กรุงเทพฯ--22 ก.ย.--แอสเซท พลัส
บลจ.แอสเซท พลัส เผยกองทุนภายใต้การจัดการทั้งหมดของบริษัทไม่ได้ลงทุนในเลห์แมน บราเธอร์ และสถาบันการเงินที่มีปัญหา คาดการณ์ภาวะตลาดระยะสั้นยังผันผวนจากความวิตกกังวลผลกระทบจากปัญหาสถาบันการเงิน แนะผู้ลงทุนถือครองเงินสดหรือตราสารความเสี่ยงต่ำ เพื่อรอความชัดเจนและจังหวะเหมาะช่วงตลาดปรับฐาน ลงทุนในหุ้นปัจจัยพื้นฐานที่ให้ผลตอบแทนดี
นางลดาวรรณ เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ในสภาวะการลงทุนปัจจุบันมีความผันผวนจากปัญหาทางด้านการเงินของสถาบันการเงินขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะข่าวการประกาศล้มละลายและพิทักษ์ทรัพย์ของเลห์แมน บราเธอร์ การเข้าถือหุ้นในเมอร์ริล ลินซ์ ของแบงก์ ออฟ อเมริกา และการขอกู้เงินระยะสั้นเพื่อเสริมสภาพคล่องของ AIG ซึ่งส่งผลให้ผู้ลงทุนมีความกังวลในเรื่องของสถานการณ์การลงทุนที่มีผลกระทบต่อสถานะการลงทุนของกองทุนรวมทั้งอุตสาหกรรม โดยมีการสอบถามเข้ามายังสมาคมอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ทางการสหรัฐได้ประกาศมาตรการฉุกเฉินในการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินด้วยงบประมาณ 700,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ เพื่อแก้ไขหนี้เสียภาคอสังหาริมทรัพย์และปัญหาสถาบันการเงินที่เกิดขึ้น ซึ่งถือว่าสามารถฟื้นความเชื่อมั่นในการแก้ปัญหาได้ โดยตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นตอบรับมาตรการการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ในส่วนของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส กองทุนภายใต้การจัดการทั้งหมดของบริษัทฯ ไม่ได้ลงทุนในตราสารหรือหลักทรัพย์ที่มีความเกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินต่างประเทศที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ด้านการเงินดังกล่าวแต่อย่างใด ซึ่งบริษัทฯ ได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ลงทุนทราบ เพื่อคลายความกังวลในเรื่องดังกล่าวแล้ว
“ในด้านพอร์ตการลงทุนของบริษัทฯ จะค่อนข้างเข้มงวดในการเลือกตราสารหรือบริษัทที่จะเข้าลงทุน จากการมีคณะกรรมการการลงทุนเป็นผู้พิจารณาตราสารแต่ละตัวก่อนการอนุมัติให้ลงทุนได้ ซึ่งเป็นนโยบายการบริหารกองทุนแบบอนุรักษ์นิยมตั้งแต่เริ่มจัดตั้งบริษัท โดยมีการพิจารณาอย่างสม่ำเสมอ ทำให้สามารถปรับพอร์ตการลงทุนได้ทันกับแนวโน้มการลงทุนแต่ละขณะ” นางลดาวรรณ กล่าว
ทั้งนี้ พอร์ตการลงทุนของบริษัทปัจจุบัน ในด้านการลงทุนของตราสารหนี้ได้ปรับการลงทุนโดยให้น้ำหนักในตราสารความเสี่ยงต่ำมากขึ้น และลดการลงทุนในตราสารที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงิน เพื่อรอดูความชัดเจน รวมถึงทยอยเข้าลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี โดยเน้นในหุ้นที่มีการปรับลดลงของราคาสวนทางกับปัจจัยพื้นฐานที่มี Active Return จากการอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นสูง
