กรุงเทพฯ--15 ก.ย.--เอเนอร์จี้
หลังจากที่ได้มีการนำเสนอผลวิจัยจาก วายแอนด์อาร์รีเฟกเตอร์ 1 (Y&Reflector(C)1) ของ เอเนอร์จี้ หน่วยงานที่ปรึกษาเรื่องการสร้างแบรนด์ของบริษัท Y&R ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เอเนอร์จี้ ได้จัดทำวิจัยต่อเนื่องเกี่ยวกับผู้บริโภค ภายใต้ชื่อ วายแอนด์อาร์รีเฟกเตอร์ 2 (Y&Reflector(C) 2) เพื่อทำการศึกษาวิจัยความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับทัศนคติ ความเชื่อ ความสนใจ และความเป็นไปของคนในสังคม โดยทำการศึกษาผู้ที่อาศัยในกรุงเทพมหานคร ทุกๆ 3 เดือน จำนวน 300 ตัวอย่างต่อหนึ่งรอบของการเก็บข้อมูล โดยผลการวิจัยรอบล่าสุด ซึ่งเก็บข้อมูลในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2551 นั้น มีรายละเอียดเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของผู้บริโภค พฤติกรรมในช่วงวันหยุด พฤติกรรมการจับจ่ายซื้อสินค้า ตลอดจนข้อมูลด้านโฆษณาจากมุมมองของผู้บริโภคในกรุงเทพฯ อันพอสรุปโดยสังเขปได้ดังนี้
สถานการณ์ผู้บริโภค
จากผลวิจัยในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม เปรียบเทียบกับเดือนเมษายนที่ผ่านมา พบว่า คนกรุงเทพฯ มีความพึงพอใจกับสภาพชีวิตในปัจจุบันลดลงถึงร้อยละ 14 โดยมีความกังวลใจที่สูงขึ้นในเรื่องปัญหาการเงินและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น ตามมาด้วยปัญหาเรื่องเศรษฐกิจและการเมือง ปัญหาสุขภาพ และปัญหาเรื่องงาน ตามลำดับ
ผลวิจัยพบว่าในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ผู้บริโภคกรุงเทพฯ มีความกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องการเงินเพิ่มสูงขึ้นเกือบเท่าตัว ซึ่งเพิ่มจากร้อยละ 23 เป็นร้อยละ 45 จากสาเหตุความกังวลในเรื่องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ความกังวลเกี่ยวกับปัญหารายได้ที่ไม่แน่นอนหรือไม่มั่นคง และความกังวลในเรื่องหนี้สินที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนเป็นภาพเดียวกับความกังวลในด้านเศรษฐกิจและการเมืองซึ่งเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 18 เป็นร้อยละ 37 จากสาเหตุปัญหาค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศที่ขาดความมั่นคง ในขณะที่ความกังวลในเรื่องสุขภาพ และความกังวลในเรื่องหน้าที่การงานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากช่วงไตรมาสที่ผ่านมาเช่นเดียวกัน
กิจกรรมในวัน เสาร์ - อาทิตย์ ของผู้บริโภคกรุงเทพฯ
จากผลการศึกษากิจกรรมของผู้บริโภคกรุงเทพฯ ในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ทำกิจกรรมในช่วงวันหยุดที่บ้าน โดยกิจกรรมชมโทรทัศน์เป็นกิจกรรมที่ผู้บริโภคทำมากที่สุดถึงร้อยละ 78 ตามมาด้วย การฟังวิทยุ-ฟังเพลง (55%) การนอนพักผ่อน (53%) และ การคุยโทรศัพท์ (41%) ตามลำดับ ในขณะที่กิจกรรมที่ผู้บริโภคนิยมทำที่นอกบ้านในช่วงวันหยุด คือ ไปชมภาพยนตร์ (37%) ช็อปปิ้ง (35%) ทานอาหาร (33%) และท่องเที่ยวธรรมชาติ (20%)
