ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ “บ. ล็อกซเล่ย์” ที่ “BBB+” และเปลี่ยนแนวโน้มเป็น “Stable” จาก “Negative”

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday September 25, 2008 08:02 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--25 ก.ย.--ทริสเรทติ้ง
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ “บ. ล็อกซเล่ย์” ที่ “BBB+” และเปลี่ยนแนวโน้มเป็น “Stable” จาก “Negative”
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกัน (LOXL08NA) ของ บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” พร้อมปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “Stable” หรือ “คงที่” จาก “Negative” หรือ “ลบ” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงการมีธุรกิจที่หลากหลาย ภาพพจน์ที่ดีในวงการธุรกิจ และการมีฝ่ายบริหารที่มีความสามารถและประสบการณ์ซึ่งส่งเสริมให้บริษัทมีบทบาทที่แข็งแกร่งทั้งในธุรกิจด้านเทคโนโลยีและการค้า อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากอัตราส่วนผลกำไรที่ค่อนข้างต่ำโดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจการค้า และความผันผวนของรายได้ที่มาจากงานโครงการต่างๆ
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ของบริษัทมีพื้นฐานมาจากผลประกอบการที่ดีขึ้นในปี 2550 และ 6 เดือนแรกของปี 2551 นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะยังคงความสามารถในการทำกำไรจากธุรกิจที่หลากหลาย โดยที่กระแสดงเงินสดจำนวนมากและการมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ดีกับผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีระดับโลกหลายแห่งจะช่วยให้บริษัทมีความได้เปรียบในการประมูลโครงการใหญ่ๆ ได้หลายโครงการและสร้างรายได้ที่มั่นคงให้แก่บริษัทในอนาคต
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทล็อกซเล่ย์เป็นผู้ประกอบธุรกิจการค้าและการลงทุน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 บริษัทได้ปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจหลักใหม่เป็น 8 กลุ่ม คือ กลุ่มธุรกิจการค้า กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีและสารสนเทศ กลุ่มธุรกิจร่วมค้าและการลงทุน กลุ่มธุรกิจบริการ กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี กลุ่มธุรกิจโครงการโครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มธุรกิจโครงการพิเศษ และกลุ่มธุรกิจการค้าต่างประเทศ โดยกลุ่มธุรกิจการค้าหลักประกอบด้วย สินค้าอุปโภคและบริโภค เคมีภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีและสารสนเทศประกอบด้วย 2 สายธุรกิจหลัก ได้แก่ เทคโนโลยีสารสนเทศ และโทรคมนาคม ส่วนกลุ่มธุรกิจร่วมค้าและการลงทุนนั้นมีการลงทุนร่วมกับบริษัทชั้นนำระดับโลก เช่น บริษัท บีพี จำกัด (มหาชน) จากประเทศอังกฤษ บริษัท บลูสโคปสตีล จำกัด จากประเทศออสเตรเลีย กลุ่มบริษัทฟูรุกาวา และ บริษัท จีเท็ค คอร์ปอเรชั่น เป็นต้น ในขณะที่กลุ่มธุรกิจบริการนั้นเป็นการให้บริการรักษาความปลอดภัย กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีให้บริการหลักด้านการพิมพ์และเทคโนโลยีชั้นสูงอื่นๆ และกลุ่มธุรกิจโครงการโครงสร้างพื้นฐานมีงานโครงการจ้างเหมาระบบสาธารณูปโภคของภาครัฐเป็นหลัก การปรับโครงสร้างธุรกิจในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์แก่บริษัทโดยจะเพิ่มความแข็งแกร่งในการผสานธุรกิจและใช้ทรัพยากรร่วมกันระหว่างกลุ่มธุรกิจ
ด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานเกือบ 70 ปี บริษัทได้วางรากฐานและรักษาสัมพันธภาพที่ดีทั้งกับลูกค้าและตัวแทนจำหน่าย จุดแข็งที่สำคัญของบริษัทคือความชำนาญและประสบการณ์ของคณะผู้บริหารและพนักงาน ซึ่งในแต่ละกลุ่มธุรกิจจะมีผู้บริหารระดับสูงที่มีประสบการณ์กับบริษัทเป็นเวลานาน โดยบริษัทมีพนักงานทั้งในด้านเทคนิคและวิศวกรรมที่มีความสามารถซึ่งได้รับการฝึกอบรมจนเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับหุ้นส่วนธุรกิจซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายและตัวแทนจำหน่ายซึ่งช่วยเสริมความสามารถในการแข่งขันให้แก่บริษัทในการประมูลงานโครงการต่างๆ
