“ภาพยนตร์สยองขวัญแนวจิตวิทยา ที่จะทำให้คุณลุ้นระทึกทุกนาที” Amusement

ข่าวบันเทิง Wednesday September 24, 2008 13:31 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--24 ก.ย.--สหมงคลฟิล์ม
Amusement คือ ภาพยนตร์สยองขวัญ 3 องค์ ที่นำไปสู่บทสรุปแห่งความสยองที่เหนือการคาดเดา
ขบวนคาราวาน ที่แปรเปลี่ยนเป็นการนองเลือด...
ปราสาทหลังใหญ่ กับคนที่หายไปอย่างลึกลับ...
แขกที่ไม่ได้รับเชิญในบ้านในแถบชานเมือง...
เหตุการณ์ทั้งสามเกิดขึ้นโดยที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน แต่สุดท้ายแล้ว มันก็ไปเชื่อมโยงกับการถูกกลั่นแกล้งในวัยเด็ก ที่ทุกคนได้ลืมไปแล้ว
“เกือบ” ทุกคน...
Amusement ถูกเล่าเรื่องด้วยความความตื่นเต้นและน่าสะพรึงกลัว มันเป็นการกลับมารวมตัวกันแบบไม่ได้นัดหมาย ของเพื่อนในสมัยเด็กสามคน ที่ต้องตกอยู่ท่ามกลางเขาวงกตที่ซับซ้อน โดยที่ทั้งทาบิธา (แคทเธอรีน วินนิต), เชลบี้ (ลอร่า เบร็คคินบริค) และลิซ่า (เจสสิก้า ลูคัส) ต่างก็ไม่รู้ตัวว่า พวกเธอถูกสะกดรอยตาม จนพวกเธอก็ได้ตกลงไปในหลุมพรางของผู้อยู่เบื้องหลังไปทีละคนสองคน และแปรเปลี่ยนสภาพของตัวเองให้กลายเป็นเหยื่อ มันนำมาซึ่งสถานการณ์ที่บีบบังคับ ที่แสดงให้เห็นถึงความกลัว การแก้แค้น และความสุขสนานที่เสียสติ
จากความทรงจำวัยเยาว์อันแสนโหดร้าย ซึ่งถูกนำมาเชื่อมโยงกับชะตาชีวิตของผู้หญิงสามคน ที่ถูกรุกรานโดยพลังงานอันชั่วร้าย Amusement คือภาพยนตร์สยองขวัญแนวจิตวิทยา เรื่องล่าสุดจากจาก Picture House และ New Line Cinema
โปรดักชั่น
นี้เป็นผลงานการกำกับของ จอห์น ซิมส์สัน (Freeze Frame) จากบทภาพยนตร์โดย เจค เวดด์ วอลล์ (When Stranger Calls, The Hitcher) Amusement อำนวยการสร้างโดย ไมค์ มาคาริ และ นีล อเดลสตีน ผู้ที่เคยอำนวยการสร้างให้กับ The Ring มาทั้งสองภาค และยังมีผู้ร่วมอำนวยการสร้างคือ อูดี้ เนดิวิ (Rocky Balboa)
นำแสดงโดย แคทธารีน วินนิค (Failure to Launch), ลอรา เบร็คคินบริค (จากซี่รี่ย์ Related) และเจสสิก้า ลูคัส (The Covenant) และมีร่วมแสดงโดย เคีย โอดอนเนลล์ (Wedding Crashers), แท็ด ฮิลเกนบริงค์ (American Pie Present Band Camp) และ รีด สก๊อต (จากซีรี่ย์ My Boys) Amusement คือการรวบรวมของเหตุการณ์อันน่าสยดสยองที่ดูแล้วอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด แต่มันก็เชื่อมโยงกับอดีตของสมัยที่พวกเธอเป็นนักเรียน
หนังยังได้ทีมงานชั้นเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับภาพมาร์ค การ์เร็ต (Freeze Frame) ผู้กำกับศิลป์ เครก สเติร์นส (Halloween, The Mask) และออกภาพเครื่องแต่งกายโดย แอนเดรีย เฟลส (Gloomy Sunday)
Amusement ถ่ายทำกันที่ เมืองบูดาเปส ประเทศฮังการี และบนซาวด์สเต็จใน ลอสแองเจลิส คาลิฟอร์เนีย
จุดเริ่มต้น
เจค เวดด์ วอลล์ ผู้เขียนบทภาพยนตร์ ได้เล่าถึงแรงบัลดาลใจ ในการเขียนเรื่องนี้ไว้ว่า "ผมรู้สึกสนใจที่จะรวมรวบเอาความกลัวในยุคสมัยนี้เข้าด้วยกัน โดยที่ยังคงมีจุดหักมุม ที่จะทำให้เรื่องนี้เกิดความสมบูรณ์และมีเหตุผล ซึ่งพอหนังเข้าสู่บทสุดท้าย ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็จะถูกเปิดเผย และไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่เป็นปริศนาหลงเหลืออยู่อีก"
