูแล้วรู้เลยว่า เธอตั้งใจทำให้เด็กๆ ตรงนี้ทำให้เราไว้วางใจที่จะให้ดูแลลูกเรา ลูกชาย 3 คนเรียนที่นี่หมด รวมทั้งหลาน 7 คนด้วย” ครอบครัวต่อมาคือ ครอบครัวพฤกษาพงศ์ เดินทางมาด้วยการนำของ คุณหมอกุสุมา พฤกษาพงศ์ กุมารเวชประจำโรงพยาบาลสมิตเวช พร้อมด้วยคุณพ่อ ชุติกร พฤกษาพงศ์ ผู้จัดการด้านไอที บริษัทกรีนสปอร์ต ประเทศไทย จำกัด และคุณแม่ ณัฐาภรณ์ พฤกษาพงษ์ ผู้ช่วยกรรมการ บริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน ไพรส์วอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ พร้อมด้วยน้องเน็ต ดช.ณธัญ พฤกษาพงศ์ ที่ขณะนี้กำลังอยู่ในห้องเรียนชั้นอนุบาล 2 คุณหมอกุสุมา เล่าว่า เมื่อ 30 ปีก่อน ได้ตัดสินใจให้ลูกชาย คือ คุณหนึ่ง ชุติกร พฤกษาพงศ์ เข้าเรียนในอนุบาลกุ๊กไก่ในปี 2520 เนื่องจากคุณแม่ของคุณหมอซึ่งเป็นครูศึกษานิเทศก์ได้สำรวจแล้วว่า โรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่เป็นโรงเรียนอนุบาลที่น่าสนใจมาก มีสถิติสอบเข้าโรงเรียนสาธิตและโรงเรียนคริสเตียนได้มาก จึงตกลงชวนทุกคนมาดูโรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่กัน พอได้มาดูโรงเรียนก็เห็นว่า เป็นโรงเรียนที่ไม่เหมือนโรงเรียนอื่นๆ ตรงที่เป็นโรงเรียนอนุบาลแนวใหม่ คือสอนแบบเตรียมความพร้อมให้แก่เด็ก ซึ่งสมัยนั้นโรงเรียนลักษณะนี้ไม่เคยมีมาก่อน ครั้นมาถึงรุ่นหลานคือ น้องเน็ต เดิมคุณพ่อหนึ่งได้ให้น้องเน็ตเรียนที่โรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร และในช่วงปิดเทอมก็จะให้มาเรียนที่กุ๊กไก่ เนื่องจากน้องเน็ตเป็นเด็กที่ไฮเปอร์แอคทีฟ และคุณหมอแนะนำว่าน่าจะให้ น้องเน็ต เรียนโรงเรียนแบบไทยๆ จะดีกว่าในเรื่องของพัฒนาการ ครอบครัวพฤกษาพงศ์จึงพร้อมใจกันให้น้องเน็ตมาเรียนที่อนุบาลกุ๊กไก่เต็มเวลา หลังจากที่เคยได้มาเรียนในช่วงซัมเมอร์และพบว่าน้องเน็ต มีความสุขในการเรียนที่นี่มาก “ตอนนี้เรียนมา1-2 เดือนเองนะ รู้ไหมอะไรทำให้คุณย่า คุณพ่อ และคุณแม่ดีใจมาก น้องเน็ตที่เดิมเรียนในโรงเรียนนานาชาติพอมาเรียนที่นี่ได้แค่เดือนเดียว เขาสามารถเขียนชื่อเล่นของตัวเองได้ พวกเราดีใจ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดกันมาก่อน แถมมีพัฒนาการดีขึ้นมาก” ด้านคุณแม่เล่าว่า สิ่งที่ประทับใจโรงเรียนนี้มีอีกมากมาย แต่สิ่งที่ประทับใจมากคือโรงเรียนจะมีสมุดสื่อสารผู้ปกครองกับครูประจำชั้นซึ่งจะมีการเขียนรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวันให้ผู้ปกครองทุกวัน