ก.ล.ต. ชี้แจงกรณีถูกกล่าวหาใช้สองมาตรฐานในการถอนชื่อผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน

ข่าวทั่วไป Wednesday November 1, 2006 11:47 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--1 พ.ย.--ก.ล.ต.
ตามที่ปรากฏการให้ข่าวของนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในกรณีที่ ก.ล.ต. ถอดถอนรายชื่อผู้บริหาร 4 รายของ บมจ. ทีพีไอ โพลีน (TPIPL) แต่ ก.ล.ต. ไม่ใช้มาตรฐานเดียวกันนี้กับคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการของ บมจ. อุตสาหกรรมปิโตรเคมิกัลไทย (TPI) ในกรณีจ่ายเงินย้อนหลังและการเบิกเงินของบริษัท ซินเนอจี โซลูชั่น จำกัด ที่ทำให้เกิดความเสียหายให้แก่บริษัท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นั้น
ก.ล.ต. ขอชี้แจงว่า ระบบข้อมูลรายชื่อผู้บริหารเป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณาคุณสมบัติของผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นไปตามประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ กจ. 5/2548
เรื่อง ข้อกำหนดเกี่ยวกับผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ ลงวันที่ 17 มกราคม 2548 โดยประกาศดังกล่าวกำหนดให้บริษัทที่ขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ต่อ ก.ล.ต. ต้องแสดงชื่อผู้บริหารของบริษัทไว้ในระบบ นอกจากนั้น ยังเปิดให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ที่ประสงค์จะขอแสดงชื่อผู้บริหาร สามารถส่งชื่อผู้บริหารเข้ามาในระบบได้ด้วย ทั้งนี้ ในเรื่องที่ผู้บริหารถูกกล่าวโทษหรือฟ้องร้องดำเนินคดีซึ่งมีผลต่อการแสดงชื่อในระบบดังกล่าว แยกเป็นสองลักษณะ ดังนี้
1. กรณีถูกกล่าวโทษหรือถูกดำเนินคดีอาญาโดยหน่วยงานที่มีอำนาจตามกฎหมาย (ซึ่งได้แก่ ก.ล.ต. ธนาคารแห่งประเทศไทย กรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นต้น) ในความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ หรือการบริหารงานที่มีลักษณะเป็นการหลอกลวง ฉ้อฉล หรือทุจริต ก.ล.ต. จะนำชื่อผู้บริหารรายดังกล่าวออกจากระบบข้อมูลเมื่อมีการกล่าวโทษหรือดำเนินคดี
2. กรณีร้องทุกข์ กล่าวโทษ หรือถูกฟ้องร้องหรือดำเนินคดีโดยเอกชน ก.ล.ต.
จะพิจารณาว่า ผู้บริหารรายดังกล่าวมีลักษณะต้องห้ามเนื่องจากถูกดำเนินคดีอาญาโดยหน่วยงานที่มีอำนาจตามกฎหมาย เมื่อกระบวนการดำเนินมาถึงขั้นตอนที่มีการแจ้งข้อกล่าวหา หรือการชี้มูลความผิดโดยหน่วยงานทางการ เช่น ตำรวจ หรือ ป.ป.ช. และจากนั้น ก.ล.ต. จึงจะถอนชื่อผู้บริหารรายที่ถูกหน่วยงานทางการแจ้งข้อกล่าวหา หรือชี้มูลความผิดดังกล่าว
กรณีที่นายประชัยยกขึ้นในการให้ข่าวสองกรณีข้างต้นไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกันได้ เนื่องจากกรณีผู้บริหารของ TPIPL 4 ราย เป็นการสั่งฟ้องโดยกรมสอบสวนคดีพิเศษและอัยการ ซึ่งเข้าลักษณะตามข้อ 1 ส่วนกรณีคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูของ TPI ซึ่งถูกฟ้องร้องโดยเอกชนเข้าลักษณะตามข้อ 2 ซึ่งขณะนี้ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ป.ป.ช. ได้ชี้มูลความผิดแล้ว รายชื่อของผู้บริหารรายดังกล่าวจึงยังคงอยู่ในระบบรายชื่อข้อมูลผู้บริหาร
ก.ล.ต. จึงขอชี้แจงทำความเข้าใจและขอยืนยันถึงการดำเนินการที่ไม่เคยมีการเลือกปฏิบัติหรือใช้สองมาตรฐานตามที่มีการกล่าวหาแต่อย่างใด

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