"ผมหยิบเอาเรื่องของการทำสิ่งที่ไม่ดี โดยที่หวังผลเพียงแค่ความสนุกชั่วครู่ มาแสดงให้เห็นว่ามันน่ากลัวแค่ไหน ที่จะเห็นคนที่กำลังถูกทรมาณ แล้วรู้สึกสนุกไปกับมัน
"มันยังมีส่วนของการยกย่องถึงหนังสยองขวัญในยุค 70 และ 80 ผมรู้สึกสนุกกับมันมาก เพราะไม่มีใครทำมันออกมาอีกแล้ว เพราะหนังสยองขวัญในสมัยนี้นั้น มักจะเน้นกันที่ความรุนแรง ซึ่งมันทำให้ความกลัวของผู้คนลดลงไป เพราะความรุนแรงนั้น มันทำให้เราอยากเบือนหน้าหนี แต่ความตื่นเต้นหรือความกดดันนั้น มันจะทำให้ตาเราตรึงอยู่กับจอภาพ ผมอยากจะทำให้ผู้ชมมีความรู้สึก "กลัวแต่ไม่คลื่นไส้" กลับมาอีกครั้ง"
เขาได้ส่งบทภาพยนตร์ไปให้ทาง ไมค์ มาคาริ และ นีล อเดลสตีน ที่สนใจที่จะพัฒนาบทภาพยนตร์กับ วอลล์ มานานแล้ว โดยอเดลสตีน ก็ได้กล่าวว่า "ผมรู้สึกสนใจเรื่องนี้ ก็เป็นเพราะว่า มันคลี่คลายตัวเองในทางที่ผมไม่เคยคิดถึงมาก่อน ซึ่งมันก็สามารถทำให้คุณคาดเดาได้อยู่ตลอด เจคทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมในการพัฒนาบท และผสมผสานระหว่างความสยอง การแก้แค้น และความตื่นเต้น ความน่าสะพรึงกลัวนั้น จะเพิ่มขึ้นทุกๆนาทีที่หนังดำเนินไปข้างหน้า” และทางมาคาริ ก็ได้เสริมอีกว่า "ผมชอบมันตั้งแต่ 20 หน้าแรกแล้ว ผมรู้เลยว่าผมต้องการที่จะสร้างมัน ถึงแม้ว่าผมจะยังไม่รู้ว่าเรื่องว่า มันจะมุ่งหน้าไปทิศทางไหน”
ทั้งสามคน ก็ยังรู้สึดถูกตาต้องใจกับผู้กำกับดาวรุ่งคนหนึ่ง จอห์น ซิมส์สันคือผู้กำกับที่มีผลงานเรื่องแรกเรื่อง Freeze Frame โดยที่หนังรับเสียงชื่นชมไปไม่น้อย ทั้งในเรื่องของผลงานด้านภาพ และเอกลักษณ์ในการเล่าเรื่องที่ไม่เหมือนใคร มาคาริเล่าว่า "นีลและผมเคยดู Freeze Frame มาก่อนแล้ว ก็รู้สึกประทับใจกับความคิดสร้างสรรค์ของเขา และความสามารถในการเล่าเรื่องให้ดูน่าสนใจ พวกเรารู้ทันทีเลยว่า นี้เป็นโปรเจ็คที่น่าจะเหมาะกับเขา"
ทางด้านผู้กำกับ จอห์น ซิมศ์สันก็รู้สึกยินดีที่เขาได้รับการพิจารณา โดยที่ตัวเขาเองนั้น ก็เป็นแฟนเดนตายของหนังสยองขวัญเหมือนกัน เขากล่าวว่า "เจค พยายามที่จะหาอะไรใหม่ๆให้กับหนังแนวนี้ และผมก็รู้สึกผูกพันกับบทนี้ทันที ทั้งเนื้อเรื่องและธีมของหนัง ก็ถูกเรียงร้อยเข้าด้วยกันอย่างสวยงาม และที่น่าแปลกใจก็คือ มันมีความเป็นออริจินอลในตัวเองสูงจริงๆ"
The Convoy
“คู่รักวัยรุ่น เข้าร่วมแก๊งค์คาราวาน และการเดินทางที่อันตรายที่สุดในชีวิตของพวกเขา”
ในฉากขบวนคอนวอยที่น่าสะพรึงกลัวนี้ เบร็คคินบริค และ แม็ด ซึ่งเป็นคู่รักที่อยู่ระหว่างการเดินทาง ซึ่งนี้เป็นการถ่ายทำช๊อตแรกของภาพยนตร์ บนถนนไฮเวย์นอกกรุงงบูดาเปส ซึ่งการถ่ายทำนั้น ก็ต้องเกี่ยวข้องกับรถที่เคลื่อนไหว และยังต้องมีสตันท์ และฉากแอ็คชั่น ซึ่งอาการที่หนาวเหน็บ ทั้งหมอกและฝน ก็ทำให้การถ่ายทำนั้นยากขึ้น
เบร็คคินบริคเล่าว่า "ฉันต้องใส่เสื้อผ้าให้มากชั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พวกเราถ่ายทำกันบนถนนที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน ในช่วงกลางคืน แถมยังมีป่าที่ขึ้นอยู่โดยรอบอีก ฉันต้องพยายามทำตัวให้ดูเหมือนว่าอบอุ่นและดูสบายๆระหว่างการถ่ายทำ แต่จริงๆแล้วฉันต้องคอยกลั้นใจเอาไว้ไม่ให้สั่น"
มาคาริ ก็เล่าถึงเหตุการณ์นี้เหมือนกันว่า "พวกเราหวังว่าจะหลุดออกจากสภาพอากาศอันเลวร้ายนี้ ก่อนจะถึงช่วงเทศกาลคริสต์มาส แต่ไปๆมาๆ กลายเป็นว่าช่วงเดือนมากราคมเป็นช่วงที่อบอุ่นที่สุด และเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นเดือยที่เราถ่ายทำกันอยู่ตอนนั้น ก็กลายเป็นเดือนที่หนาวที่สุดในรอบปี "
