กรุงเทพฯ--26 ก.ย.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1,500 ล้านบาทของ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A” พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้เดิมของบริษัทที่ระดับ “A” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท ตลอดจนการมีธุรกิจที่กระจายตัวด้วยตราสัญลักษณ์เป็นที่ยอมรับซึ่งเสริมให้บริษัทมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารบริการด่วน การมีคณะผู้บริหารที่มีความสามารถ การเติบโตของธุรกิจรับจ้างบริหารโรงแรมในต่างประเทศ และโอกาสในการขยายธุรกิจอาหารบริการด่วนแบบแฟรนไชส์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะของธุรกิจการท่องเที่ยวที่อ่อนไหวอย่างยิ่งต่อปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เช่น สถานการณ์ทางการเมือง นอกจากนี้ ปัจจัยลดทอนยังรวมถึงลักษณะของธุรกิจอาหารบริการด่วนที่มีการแข่งขันที่รุนแรงและมีอัตรากำไรที่ต่ำ ทั้งนี้ การที่บริษัทขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องในธุรกิจที่อยู่อาศัยราคาแพงและธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศ ประกอบกับผลกระทบในแง่ลบต่อธุรกิจโรงแรมจากการแข็งค่าอย่างต่อเนื่องของเงินบาทยังเป็นปัจจัยที่ต้องระมัดระวัง
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาความแข็งแกร่งของกระแสเงินสดเอาไว้ได้และจะนำไปใช้เพื่อสนับสนุนรายจ่ายฝ่ายทุนที่สูงมากในอนาคต และคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนจะเพิ่มสูงขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเนื่องจากบริษัทมีโครงการโรงแรมและที่อยู่อาศัยที่ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาในปัจจุบัน ทั้งนี้ หากบริษัทมีการลงทุนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากก็อาจมีผลกระทบต่อคุณภาพเครดิตของบริษัทในอนาคตได้
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ก่อตั้งโดย Mr. William Ellwood Heinecke ในปี 2521 เพื่อดำเนินธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา บริษัทประสบความสำเร็จในการขยายกิจการจนปัจจุบันถือได้ว่าบริษัทเป็นกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่มีการกระจายตัวมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ซึ่งประกอบด้วยโรงแรมทั้งที่บริษัทเป็นเจ้าของหรือบริหารทั้งหมด 22 แห่ง รวม 2,790 ห้องซึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ และสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ทั้งในประเทศไทย มัลดีฟส์ ศรีลังกา เวียดนาม อินโดนีเซีย และแทนซาเนีย โรงแรมเหล่านี้บริหารและดำเนินงานภายใต้ตราสัญลักษณ์ที่เป็นที่รู้จักทั่วโลกอย่าง Mariott และ Four Seasons และตราสัญลักษณ์ของบริษัทเองคือ Anantara และหลังจากการปรับโครงสร้างของกลุ่มไมเนอร์ในปี 2546 บริษัทได้นำธุรกิจอาหารบริการด่วนของกลุ่มมาดำเนินการภายใต้การบริหารงานของบริษัทในเครือคือ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (MFG) ซึ่งก่อตั้งในปี 2523 โดยเป็นผู้ให้บริการธุรกิจอาหารบริการด่วนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย MFG เป็นเจ้าของและผู้ประกอบการอาหารบริการด่วนแบบแฟรนไชส์ของต่างประเทศ 4 ตราสัญลักษณ์ คือ สเวนเซ่นส์ ซิซซ์เล่อร์ แดรี่ ควีน และ เบอร์เกอร์ คิง รวมทั้ง เดอะ พิซซ่า คอมปะนี เดอะค็อฟฟีคลับ และ ไทยเอ็กเพรส ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ของบริษัทเอง โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2551 มีจำนวนสาขารวมทั้งหมด 654 แห่ง และแฟรนช์ไชส์ย่อยอีก 310 แห่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ