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทล็อกซเล่ย์ได้แก่หน่วยงานภาครัฐและบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ โดยลักษณะงานส่วนใหญ่ของกลุ่มลูกค้าภาครัฐเป็นงานประมูล ดังนั้น กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทบางส่วนจึงขึ้นอยู่กับผลสำเร็จของการประมูลงานและความสามารถในการบริหารโครงการของบริษัท ส่วนรายได้ที่มาจากการขายสินค้าและบริการซึ่งส่วนใหญ่มาจากกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค เคมีภัณฑ์ และงานบริการนั้นอยู่ระหว่าง 5,600-6,300 ล้านบาทในปี 2546-2549 และเพิ่มขึ้นเป็น 7,000 ล้านบาทในปี 2550 เนื่องมาจากรายได้จากงานบริการรักษาความปลอดภัยในสนามบินซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2549 ในขณะที่รายได้ดังกล่าวใน 6 เดือนแรกของปี 2551 อยู่ที่ 3,315 ล้านบาทซึ่งใกล้เคียงกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2550 โดยคิดเป็นสัดส่วน 57%-66% ของรายได้รวมในระหว่างปี 2546-2550 และคงอยู่ที่ 65% สำหรับ 6 เดือนแรกของปี 2551 อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทก่อนรวมรายได้จากเงินปันผลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากระดับ 0.5% ในปี 2546 เป็น 3.1% ในปี 2550 และ 7.4% สำหรับ 6 เดือนแรกของปี 2551 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการปรับโครงสร้างใน 2 ธุรกิจหลักคือสินค้าอุปโภคบริโภคอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ผลประกอบการของธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศยังปรับตัวจาก -4.8 % ในปี 2549 เป็น 5.3% ในปี 2550
นอกเหนือจากธุรกิจหลักของบริษัทเองแล้ว กระแสเงินสดส่วนใหญ่ของบริษัทยังมาจากรายได้ค่าธรรมเนียมและรายได้อื่น ตลอดจนเงินสดรับจากเงินปันผลที่บริษัทได้ลงทุนไว้ในบริษัทหลายแห่ง เช่น บริษัท แอสแพค ออยล์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท บลูสโคป สตีล ไลสาจท์ (ไทยแลนด์) จำกัด และ บริษัท บลูสโคป สตีล (ไทยแลนด์) จำกัด (กลุ่มบริษัทบลูสโคป) และ บริษัท ไทยไฟเบอร์ ออฟติค จำกัด เป็นต้น บริษัทหลักที่จ่ายเงินปันผลให้แก่บริษัทในช่วง 3 ปีหลังคือ บริษัท แอสแพค ออยล์ (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นยี่ห้อ “คาสตรอล” และ “บีพี” เงินปันผลที่ได้รับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็น 93 ล้านบาทสำหรับ 6 เดือนแรกของปี 2551 โดยเพิ่มขึ้นจาก 62 ล้านบาทในปี 2549 และ 77 ล้านบาทในปี 2550 โดยสาเหตุมาจากราคาขายปลีกน้ำมันหล่อลื่นที่สามารถปรับเพิ่มขึ้นรวมถึงการขยายช่องทางการจำหน่ายของบริษัทที่มากขึ้น ในขณะที่ บริษัทบลูสโคป สตีล (ไทยแลนด์) ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในบริษัทที่จ่ายเงินปันผลเป็นหลักอย่างต่อเนื่องนั้นไม่ได้จ่ายเงินปันผลมาตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมาเนื่องจากมีการลงทุนในกำลังการผลิตและมีการจ่ายเงินปันผลในแก่ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะไม่มีการจ่ายเงินปันผล แต่บริษัทบลูสโคป สตีล (ไทยแลนด์) ก็สามารถสร้างส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมให้แก่บริษัทตลอด 5 ปีที่ผ่านมา
หนี้สินของบริษัทล็อกซเล่ย์ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (รวมส่วนค้ำประกัน 35% ของภาระหนี้ทั้งหมดของ บริษัท ล็อกซเล่ย์ จีเทค เทคโนโลยี จำกัด) ลดลงจาก 45.73% ในปี 2548 เป็น 39.52% ในปี 2549 เนื่องจากบริษัทมีผลกำไรจำนวน 750 ล้านบาทจากการขายหุ้นในบริษัทล็อกซเล่ย์ จีเทค เทคโนโลยี ซึ่งทำให้บริษัทมีภาระหนี้ลดลงและไม่ได้นำเอางบการเงินของบริษัทล็อกซเล่ย์ จีเทค เทคโนโลยีเข้ามาคำนวณในงบการเงินรวม ปัจจุบันบริษัทถือหุ้น 35% ในบริษัทดังกล่าวและมีภาระค้ำประกันหนี้เงินกู้จำนวน 1,205 ล้านบาท ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2551 ในบริษัทแห่งนี้ร่วมกับผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ ตามสัดส่วนการถือหุ้น โดยที่ภาระดังกล่าวจะหมดลงเมื่อเริ่มดำเนินโครงการได้ 6 เดือน นอกจากนี้ อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (รวมส่วนค้ำประกัน 35% ของภาระหนี้ทั้งหมดของบริษัทล็อกซเล่ย์ จีเทค เทคโนโลยี) คงอยู่ที่ระดับประมาณ 38% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2550 และมิถุนายน 2551 เนื่องจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นซึ่งทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น ทริสเรทติ้งกล่าว
บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) (LOXLEY)
อันดับเครดิตองค์กร: คงเดิมที่ระดับ BBB+
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
LOXL08NA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2551 คงเดิมที่ระดับ BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable จาก Negative
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด (ทริสเรทติ้ง)
โทรศัพท์ 0-2231-3011 ต่อ 500 โทรสาร 0-2231-3012
E-mail: rapee@tris.co.th

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