และเมื่อฉากคอนวอยเริ่มต้น เชลบี้และแฟนหนุ่มของเธอ ที่ต่างก็ไม่มีความสุขจากการเดินทางซะเท่าไรนัก และมันก็ทำให้เธอรู้สึกอยากกลับบ้านให้เร็วที่สุด ในขณะที่ร๊อบ ก็พยายามที่จะให้คาราวานช่วยรีบเร่งใหเร็วกว่านี้ ซึ่งมันก็ทำให้เชลบี้ยิ่งอารมณ์เสียมากขึ้นไปอีก
เบร็คคินบริคเล่าว่า "เชลบี้เป็นคนที่เอาใจเขามาใส่ใจเรา แต่ค่อนข้างขี้ระแวง ในขณะที่ร๊อบเป็นคนที่อารมณ์ร้อน ซึ่งมันก็สร้างความกดดันให้กับพวกเขา "การเถียงกันของพวกเขา ก็แสดงให้เห็นถึงความแตกต่าง และจุดที่ความสัมพันธ์มาถึงทางแยก
“แต่ปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขานั้น มันเทียบไม่ได้เลยกับการที่พวกเขาต้องโดยสารไปกับขบวนคอนวอยที่ผิด”เนื่องจากว่าถนนเส้นนี้เป็นถนนเส้นใหม่ มันทำให้ทีมงานไม่สามารถจะทาสีบอกจุดลงไปได้ และต้องใช้เทปกาวในการทำมาร์คแทน ซึ่งมันก็เป็นกบวนการที่เสียเวลามาก ไม่เพียงเท่านั้น ผู้กำกับภาพ มาร์ค การร์เร็ต เองก็มีปัญหาส่วนตัวเหมือนกัน เพราะด้วยสถานที่การถ่ายทำนั้น เป็นฉากที่ใหญ่มาก ซึ่งมันก็ทำให้แสงมีไม่เพียงพอต่อความต้องการ แต่อย่างไรก็ตาม นีล เล่าว่า "ถึงแม้ว่าการถ่ายจะประสบกับความยากลำบากมากมาย แต่มันก็ทำให้ทีมงานทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันมากขึ้น"
ผู้เขียนบท เจค เวดด์ เล่าว่า "ฉากขบวนรถคอนวอยนั้น ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการที่ผมขับรถไป-กลับ ระหว่างลาส เวกัส กับ ลอส แองเจิลลิส มีบางครั้งที่ผมเดินทางร่วมกับคาราวาน เพราะว่ามันน่าอุ่นใจมากกว่าในการเดินทางเป็นกลุ่ม ผมแปลกใจเมื่อเห็นรถที่ออกจากปั้มน้ำมัน แล้วมีรถขับอื่นๆขับตามกันไป แต่ตอนที่แวะปั้มน้ำมัน มันก็ทำให้ผมมีความรู้สึกแปลกๆ เพราะพวกเราไม่เคยรู้จักกัน และต่างก็มีระดับทางสังคมที่แตกต่างกัน และเมื่อผมกลับเข้าไปในรถ ผมก็รู้สึกขนลุกกับไอเดียที่ต้องขับตามคนแปลกหน้า และก็ยิ่งเสียวสันหลังขึ้นไปอีกเมื่อเราต้องเชื่อใจพวกเขา"
สำหรับปั้มน้ำมันในเรื่อง Amusement ที่เป็นจุดพักรถของเชลบี้และร๊อบ เป็นผลงานการออกแบบโดย เคร็ก สเติร์น โดยเขาเล่าว่า “พวกเราโชคดีที่ทำมันให้น่าสนใจและสามารถใช้งานได้จริง และเราก็ยังสามารถหาโลเกชั่นที่เหมาะสมอีกด้วย ตรงที่มันอยู่ในป่าที่ดูวังเวง"
โดยเสติร์น ยังสร้างเพิงไม้เล็กๆใกล้ๆปั๊ม ที่ซึ่งคนขับรถบรรทุกปริศนา ใช้เป็นที่พักพิง หลังจากที่ออกไปสู่ถนนลูกรังบนไฮเวย์ และสเติร์นก็ยังได้ใช้ประโยขน์จากป่าในยุโรปกลาง ในช่วงก่อนฤดูหนาวอย่างเต็มที่ ที่ทั้งแสงสว่าง, เงา และต้นไม้ให้ความรู้สึกหลอนๆ
ผู้กำกับจอห์น ซิมส์ซัน ก็ได้กล่าวชมสเติร์นว่า "ฉากปั๊มน้ำมันให้ความรู้สึกที่ดีมาก มันเป็นฉากชอบที่สุดในหนังของผม และหลังจากหนังปิดกล้องแล้ว ผมยังอยากให้เขาเก็บฉากนั้นไว้เลย " และเขาก็กล่าวเสริมอีกว่า "เคร็ก มาร์ค และผมก็ช่วยกันพัฒนาการออกแบบฉาก และสีที่ใช้ โดยเราเลือกที่จะเล่นสีแดงและน้ำตาลเป็นหลัก"
The Intruder
ทาบิธาได้ยินเสียงสายฟ้าที่ฟาดลงมา ในขณะที่กำลังเลี้ยงหลานของเธอในบ้านแถบชานเมือง เธอไม่เพียงปวดหัวอยู่แล้วกับการรับมือเด็กซน แต่เธอก็ยังต้องเพิ่มความกลัวเข้าไปด้วย เมื่อใครบางคนเคาะประตูอยู่หน้าบ้าน...