นอกจากนี้ผลวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า กิจกรรมส่วนใหญ่ที่ผู้ชายและผู้หญิงเลือกทำในวันหยุดมีความต่างกัน โดยผู้ชายเลือกทำกิจกรรมที่บ้านในช่วงวันหยุด เช่น ชมโทรทัศน์ ฟังเพลง นอน เล่นอินเตอร์เน็ต โดยกิจกรรมนอกบ้านที่ผู้ชายทำมากกว่าผู้หญิงคือ เล่นกีฬา และเที่ยวกลางคืน ในขณะที่กิจกรรมที่ผู้หญิงทำมากกว่าผู้ชายส่วนมากเป็นกิจกรรมนอกบ้าน อันได้แก่ การช็อปปิ้ง ไปชมภาพยนตร์ ไปเสริมสวย โดยกิจกรรมที่ทำที่บ้าน คือ ทำงานบ้าน อ่านหนังสือ และทำอาหาร ส่วนกิจกรรมที่ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายทำในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันคือการคุยโทรศัพท์ ทานอาหาร เล่นอินเตอร์เน็ต ปลูกต้นไม้ และท่องเที่ยวธรรมชาติ
นอกจากนี้ผลวิจัยยังพบว่า ผู้บริโภคในช่วงวัยที่ต่างกันมีกิจกรรมวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ต่างกันไป โดยกลุ่มวัยรุ่น นักศึกษา และวัยทำงานตอนต้น มักจะใช้เวลาวันหยุดในการคุยโทรศัพท์ ฟังเพลง เล่นอินเตอร์เน็ต ไปชมภาพยนตร์ ในขณะที่ผู้บริโภควัยผู้ใหญ่ตอนกลางถึงตอนปลายใช้เวลาส่วนใหญ่ในการทำงานบ้าน ทำอาหาร ช็อปปิ้ง ไปวัด และปลูกต้นไม้ อย่างไรก็ตาม การชมโทรทัศน์ และการนอนพักผ่อน ยังเป็นกิจกรรมที่บริโภคกรุงเทพฯ ทุกเพศทุกวัย ทำในช่วงวันหยุด
สถานที่ที่ผู้บริโภคกรุงเทพฯไปในวันหยุดเสาร์ — อาทิตย์
หลังจากที่ทำการศึกษาเพิ่มเติมถึงสถานที่นอกบ้านที่ผู้บริโภคกรุงเทพฯ เลือกไปในวันเสาร์ — อาทิตย์ พบว่าผู้บริโภคร้อยละ 80 เลือกไปตามแหล่งช็อปปิ้ง ตามมาด้วยไปบ้านเพื่อน (47%) ไปชายทะเล (38%) ไปร้านอาหาร (36%) และไปร้านเสริมสวย-ร้านทำผม (34%)
แหล่งช็อปปิ้งของผู้บริโภคกรุงเทพฯ
ผลวิจัยชี้ให้เห็นว่า 7-Eleven เป็นร้านค้าปลีกที่ผู้บริโภคกรุงเทพฯ ไปใช้บริการมากที่สุด ตามมาด้วย เทสโกโลตัส เดอะมอลล์ บิ๊กซี และคาร์ฟูล ตามลำดับ ซึ่งหากมองจากแนวโน้มการซื้อสินค้าของผู้บริโภคพบว่า ร้านสะดวกซื้อเป็นช่องทางการจัดจำหน่ายที่เริ่มมีบทบาทต่อชีวิตคนเมืองอย่างมาก ดังจะเห็นได้ว่าจากความสำเร็จผ่านการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องและเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดของ 7-Eleven ทำให้ร้านค้าปลีกรายอื่นๆ เริ่มปรับภาพลักษณ์และกลยุทธ์ในการเพิ่มช่องทางความสะดวกแก่ลูกค้าให้มากขึ้น จากที่พบว่า เทสโก้โลตัส บิ๊กซี และท็อปส์ เริ่มมีการขยายช่องทางในรูปแบบร้านสะดวกซื้อเพิ่มมากขึ้น เพื่อตอบรับกับสถานการณ์การบริโภคของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