รวมทั้งมีสมุดสื่อสารอีกเล่มที่จะเป็นของครูต่างชาติด้วย สำหรับครอบครัวสุดท้ายที่ลูกหลานก็เรียนที่อนุบาลกุ๊กไก่ วันนี้นำทีมมาโดยคุณยาย คุณฐิติรัตน์ ทิพย์ชโยดม พร้อมลูกสาว ลูกเขย และหลาน ๆ จากทั้งสองครอบครัว คุณยายเล่าให้ฟังว่าเมื่อ 30 ปีก่อน ครอบครัวได้ทำธุรกิจด้านการขนส่ง หรือ โลจิสติกส์ รายแรกๆ ของเมืองไทย ซึ่งคุณยายต้องดูแลงาน และพนักงานจำนวนมากในแต่ละวัน ประกอบกับมีลูกสาวคนเล็กซึ่งเป็นลูกหลง คือคุณลิฟท์ อาภาฤทธิ์ ทิพย์จรรยาวัตร์ อยู่ในวัยที่จะต้องเลือกโรงเรียนอนุบาลให้เข้าเรียน พอดีกับเป็นช่วงเวลาที่อนุบาลกุ๊กไก่เปิดสอนเป็นปีแรก คุณยายย้อนให้ฟังว่า ความประทับใจกับโรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่ ที่แม้จะผ่านมาแล้ว 30 ปีก็ไม่เคยลืมคือ มีอยู่วันหนึ่งคุณยายทำงานหนักมาก เลิกงานประมาณเวลา 20.00 -21.00 น. เหนื่อยแทบหมดแรง ก็เลยจะอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน ให้นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ไปรับลูกคนล็กที่โรงเรียน ตายละหว่า...ก็รีบบึ่งรถไปถึงโรงเรียนเกือบ ๆ สามทุ่ม รู้สึกกังวลมาก มาถึงก็พบว่าครูไก่ป้อนข้าวเย็นลูกเราแล้วช่วยอาบน้ำประแป้ง และพาเข้านอนเรียบร้อย โดยไม่มีการโทรศัพท์ไปตามเราด้วย คงเพราะรู้ว่าคุณยายงานยุ่งและเยอะมากในวัน ๆ หนึ่ง “ครูไก่ใจเย็นมาก ดูแลลูกเราเหมือนลูกตัวเอง ดิฉันเองก็เกรงใจไม่รู้จะทำยังไง ถ้าเป็นเรา เราเป็นเจ้าของโรงเรียน เราคงโกรธมากเพราะดึกมากแล้ว ผู้ปกครองยังไม่มารับลูกเลย แต่นี่ครูไก่ดูแลลูกเราอย่างดีตั้งแต่สมัยลูกเรายันหลานเราเลย ประทับใจไม่ลืมจริง ๆ” คุณยายย้ำ เมื่อลูกสาวคนโตมีลูกชายและลูกสาวอย่างละคน คือ น้องโม นายอภิพล และน้องมีมี่ น.ส.ณัฐปรียา ชาติสัมปันน์ คุณยายก็มีบัญชาให้มาเรียนที่กุ๊กไก่เหมือนกัน ถึงขนาดที่ว่าตอนนั้นโรงเรียนย้ายจากที่ตั้งเดิมในซอยสุขุมวิท 16 ไปถนนพระราม 4 แล้ว คุณยายก็สั่งว่าต้องหาให้เจอว่าโรงเรียนย้ายไปอยู่ไหน อยู่ไกลแค่ไหนก็จะต้องให้หลานมาเรียนที่กุ๊กไก่ และก็ไม่ผิดหวังเพราะหลังจากเรียนจบจากกุ๊กไก่ น้องโมก็สอบเข้าป.1 โรงเรียนเซนต์ดอมินิคได้เป็นอันดับ 1 รวมทั้งสอบติดที่โรงเรียนเซนต์คาเบียล และในระดับม.4 น้องโมก็ได้รับรางวัลเรียนดีเพราะได้คะแนนท็อปถึง 6 วิชา และขณะนี้ก็สอบเอนทรานส์เข้าคณะแพทย์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และกำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่ 