จากการดำเนินเรื่องแสนคลาสสิค ที่พูดถึงพี่เลี้ยงเด็กที่ต้องอยู่ตัวคนเดียว กับเด็กน้อยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ก็ได้ถูกปรับให้ยิ่งบูดเบี้ยวกว่าเดิมใน Amusement จะทำให้สิ่งที่เด็กหลงใหล แปรเปลี่ยนเป็นการคุกคามอันน่าสะพรึงกลัว
แคทธารีน ที่เล่นเป็นทาบิธา เล่าว่า "เมื่อเธอส่งเด็กเข้านอนแล้ว ทาบิธาก็เริ่มกระวนกระวายมากขึ้น เพราะพายุที่ทำให้เธอกลัว และมะนก็ทำให้เธอคิดไปต่างๆนาๆ หรือว่าสิ่งที่เธอกำลังจินตนาการนั้นเกิดขึ้นจริง"
วอลล์เล่าว่า เขาได้อ้างอิงถึงตอนนี้ด้วยเรื่องเล่าหนึ่งส่วน และเรื่องจริงอีกสามส่วน "ผมรู้สึกแปลกใจกับจำนวนเรื่องจริงที่คนแปลกหน้าที่แอบอยู่ในบ้านคนอื่น แล้วไม่มีใครจับได้ มันเป็นเรื่องที่น่ากลัว เมื่อมีใครจับตามองคุณอยู่ โดยที่ไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริง และมันก็ทำให้คุณคิดไปถึงความเป็นไปได้ทุกๆอย่างที่เขาจะทำกับคุณ ในถานะนักเขียนแล้ว ผมเชื่อว่าการที่จะทำให้คนดูพึงพอใจ ไม่ใช่การกระทำ แต่เป็นความคาดหวังที่คนๆนั้นจะกระทำตะหาก"
ในฉากพี่เลี้ยงเด็กนั้น ถ่ายทำกันที่ซาวด์สเต็จ ในฟ๊อต ประเทศฮังการี โดยมีสามฉากใหญ่ๆด้วยกัน ชั้นบทและชั้นล่างของบ้าน ถูกสร้างแยกกันในฉากใหญ่ และฉากภายนอกบ้านนั้น ก็ถูกสร้างเพื่ออำนวยกับฉากต่อสู้ ที่ทาบิธาและเด็กต้องพยายามหนีออกมาจากทางหน้าต่าง บนชั้นสอง ซึ่งผู้ออกแบบสตันท์ร๊อบ คิง (Rob King) เล่าว่า "แคทธาลีนเป็นมวยและเป็นนักกีฬาอยู่แล้ว ดังนั้นเธอก็ทำมันได้อย่างสบาย เหมือนกับมีสตันท์ตัวจริง ซ่อนอยู่ใต้ผิวหนังของเธอเลย"
สเติร์นเล่าว่า "มันน่าสนใจที่จะต้องสร้างบ้านแบบคาลิฟอร์เนียใต้ ในบูดาเปส พวกเขาไม่มีเครื่องมือ หรืออุปกรณ์การออกแบบเหมือนกับอเมริกา เราจึงต้องไปหามาจากยุโรปตะวันออก และผลที่ออกมาก็น่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง"
The Pension
เมื่อสงสัยว่า แฟนหนุ่มและเพื่อนร่วมห้องของเธอที่หายไป จะอยู่ในปราสาทชำรุดทรุดโทรมที่ชื่อว่า "Pere's Pension" ซึ่งเธอก็ต้องพบกันความสยดสยองที่ตามมา...