บริษัทมีรายได้จากธุรกิจโรงแรมและอาหารบริการด่วนคิดเป็น 90% ของรายได้รวม (โรงแรม 40% อาหารบริการด่วน 50%) เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในธุรกิจ 2 ประเภทแล้ว บริษัทมีฐานรายได้ที่กว้างและหลากหลายกว่า อีกทั้งยังมีการขยายตัวเป็นอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา การเพิ่มขึ้นของจำนวนสาขาในธุรกิจอาหารบริการด่วนและผลประกอบการที่มั่นคงจากธุรกิจโรงแรมส่งผลให้รายได้รวมของบริษัทขยายตัวเพิ่มขึ้น 16% เป็น 7,836 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 จาก 6,567 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2550 ในส่วนของโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของนั้นมีอัตรารายได้ต่อห้องพักที่มีอยู่ (Revenue Per Available Room -- RevPAR) เพิ่มขึ้นจากระดับ 3,777 บาทต่อห้องสำหรับครึ่งแรกของปี 2550 เป็น 4,177 บาทในช่วงเดียวกันของปี 2551 อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากความสำเร็จของโรงแรมที่เปิดใหม่ในปีที่ผ่านมาซึ่งทำให้อัตราห้องพักโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 11% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 ในขณะที่ธุรกิจอาหารของบริษัทมีผลการดำเนินงานที่ชะลอตัวลงจากการแข่งขันที่รุนแรงและข้อจำกัดในการขยายสาขา ซึ่งทำให้ยอดขายจากสาขาเดิมลดลง 0.9% ในปี 2550 แต่เพิ่มขึ้น 6.2% สำหรับครึ่งแรกของปี 2551
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล มีการขยายการลงทุนในธุรกิจอาหารและโรงแรมเป็นอย่างมาก โดยในปีที่ผ่านมาได้ใช้เงินทุนมากกว่า 2,000 ล้านบาทเพื่อลงทุนในธุรกิจทั้ง 2 ประเภทในต่างประเทศ เมื่อช่วงครึ่งแรกของปี 2551 บริษัทได้ลงทุนซื้อหุ้น 50% ใน “เดอะค๊อฟฟี่คลับ” (มูลค่า 666 ล้านบาท) ซึ่งเป็นเครือข่ายร้านกาแฟและภัตตาคารของประเทศออสเตรเลียซึ่งมีสาขาถึง 197 แห่ง และซื้อหุ้นอีก 70% ในเครือข่ายร้านอาหารเอเชีย “ไทยเอ็กเพรส” (มูลค่า 936 ล้านบาท) ของประเทศสิงคโปร์ซึ่งมีสาขาถึง 47 แห่ง นอกจากนี้ บริษัทยังเช่าเกาะในประเทศมัลดีฟส์เพื่อสร้างโรงแรม Anantara แห่งใหม่ ตลอดจนซื้อหุ้น 50% ใน Elewana Afrika ซึ่งเป็นเจ้าของรีสอร์ทในประเทศแทนซาเนีย (มูลค่า 400 ล้านบาท) ทำให้บริษัทมีรายจ่ายฝ่ายทุนเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาจากความพยายามในการสร้างความแข็งแกร่งให้แก่สถานะทางการตลาดและสนับสนุนการเติบโตของอัตรากำไรในอนาคต อย่างไรก็ตาม สัดส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนลดลงจาก 55% ในปลายปี 2548 เป็น 40% ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2551 อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของกระแสเงินสดจากการดำเนินงานจากทั้งธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร ทั้งนี้ ผู้บริหารของบริษัทมีแผนจะลงทุนในการขยายกิจการในอนาคตโดยใช้เงินทุนทั้งจากการกู้ยืมและกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ซึ่งคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนจะยังคงอยู่ในระดับประมาณ 45%-55% ในอีก 3 ปีข้างหน้า บริษัทมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง โดยกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1,911 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 เทียบกับระดับ 2,900 ล้านบาทสำหรับปี 2550 ทั้งปี อย่างไรก็ตาม ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้นำเงินสดเกือบทั้งหมดกลับไปใช้ลงทุนในธุรกิจโรงแรม ซึ่งทำให้สินทรัพย์รวมของบริษัทเพิ่มมากขึ้นจาก 21,280 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2550 เป็น 25,196 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2551