1 คุณพ่อคุณแม่น้องโมและมีมี่บอกกับบเราว่า เป็นเพราะน้องโมได้เรียนที่กุ๊กไก่ มีพื้นฐานการเรียนที่มีความสุข ไม่ยัดเยียดแต่วิชาการนั่นเอง ส่วนน้องมีมี่น้องสาวน้องโม สอบเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย ขณะนี้กำลังศึกษาอยู่ชั้น ม.4 ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าห้อง และได้คะแนนท็อปของระดับชั้นในวิชาเลข และยังได้รับคัดเลือกเข้าอยู่ในวงดุริยางค์เยาวชนไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ของสมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ด้วย ขณะที่ลูกสาวคนเล็กของคุณยาย คุณอาภาฤทธิ์ ทิพย์จรรยาวัฒน์ ที่วันนี้กลายเป็นคุณแม่ยังสาวในวันนี้ ก็ได้ส่งลูกสาว 2 คนมาเรียนที่กุ๊กไก่ด้วยคือด.ญ.สิรีน รอดเจริญพันธ์ (มินมิน) ขณะนี้เรียนอยู่ชั้น อนุบาล 2 และด.ญ.อาภาสิริ ทิพย์ชโยดม (ฟางฟาง) ขณะนี้อยู่ระดับเตรียมอนุบาล เล่าว่า ตนเองประทับใจโรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่มากตั้งแต่สมัยเรียน เพราะที่นี่ไม่ได้สอนให้เก่งที่สุดในสังคม แต่สอนให้รู้จักเอาตัวรอด ตรงนี้มีประโยชน์กับการใช้ชีวิตประจำวันในอนาคตอย่างมาก เมื่อส่งลูกเข้ามาเรียนแล้วก็ยิ่งประทับใจขึ้นอีก เพราะเห็นการดูแลเด็กเล็กที่นี่ดีมาก และลูกมีพัฒนาการที่ดี โดยเฉพาะความกล้าแสดงออกที่โรงเรียนจะจัดให้เด็กทุกคนได้แสดงละครทุกปี การทำสมุดสื่อสารส่วนตัวระหว่างผู้ปกครองและครู และการเรียนการสอนแบบ project approach ซึ่งทำให้เห็นว่าครูที่นี่ทำงานหนักมาก และรู้เลยว่าตัดสินใจไม่ผิด ความประทับใจของครอบครัวทั้ง 4 ครอบครัวต่อโรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่ โรงเรียนอนุบาลเล็กๆ ที่แสนอบอุ่นแห่งนี้ แม้จะเป็นแค่เพียงความทรงจำเศษเสี้ยวเล็กๆ ในชีวิตหนึ่งของเขาเหล่านั้น แต่ก็กล่าวได้ว่า “อนุบาลกุ๊กไก่ โรงเรียนที่แสนอบอุ่นแห่งนี้ได้เข้าไปอยู่ในใจของพวกเขาอีกนานแสนนาน” ซึ่งแม้จะมีเงินมีทองมากมาย มีฐานะครอบครัวที่จัดว่าอยู่ในขั้นที่เลือกที่จะให้บุตรหลานเรียนในโรงเรียนนานาชาติได้อย่างสบายๆ แต่ครอบครัวเหล่านี้ก็ยังเลือกโรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่ โรงเรียนวิถีไทยด้วยความไว้วางใจตลอด 30 กว่าปีที่ผ่านมา
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณปิยวรรณ อนันต์เวทยานนท์ บริษัท บ้านพีอาร์ จำกัด โทร. 02 292-9383 หรือ 081 9441972

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