สเติร์นได้ให้คำนิยามเกี่ยวกับ "Pere's Pension" เอาไว้ว่า "ที่ที่คุณจะไม่อยากอยู่ ถ้าคุณไม่จำเป็นต้องอยู่"
เนื้อเรื่องของตอนที่สามนี้ เป็นการเล่าถึงโบราณสถาน ที่เคยรุ่งเรืองในสมัยอดีต ด้วยโครงสร้างอันใหญ่โตที่บอกถึงเหตุร้าย ปกคลุมด้วยเถาวัลย์ที่ตายแล้ว แต่ก็ยังมีผู้หญิงกล้า ที่ตัดสินใจรุกล้ำเข้าไปในอาณาเขตของมัน เพราะว่าลิซ่า (เจสสิก้า ลูคัส) กำลังตามเพื่อนร่วมห้องของเธอ ที่เห็นครั้งสุดท้ายตอนที่ไปกับผู้ชายที่เธอเจอเป็นครั้งแรก
เจสสิก้าเล่าถึงตัวละครของเธอว่า "ลิซ่ารู้สึกเป็นห่วงว่า ทำไมเพื่อนร่วมห้องของเธอยังไม่กลับบ้าน และสิ่งที่ทำให้เธอเข้าไปในบ้านหลังนี้ แต่ก็เหมือนนกับผู้หญิงที่ฉลาดๆทั่วไป เธอปล่อยให้แฟนหนุ่มของเธอเข้าไปก่อน แต่พอเวลาผ่านไปนาน เขาก็ยังไม่ออกมา ทำให้เธอต้องเข้าไปเองในที่สุด"
สถานที่ที่เหมาะสมที่สุด สำหรับกาเป็นตัวแทนปราสาทของเรา นั้นก็คือสิ่งก่อสร้างอายุ 122 ปี ที่เรียกว่า "ปราสาททูรา" ที่อยู่ในบูดาเปส และเคยเป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัวพ่อค้าที่ร่ำรวยในช่วงปี 1883 มันถูกออกแบบโดย มิคอส อิบิ ที่เป็นมัฆธนากรชื่อดังชาวฮังการี ที่ยังสร้างโรงโอเปราในฮังการีด้วย สิ่งก่อสร้างนี้ ให้ความรู้สึกถึงยุคนีโอ-เรเนซองค์ (neo-renaissance) มีทั้งหมดสามชั้น 78 ห้อง เพียบพร้อมไปด้วยหอคอย,ห้อมปืน และปล่องไฟ และยังถูกต่อเติมด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่นประตูหน้ายกไฟฟ้า ระบบไฟ และฮีทเตอร์อีกด้วย
ผู้อำนวยการสร้าง อเดลสตีน กล่าวว่า "มันมีประวัติศาสตร์ที่น่าขนลุก ที่ไม่สามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้ในปราสาทหลังนี้ มันมอบความรู้สึกที่น่ากลัวและอารมณ์ขลังเป็นอย่างดี" ขณะที่ผู้ออกแบบฉาก สเติร์น เสริมว่า "โครงสร้างนี้ แม้ว่ากำลังทรุดโทรมลงอย่างช้าๆ แต่มันก็มีเพดานทรงสูงอันใหญ่โต ที่แทบจะทำให้ผมแทบหยุดหายใจ พวกเราเปลี่ยนห้องกระจกใหญ่ ให้เป็นห้องรับประทานอาหร/ห้องเกมส์ ที่ซึ่งเป็นฉากหลักของเราในตอนนี้”
วอลล์ กล่าว่า "ตอนที่ผมเริ่มที่จะทำดราฟ์แรกของ Amusement บนแล็ปท๊อป ในช่วงที่ผมออกเดินทาง ผมก็เกิดไอเดียเกี่ยวกับห้องเก่าๆที่เต็มไปด้วยเตียงนอน และผ้าปู ผมใช้เวลาหลายคืนในโรงแรมหลายๆแห่ง และก็รู้สึกรบกวนจิตใจเล็กๆว่า มีคนแปลกหน้าหลายคนที่เคยใช้ชีวิตตรงจุดนี้ ผมคิดอยู่ตลอดว่า 'ว้าว มันไม่สามารถบอกได้เลย ว่ามีใครเคยนอนอยู่ตรงนี้'"
มาคาริกล่าวว่า "ถือว่าเป็นการก้าวหน้าที่สุด เมื่อการถ่ายทำดำเนินทางมาถึงจุดนี้ จากจุดที่เราถ่ายทำกันบทถนนไฮเวย์ มาถึงสถานที่ๆมีอาณาเขตจำกัด ทำให้จอห์นมีโอกาสในการแสดงผีมือมากขึ้น ทั้งงานด้านภาพและการดึงเอาการแสดงที่ดีที่สุดงานนักแสดง โดยเฉพาะฉากบนที่นอน ที่ทำให้เรานึกย้อนไปถึงในวัยเด็กว่า จะมีอะไรอยู่หนอที่อยู่ใต้เตียงนอน"
ซิมส์สันให้เครดิตกับนักแสดงของเขา โดยพูดว่า "ทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่ยอดเยี่ยม ในการขับเคลื่อนความมืดมิดของโทนเรื่อง และยังแสดงให้เห็นในความยืดหยุ่นของการแสดง ตั้งแต่ช่วงที่สบายๆ ช่วงที่ต้องแสดงให้เห็นถึงความระแวง จนไปถึงความรู้สึกสยดสยองในช่วงสุดท้าย"
The Reservoir
ผู้หญิงสองคนหนีเพื่อเอาชีวิตให้รอดในถ้ำ พวกเธอพบบันไดเหล็ก ที่อาจจะนำไปสู่ทางรอดที่ปลอดภัย พวกเธอไต่บันไดกันอย่างบ้าคลั่ง เพราะว่ามีความรู้สึกว่า ผู้ล่านั้น อยู่ห่างจากเท้าของพวกเธอเพียงแค่ไม่กี่ฟุต...
