กรุงเทพฯ--18 ก.ย.--มาสเตอร์ มายด์ คอมมูนิเคชั่น
ผู้บริหาร IHL มั่นใจครึ่งปีหลังออเดอร์สูงกว่าครึ่งปีแรกอย่างชัดเจน เหตุเป็นช่วงการออกตัวรถรุ่นใหม่ของค่ายต่างๆ คุยแค่ Camry โฉมใหม่รุ่นเดียวก็มีออเดอร์เพิ่ม 50% จากเดือนก่อน แจงล้างขาดทุนสะสมหมดแล้ว มั่นใจมีจ่ายปันผลได้ไม่น้อยกว่า 40 % ของกำไรแน่นอน
นายองอาจ ดำรงสกุลวงษ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์ไฮด์ จำกัด (มหาชน) หรือ IHL เปิดเผยว่า แม้ผลประกอบการในไตรมาสแรกและไตรมาสที่ 2 ของบริษัทฯ ที่ออกมาจะชะลอตัวลงไปบ้าง แต่ไตรมาสที่ 3 จะเริ่มดีขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงที่บริษัทฯ ได้รับงานต่างๆ เข้ามาเพิ่มขึ้น รวมไปถึงค่ายรถใหญ่ๆ เริ่มที่จะออกมาแข่งขันกันอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ๆ ที่ตอนนี้ก็เริ่มมีข่าวออกมาแล้วจากหลายๆ ค่าย และคาดว่าจะเห็นภาวะการแข่งขันอย่างชัดเจนที่สุดในไตรมาสที่ 4 เพราะเป็นช่วงฤดูกาลขาย จึงมั่นใจว่าตลาดรถในช่วงท้ายปีนี้ น่าจะยังมีความคึกคักอยู่ ทำให้มียอดสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่มีมาตั้งแต่ต้นปีจึงไม่น่าจะส่งผลต่อยอดขายที่กำลังจะพุ่งขึ้นของบริษัทฯในช่วงเวลาดังกล่าว
นายองอาจ กล่าวว่า ล่าสุดบริษัทฯ ได้รับงานผลิตเบาะที่นั่ง ให้กับรถยนต์รุ่น Camry โฉมใหม่ ของค่าย TOYOTA ซึ่งนับเป็นรุ่นที่มีผลต่อยอดขายของบริษัทฯ พอสมควร เพราะเพียงแค่การผลิตเบาะให้กับรถรุ่นนี้ บริษัทก็ได้งานการผลิตประมาณ 4,000 คันต่อเดือน คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มมาจากรถรุ่นนี้ประมาณ 50% จากรายได้เดิมของบริษัทต่อเดือน โดยทราบมาว่ารถรุ่นนี้ เมื่อ TOYOTA เปิดให้ลูกค้าจอง ก็มียอดจองเข้ามาถึง 3,000 คันแล้ว
“ขณะนี้ทางโรงงานของเรากำลังเดินเครื่องเพื่อผลิตอย่างเต็มที่ ประมาณ 90% ของกำลังการผลิตเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของรถรุ่นใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในช่วงไตรมาสที่ 3-4 นี้ ส่วนรถรุ่นเดิมก็ยังคงมีออเดอร์เข้ามาเป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่อง” นายองอาจกล่าว
ทั้งนี้ รถยนต์ Camry ดังกล่าวเป็นการผลิตเพื่อขายทั้งในประเทศไทยและส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศออสเตรเลีย ซึ่งถือเป็นที่นิยมของลูกค้าเป็นจำนวนมาก และยังศูนย์กลางในการส่งรถไปจำหน่ายในประเทศอื่นในภูมิภาคนี้ นอกจาก Camry แล้ว บริษัทยังมีรถยนต์มิตซูบิชิ และรถยนต์ของค่ายอื่นๆ ที่กำลังจะทยอยเปิดตัวในไตรมาสท้ายๆ ของปี ตามมาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีคำสั่งซื้อของลูกค้าจากต่างประเทศเข้ามาเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นทั้ง อเมริกา อินโดนีเซีย เวียดนาม และ ฟิลิปปินส์ เป็นต้น ซึ่งบริษัทฯจะเริ่มทำการส่งสินค้าให้กับกลุ่มประเทศดังกล่าวในเดือนหน้านี้ บริษัทฯ จึงมีแผนขยับสัดส่วนการส่งออกเพิ่มขึ้นจาก 8% ในปีก่อนเป็นกว่า 25% ในปีนี้ และเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 30% ในปีถัดไป ขณะเดียวกันก็ปรับลดสัดส่วนในประเทศลงจากกว่า 90% เหลือประมาณ 75% เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงภาวะอุตสาหกรรมภายในประเทศลง และเป็นการขยายฐานตลาดจากการยอดรับภายในประเทศไปสู่ระดับสากลต่อไป
“ตอนนี้บริษัทมีงานทยอยเข้ามาอย่างหนาแน่น ทั้งงานเก่าและงานใหม่ รวมทั้งช่วงไตรมาสที่3 และ4 ของปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่มีรถรุ่นใหม่ๆออกมามาก จึงทำให้คำสั่งซื้อในช่วงเวลานี้มีมากกว่าครึ่งปีแรกอย่างชัดเจน ” นายองอาจกล่าวและเสริมด้วยว่า สำหรับปีนี้ บริษัทฯ ได้มียอดคำสั่งซื้อจากลูกค้าในไตรมาสที่ 3 เพิ่มขึ้นประมาณ 50% จากยอดคำสั่งซื้อของไตรมาสที่ 2 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 4,000 - 5,000 คันต่อเดือน และในไตรมาสที่ 4 มั่นใจว่ายอดการสั่งชื้อจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว เพราะเป็นช่วงที่มีรถรุ่นใหม่จากหลายค่ายที่น่าสนใจออกมา โดยลูกค้าหลักยังคงเป็นโตโยต้า นิสสัน และฟอร์ด ตามลำดับ
นอกจากนั้น ในปีที่ผ่านมาบริษัทฯได้ทำการล้างขาดทุนสะสมจนหมดแล้ว ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีกำไรสะสมเพียงพอในการจ่ายเงินปันผลผู้ถือหุ้น โดยปีนี้บริษัทฯมีความพร้อมที่จะจ่ายเงินปันผล ตามนโยบายไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคณะกรรมการบริษัทฯ เป็นสำคัญ
อย่างไรก็ดี ในไตรมาสที่ 2 บริษัทฯมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 0.84 เท่า และในไตรมาสที่ 3 คาดว่า D/E จะลดลงอย่างต่อเนืองจากผลประกอบการที่ดีขึ้น โดยทั้งปีบริษัทจะพยายามรักษา D/E ไว้ให้ไม่เกินระดับนี้ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในอนาคต และจากการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดของคำสั่งซื้อ ประกอบกับการเพิ่มประสิทธิภาพในการลดต้นทุนด้านอื่น ๆ จะทำให้กำไรขั้นต้นซึ่งเดิมอยู่ที่ 17-18 % เพิ่มขึ้นตามลำดับเช่นกัน
ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ กฤติยาพร พลตรี ( บุ๋ม )
โทร ..0-2643-1191-2 , 08-9636-8414
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net