สำหรับคำแนะนำในการลงทุนช่วงนี้ นางลดาวรรณ ให้ความเห็นว่า หลังจากที่ตลาดปรับลดลงเมื่อสัปดาห์ก่อน และปรับตัวเพิ่มขึ้นจากตอบรับต่อการเข้าร่วมมือการแก้ปัญหาภาคการเงินสหรัฐจากธนาคารกลางต่าง ๆ ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นดังกล่าวอาจเป็นการตอบรับในระยะสั้นก่อน โดยคาดว่าตลาดจะยังคงติดตามความคืบหน้าของแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว และการฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุน
สำหรับตลาดหุ้นไทย นางลดาวรรณ มีความเห็นว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลายบริษัทเป็นบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งเพียงพอในการต้านทานกับความผันผวนต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในช่วงนี้ เช่น การมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ต่ำมาก สะท้อนให้เห็นว่าไม่มีการลงทุนเกินกว่าความสามารถของบริษัท ซึ่งถือเป็นสัญญานที่ดีว่าบริษัทจดทะเบียนไทยมีการปรับตัวในภาคการบริหารการดำเนินงานดีกว่าในอดีตที่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงิน ซึ่งคาดว่าหากปัจจัยลบต่าง ๆ คลี่คลายลงบริษัทเหล่านี้จะสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
“ในระยะสั้นผู้ลงทุนควรหลีกเลี่ยงการเก็งกำไร โดยเน้นลงทุนระยะยาวในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง ซึ่งมองว่าตลาดหุ้นไทยในระดับ P/E ปัจจุบันที่ 8 เท่าอยู่ในระดับที่สามารถรับปัจจัยลบต่าง ๆ ทั้งความวิตกกังวลของสถาบันการเงินต่างประเทศ และปัจจัยทางการเมืองในขณะนี้ได้ แต่สำหรับผู้ลงทุนที่มีกังวลในความผันผวนระยะสั้น ๆ ในช่วงนี้ ควรเน้นการถือครองเงินสดหรือลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาล อายุสั้น ๆ เพื่อรอดูทิศทางที่ชัดเจนอีกครั้ง” นางลดาวรรณ กล่าว
ในด้านแผนการเสนอขายกองทุนเพื่อรองรับสถานการณ์ในช่วงนี้ บริษัทฯ จะเสนอขายกองทุนพันธบัตรรัฐบาลไทย อายุประมาณ 6 เดือน ได้แก่ กองทุนเปิดแอสเซทพลัสพันธบัตรรัฐบาล 1 (Asset Plus Active Government Bond Fund 1 : ASP-ACGOV1) ซึ่งจะเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 24-30 กันยายน 2551 และรอบการลงทุนใหม่ของกองทุนเปิดแอสเซทพลัสพรีเมี่ยม 6M3 (Asset Plus Premium 6M3 Fund : ASP-P6M3) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ โดยในรอบการลงทุนใหม่ วันที่ 26 กันยายน 2551 จะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลประเทศเกาหลีใต้อายุประมาณ 6 เดือนและป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน
ทั้งนี้ คาดว่าจากผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยที่คาดว่าจะลงทุนหักค่าใช้จ่ายประมาณ 0.30% จะสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 3.50%* สำหรับกองทุน ASP-ACGOV1 และ 4.00%* เป็นอย่างน้อย สำหรับกองทุน ASP-P6M3
*ที่มา : สมาคมตลาดตราสารหนืไทยหรือผู้ขายตราสาร ณ 22 กันยายน 51 ทั้งนี้ หากสภาวะตลาดมีการเปลี่ยนแปลงไป ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่ระบุไว้
ข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ :
ส่วนประชาสัมพันธ์ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ
นิตยา เลิศแสงเพชร โทร. 02-672-1000 ต่อ 3314 อีเมล์: nittaya_le@assetfund.co.th
มุกพิม จุลพงศธร โทร. 02-672-1000 ต่อ 3308 อีเมล์: mookpim_ch@assetfund.co.th