นี้เป็นฝันร้ายครั้งสุดท้าย ที่เชื่อมต่อทั้งสามเรื่องเข้าด้วยกัน เชลบี้ (เบร็คเคนบริค) และ ทาบิธา (วินนิค) พบว่าตัวเองอยู่ในการเดินทางที่น่าสะพรึงกลัว ที่พวกเธอทั้งสองต้องตกเป็นเหยื่อของแผนการอันชั่วร้ายอย่างไม่เต็มใจ ด้วยการบรรยายเรื่องที่กดดันและคาดเดาไม่ได้ พร้อมกับคำสารภาพของทาบิธาอย่างคลุ้มคลั่ง และไม่รู้ถึงสิ่งเลวร้ายที่วนเวียนอยู่รอบตัวเธอ เธออยู่ในสภาพที่สาหัส และพูดพึมพำไม่เป็นภาษา เธอถูกถามโดยจิตแพทย์ (รีน่า โอเว่น) และตำรวจ ซึ่งคำพูดของเธอนั้น มันก็นำไปสู่เรื่องราวที่ถูกเปิดเผยในที่สุด ว่าเหตุใดมันถึงนำมาซึ่งอาการหลอนของเธอ
จะเชื่อหรือไม่ นี้คือซีนแรกของวินนิค เธอเล่าว่า "ฉันรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะนี้คือฉากที่ฉันต้องแสดงให้เต็มที่ที่สุดในเรื่อง ฉันรู้สึกแปลกๆ เพราะทุกคนต่างร่วมงานกันมาหลายอทิตย์แล้ว ฉันเข้าไปเหมือนกับเป็นเด็กใหม่ และต้องเล่นเป็นผู้หญิงที่กำลังช็อค ที่พยายามรวบรวมสติของเธออยู่"
The Reservoir ถูกถ่ายทำกันอยู่สองที่ โดยฉากสืบสวนนั้นจะอยู่ในซาวด์สเต็จ และอีกฉากนั้นก็คืออ่างเก็บน้ำเก่าขนาดมหึมา ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆบูดาเปสที่เรียกว่า “กิลเลอท บาทส์” ที่ช่วงฤดูหนาวที่แห้ง เราก็จะเห็นเขาวงกตที่ดูแล้วน่าดึงดูด และทางผู้ออกแบบฉาก สเติร์น ก็ได้ยังเพิ่มเติมในส่วนของความน่ากลัวลงไปเพิ่มอีกด้วย โดยสเติร์นเล่าว่า "นี้เป็นสถานที่ที่น่ากลัวที่สุดที่ผมเคยเห็นเลย มันสมควรที่จะอยู่ในหนังสยองขวัญแบบนี้ และโชคดีที่มันอยู่ในหนังของเรา ทุกอย่างมันดูเก่าและขึ้นสนิม และมันก็ยังเป็นแรงบันดาลใจให้เราในการเลือกสีอีกด้วย"
The Budapest Experience
การถ่ายทำด้วยนักแสดงอเมริกัน ในยุโรปตอนกลางช่วงหน้าหนาว นำมาซึ่งความท้าทาย,ข้อจำกัด และความหงุดหงิด แต่ท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนก็ต่างบอกว่าสถานที่นี้เหมือนกับขุมทอง ทั้งสำหรับตัวหนังเองและทีมงาน จากความสวยงามในด้านประติมากรรม ถึงประสบการณ์ในการห่างบ้านในช่วงคริสต์มาสของทีมงาน โลเกชั่นในบูดาเปสนั้น ได้ทิ้งรอยจารึกไว้ใน Amusement ไว้อย่างถาวร
ผู้กำกับจอห์น ซิมส์สัน กล่าวว่า "ตอนแรกผมรู้สึกหวาดกลัว ในการมาที่นี้ มันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่รู้ ที่ต้องจัดการ ไม่ใช่แค่เรื่องของภาษา แต่หลังจากเรื่องของสภาพอากาศที่เลวร้าย ในที่สุดมันก็ดีขึ้น”
เจสสิก้า ลูคัส ได้พูดถึงเมืองบูดาเปสเอาไว้ว่า "มันช่างเป็นเมืองที่มีความคิดสร้างสรรค์ยอดเยี่ยม และมีความเป็นอิสระส่วนตัว มันทำให้คุณหยุดทำสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของคุณ และพยายามที่จะซึมซับกับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ บูดาเปสเป็นเมืองที่น่าสนใจ มันช่วยเลี้ยงดูจินตนากรของคุณ"
