กรุงเทพฯ--17 ก.ย.--กบข.
คณะทำงานเพื่อศึกษาแนวทางปรับปรุงสูตรการคำนวณบำนาญ กบข. จะเสนอให้สถาบันการศึกษาหรือนักวิจัยมาวิจัยการปรับสูตรคำนวณบำนาญ กบข.ใหม่
นายมนัส แจ่มเวหา รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยเกี่ยวกับการพิจารณาเพื่อหาแนวทางการปรับสูตรคำนวณ กบข.ใหม่ ว่า เรื่องนี้การประชาสัมพันธ์ในช่วงเริ่มก่อตั้ง กบข. เป็นการให้ข้อมูลและเสนอทางเลือกใหม่ ภายใต้สมมติฐานที่เป็นการประมาณในอนาคต ก็มีคนเห็นด้วยสมัครเข้าเป็นสมาชิกและไม่สมัครเข้าเป็นสมาชิก จากฐานข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 — 2551 มีข้าราชการสมัครเป็นสมาชิก กบข. จำนวน 72,116 คน และไม่เป็นสมาชิก กบข. จำนวน 35,835 คน (หากนำข้อมูลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 — 2545 มารวมจะมีจำนวนเพิ่มขึ้น) โดยการสมัครเป็นสมาชิก กบข. หรือไม่เป็น ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจการตัดสินใจของข้าราชการแต่ละคน ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 มาตร 36 ซึ่งบัญญัติว่า “บุคคลต่อไปนี้จะสมัครเป็นสมาชิกก็ได้...” และตามระบบบำเหน็จบำนาญแบบเดิม เป็นเรื่องที่ต้องเลือกรับบำเหน็จหรือบำนาญเท่านั้น หากเลือกรับบำเหน็จแล้วอายุยืนยาวนาน บำเหน็จที่ได้รับอาจไม่เพียงพอก็จะต้องพยายามบริหารให้เพียงพอ ถ้าหากเลือกรับบำนาญแต่เกิดอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยและเสียชีวิตเร็วก็จะเสียประโยชน์มาก บางรายหลังเกษียณ 2-3 เดือน เสียชีวิต ก็จะเสียประโยชน์เพราะได้เงินน้อยกว่าบำเหน็จเสียอีก ดังนั้นจึงมีความเสี่ยง แต่ กบข. เป็นทางเลือกใหม่เพิ่มขึ้น
นายมนัส แจ่มเวหา กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องพิจารณาอย่างเป็นระบบ กรมบัญชีกลางได้ตั้งคณะทำงานฯ ซึ่งได้พิจารณาเปรียบเทียบความแตกต่าง โดยนำข้อมูลของผู้ที่ออกจากราชการ และเป็นสมาชิก กบข. เมื่อปี งบประมาณ 2550 ซึ่งมีจำนวน 8,518 คน มาคำนวณเงินก้อนที่ได้รับและเงินบำนาญ เปรียบเทียบกับเงินบำนาญสูตรเก่า เพื่อหาเงินบำนาญที่เป็นส่วนต่างของทั้ง 2 กลุ่มว่าเป็นเงินเท่าไร โดยมีสมมติฐานว่า ผู้ที่ได้รับเงินก้อนสามารถนำไปลงทุนได้ผลตอบแทนเท่ากับดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปี และผู้รับบำนาญมีชีวิตอยู่ต่อตามอายุเฉลี่ยของสำนักงานสถิติแห่งชาติ จากนั้นจะนำเงินจำนวนดังกล่าว มาคำนวณเปรียบเทียบกับเงินประเดิม เงินสะสม เงินสมทบ เงินชดเชย และดอกผลที่เกิดขึ้น ว่าเงินทั้งหมด ที่ได้เพิ่มเติมจาก กบข. สามารถใช้จ่ายไปได้ เป็นเวลาเท่าใด มากกว่าหรือน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิก ซึ่งจากผลที่คำนวณได้ในเบื้องต้น มีคนได้ประโยชน์มากกว่าประมาณ 40% และได้ประโยชน์น้อยกว่าประมาณ 60%
นายมนัส แจ่มเวหา กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 2 ก.ย. คณะทำงานซึ่งมีตนเป็นประธาน ได้ประชุมกันและมีข้อสรุปเรื่องนี้ว่า เนื่องจากตามผลการคำนวณในเบื้องต้นมีคนได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ และเรื่องนี้จะมีผลกระทบต่อระบบค่าตอบแทนภาครัฐและผูกพันงบประมาณเป็นจำนวนมาก จึงมีหลักคิดในการดำเนินการคือ ไม่เพิ่มประโยชน์ให้คนได้ประโยชน์อยู่แล้ว แต่ชดเชยเฉพาะคนเสียเปรียบ ซึ่งจะต้องพิจารณากันอย่างรอบคอบ อย่างไรก็ดี เรื่องนี้เป็นเรื่องการพิจารณาว่าจะต้องปรับสูตรอย่างไร ใช้เงินงบประมาณเท่าไหร่ และคนที่ออกไปแล้วจะมีแนวทางดำเนินการอย่างไร เท่ากับต้องสำรวจแฟ้มข้อมูลของผู้รับบำนาญเกือบ 1 แสนคน ที่มีเวลาราชการและเงินเดือน แตกต่างกัน และต้องทดลองใช้สูตรต่าง ๆ คำนวณ เพื่อให้เป็นกลาง มีความโปร่งใส กรมบัญชีกลางจะไม่เป็นผู้พิจารณาเอง แต่จะจ้างสถาบันการศึกษาหรือนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อวิเคราะห์ วิจัย ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาในการวิจัยประมาณ 6 เดือน และหลังจากนั้นหากพบว่ามีการเสียเปรียบกันจริง โดยพิจารณาในแง่มุมต่าง ๆ แล้ว ก็จะได้นำเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาต่อไป