นอกเหนือจากความสะดวกแล้ว ความหลากหลายของสินค้าและบริการ รวมถึงบรรยากาศของร้านค้าปลีกหรือแหล่งช็อปปิ้ง ยังคงเป็นเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคใช้ในการตัดสินใจเลือกแหล่งจับจ่าย ดังนั้น การสร้างทางเลือกที่หลากหลายและตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายยังเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มยอดผู้ใช้บริการของในร้านค้าปลีก
ผู้บริโภคกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ยังคงเลือกใช้จ่ายด้วยเงินสด (79%) ในขณะที่ผู้บริโภคร้อยละ 21 ใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิต ทั้งนี้กลุ่มผู้บริโภคในช่วงอายุ 40-49 ปี เป็นกลุ่มที่มีพฤติกรรมการใช้บัตรเครดิตมากที่สุด (40%) ตามมาด้วยกลุ่มอายุ 23 — 39 ปี และ 50 — 59 ปี ตามลำดับ
นอกจากนี้ผลการวิจัยยังพบว่า ผู้บริโภคถึงร้อยละ 60 ที่แม้จะมีการวางแผนก่อนการไปซื้อสินค้า แต่ผู้บริโภคมักจะซื้อสินค้ากลับมามากกว่าที่วางแผนไว้ และผู้บริโภคร้อยละ 52 ที่สินค้ากลับมาทุกครั้ง แม้จะไม่ได้ตั้งใจจะไปซื้อสินค้า ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่มีการวางแผนในการซื้อสินค้า และสามารถถูกแรงกระตุ้น ณ จุดขายในการผลักดันให้เกิดพฤติกรรมซื้อสินค้าได้โดยง่าย
หลังจากที่ได้ศึกษาถึงสถานการณ์ของผู้บริโภคและพฤติกรรมการจับจ่ายของผู้บริโภคแล้ว เราได้ศึกษาถึงแนวโน้มการเปิดรับสื่อของผู้บริโภค โดยพบว่าไทอินโปรแกรม (Tie-in Program) หรือการสอดแทรกโฆษณาในรายการต่างๆ อาทิ ป้ายผู้สนับสนุนรายการ สินค้าที่ใช้ประกอบฉาก และโฆษณาในรายการโดยการทำเป็นสกู๊ป เริ่มได้รับความสนใจจากผู้บริโภคมากขึ้น โดยผู้บริโภคมองว่าการนำเสนอดังกล่าวมีความน่าสนใจและเป็นวิธีสร้างสรรค์ในการนำเสนอเรื่องราว โดยที่วิธีการโฆษณาในรายการโดยการทำเป็นสกู๊ป หรือให้พิธีกร ผู้ดำเนินรายการ พูดถึงตัวสินค้าและสอกแทรกข้อมูลสินค้า เป็นวิธีที่ผู้บริโภคให้ความสนใจมากที่สุด (65%)
การเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งทาง เอเนอร์จี้ จะยังคงติดตามต่อไป โดยหวังว่าจะมีโอกาสนำเสนอผลวิจัยที่เป็นตัวสะท้อนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจาก วายแอนด์อาร์รีเฟกเตอร์ 3 (Y&Reflector(C) 3) ต่อไป
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
คุณ โอลิเวอร์ กิตติพงษ์ วีระเตชะ
Vice President, Director of Idea Strategy & Brand Consultant
ENERGY - A Division of Young & Rubicam Brands
Strategic Brand Communications Consultants
989 Siam Tower, 17th Floor, Rama 1 Road
Patumwan, Bangkok 10330, Thailand
Tel : +662.658.0999 ext 550
Fax : +662.658.0995