ในขณะที่หนังเรื่องนี้ต้องเกิดเรื่องขึ้นในอเมริกา จึงต้องมีสภาพภูมิศาสตร์ให้เหมือนกับอเมริกาที่สุด ซึ่งทางผู้ออกแบบฉาก เคร็ก สเติร์นได้พูดถึงเรื่องนี้เอาไว้ว่า "นี้เป็นสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมกล้าทำอะไรใหม่ๆ ทุกๆสิ่งที่คุณมอง คุณจะรู้สึกว่ามันน่าสนใจ บางทีบรรยากาศธรรมชาติโดยรอบ เช่นแสงและพื้นดิน ก็สอดคล้องกับเนื้อเรื่องและบรรยากาศโดยบังเอิญ มันมีเรื่องที่ต้องกังวลบ้าง สำหรับการที่เราอาจจะไม่สามารถสร้างให้ดูเป็นอเมริกันได้ แต่ปรากฏว่าเราก็ทำมันได้ดี คือว่ามันดีกว่าที่เราคาดหวังเอาไว้ซะอีก”
ผู้อำนวยการสร้าง นีล อเดลสตีน กล่าวว่า "มันเป็นเรื่องที่น่ายินดี ในการได้เห็นวัตถุดิบที่ดีเช่นนี้ ถูกทำให้ออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งนักแสดง ผู้กำกับ รวมถึงสถานที่ และผลลัพท์ที่ได้นั้น ก็เป็นผลงานที่สวยงามและน่ากลัวจริงๆ
ผู้อำนวยการสร้างอีกคน ไมค์ มาคาริได้กล่าวสรุปว่า "หนังสยองขวัญเหมือนกับการนั่งรถไฟเหาะและรู้สึกสนุกไปกับมัน ผู้ชมชอบที่จะกลัวไปกับสิ่งที่พวกเขารู้สึกว่าปลอดภัย ผมคิดว่าผู้ชมหนังเรื่องนี้ จะเกิดอาการตื่นเต้น และมีความอยากรู้อยากเห็น ในการพยายามที่จะคาดเดาว่า จะมีอะไรรอพวกเขาอยู่ข้างหน้า และเมื่อมันโผล่ออกมา ผมก็หวังว่าพวกเขาก็จะกลัวจนตัวสั่น
ประวัติทีมงานนักแสดง
แคทธาลีน วินนิค (รับบทเป็น “ทาบิธา”)
เธอเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ในการรับบทเป็นแฟนสาวของแมทธิว แม็คคอนนาเฮย์ ในหนังตลกสุตฮิตเรื่อง Failure to Launch เธอยังเล่นเป็น ลู ซาโลม คีตกวีหญิงในศตวรรษที่ 19 เรื่อง When Nietzsche Wept ที่กำลังจะเข้าฉายในเร็วๆนี้ และเธอยังเป็นหนึ่งในกลุ่มนักแสดงในซีรี่ย์ของฟ๊อกส์เรื่อง Nurses สำหรับผลงานเรื่องอื่นๆของเธอ ก็ยังมี National Lampoon’s Going the Distance, หนังอินดี้-ดราม่า Kiss Me Again, Daddy’s Little Girl และหนังสั้นที่เข้าชิงรางวัลออสการ์อย่าง Out Time Is Up
ลอร่า เบร็คคินบริค (รับบทเป็น “เชลบี้”)
เธอแสดงเป็น โรส น้องคนสุดท้อง ในซีรี่ย์ใหม่มาแรงของวอร์เนอร์ Related ที่พูดถึงชีวิตและความสัมพันธ์สี่สาวพี่น้อง โดยที่ซีรี่ย์เรื่องนี้ได้เชิญผู้กำกับชื่อดังอย่าง มิมิ ลีเดอร์ (Mimi Leder) ที่เคยกำกับหนังเรื่อง Deep Impact มาแล้ว และยังมี ลิส ทุคคิโล่ (Liz Tuccillo) จากซีรี่ย์ชื่อดัง Sex And the City มาเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้างอีกด้วย เบร็คคินบริคนั้นยังมีผลงานในทีวีอีก เช่นไพล็อตเรื่อง Definitely Maybe และบทรับเชิญใน Boston Public และ The Jersey
เจสสิก้า ลูคัส (รับบทเป็น “ลิซ่า”)
เธอได้แสดงร่วมกับ อแมนด้า ไบนด์ (Amada Bynes) ในหนังของดรีม เวิร์ค เรื่อง She’s the Man และยังเป็นนักแสดงนำในหนังแอ๊กชั่นเวทย์มนต์ ของผู้กำกับ เรนนี่ ฮาร์ลิน (Renny Harlin) เรื่อง The Covenant ในทีวีนั้น เธอได้แสดงเป็น “ซู” ในซีรี่ย์ขวัญใจนักวิจารณ์ แต่อายุสั้นเรื่อง Life As We Know It
รีด สก๊อต (รับบทเป็น “แดน”)
แสดงเป็น “แบรนเด้น ดอร์ฟ” ในเรื่อง My Boys ซึ่งเป็นซีรี่ย์จากช่อง TBS โดยก่อหน้านี้ เขายังมีบทนำในซี่รี่ย์เรื่อง It’s All Relative และ American Dreams และยังมีบทรับชิญใน CSI และ That ‘70s Show เขายังร่วมแสดงในหนังที่ออกฉายทางทีวีเรื่อง Revenge of the Middle Aged Woman อีกด้วย
แท็ด ฮิลเกนบริงค์ (รับบทเป็น “ร๊อบ”)
เมื่อเร็วๆนี้ เขาได้แสดงเป็น “ไซคล๊อป” ในหนังตลกล้อเลียนสุดฮิดเรื่อง Epic Movie โดยผลงานเรื่องอื่นของเขา ก็ยังมีการรับบทเป็น “แม๊ท สตีปเลอร์ ที่เป็นตัวเอกใน American Pie Present Band Camp และ Grave Situations, Curiosity of Chance และที่กำลังจะเข้าฉายอย่าง Sherman’s Way
ประวัติทีมงานผู้สร้าง
จอห์น ซิมส์สัน (ผู้กำกับ)
เขาได้เปิดตัวด้วยเรื่อง Freeze Frame หนังที่ได้รับคำชื่นชมอย่างท่วมท้น จากทั้งนักวิจารณ์และผู้ชม โดยหนังก็ยังได้รับรางวัล IFTA อีกถึงสามรางวัล รวมถึงรางวัล “ผู้กำกับหน้าใหม่” ยอดเยี่ยมอีกด้วย Freeze Frame เป็นผลงานที่มาจากการเขียนบทของเขาเอง เป็นหนังแนว จิตวิทยา/อาชญากรรม/ตื่นเต้น ที่นำแสดงโดยลี อีแวนส์ (Lee Evan) ซึ่งทางนิตยสารชื่อดัง Variety ก็ได้เปรียบเรื่องนี้กับหนังของโรมัน โปลันสกี้ (Roman Polanski) และผลงานในช่วงแรกของเดวิด ฟินเชอร์ (David Fincher)
นีล อเดลสตีน (ผู้อำนวยการสร้าง)
เขาอำนวยการสร้างในกับหนังสั้นของเดวิด ลินส์ (David Lynch) ในโปรเจ็ค “Lumiere” ซึ่งหลังจากร่วมงานกันแล้ว เขาและเดวิดก็ได้ร่วมกันเปิดบรษัทโปรดักชั่น The Picture Factory ซึ่งก็ทำให้อเดลสตีน รับบทเป็นผู้อำนวยการสร้างในหนังของเดวิดทั้ง The Straight Story ในปี 1999 และ Mulholland Drive ในปี 2001
เขายังเป็นผู้อำนวยการสร้างร่วมกับ ไมค์ มาคาริ ในการสร้างหนังสยองขวัญ ที่ดัดแปลงจากหนังญี่ปุ่นชื่อดังเรื่อง The Ring ทั้งสองภาค เขายังอำนวยการสร้างหนังของเดวิด เอส โกเยอร์ เรื่อง The Invisible ที่ฉายในปี 2007 อีกด้วย
เคร็ก สเติร์น (ผู้ออกแบบฉาก)
เป็นที่รู้จักกันสำหรับการร่วมงานกับ จอห์น คาเพนเตอร์ (John Carpenter) ในหนังคัลท์สุดฮิตเรื่อง Halloween, The Fog และ Assault on Precinct 13 เขาได้รับเสนอเข้าชิงรางวัล BAFTA จากผลงานเรื่อง The Marsk ที่นำแสดงโดยจิม แคร์รี่ (Jim Carrey) และก็ยังเข้าชิงรางวัล Emmy จากมินิซีรี่ย์ของสตีเฟ่น คิง (Stephen King) เรื่อง Rose Red ซึ่งก็ยังได้ร่วมงานกับคิงอีกครั้งใน Strom of the Century ผลงานเรื่องอื่นๆของเขา ก็มี Children of the Corn และ The Blob เขายังมีผลงานหนังตลกอีกด้วย เช่น Indian Summer, Til There Was You, The Bachelor, Big Momma’s House และภาคต่อ ผลงานเรื่องหลังๆของเขา ก็ยังมี The Music Within ที่นำแสดงโดยรอน ลิฟวิ่งสตัน (Ron Livingston) และ Noble Son นำแสดงโดย อลัน ริคแมน (Alan Rickman), บิล พูลแมน (Bill Pulman), แมรี่ สตีนเบอร์เกน (mary Steenbergen) และ แดนนี่ เดอวิโต้ (Danny Devito)
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ
Kornpanut Chainichayakul .. moonOi
Online Marketing Executive
Sahamongkolfilm International Co., Ltd.
388 S.P. Building 9th B Fl. Phaholyothin Road
Samsennai Phayathai
Bangkok 10400 Thailand
Tel. 0-2273-0939 - 9 ext. 135
Fax. 0-2273-0989
E-Mail : kornpanut@sahamongkolfilm.com
msn : jackanapes_noi@hotmail.com
http://www.sahamongkolfilm.com

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