บลจ.ธนชาต มองข้ามชอตทิศทางตลาดหุ้นไทยระยะยาว เชื่อเศรษฐกิจไทยยังเติบโตดี

ข่าวเศรษฐกิจ Friday September 26, 2008 12:09 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--26 ก.ย.--บลจ.ธนชาต
นางสุชาดา ภวนานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ธนชาต มองเศรษฐกิจไทยยังน่าจะขยายตัวต่อเนื่องต่อไปได้
นางสุชาดา กล่าวว่าช่วงที่ผ่านมาสภาวะการลงทุน โดยรวมของไทยแม้ยังถูกปกคลุม ด้วยปัญหา เงินเฟ้อ และการเมือง ในขณะที่ปัจจัย ต่างประเทศ ไม่ได้เอื้ออำนวยต่อภาวะการลงทุน เนื่องจากปัญหาของสถาบันการเงินที่มีชื่อเสียงของต่างประเทศที่ปรากฎอย่างต่อเนื่อง ที่ทำให้สหรัฐเริ่มมีการขยายตัวที่ลดลง รวมทั้งภาวะถดถอยของ เศรษฐกิจโลก ส่งผลทำให้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิอย่างต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้า
นางสุชาดากล่าวเพิ่มเติมว่าหากมองพื้นฐานเศรษฐกิจไทยแล้ว ยังมีปัจจัยบวกทั้งในเรื่อง อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำจนเกิด Negative Real Interest Rate ภาคการเกษตรยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากความต้องการสินค้าเกษตรทั่วโลก ภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกยังขยายตัวได้ แม้ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวบ้างก็ตาม นอกจากนี้นโยบายเร่งการใช้จ่ายภาครัฐจะมีส่วนสนับสนุนการใช้จ่ายและการลงทุนอย่างมากในปี 2552 นี้ด้วย
ในขณะที่ในตลาดต่างประเทศเริ่มมีข่าวดีทะยอยออกมาคลี่คลายแรงกดดันของปัญหาสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ ทั้งมาตรการการช่วยเหลือของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น Bailout plan ของรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อช่วยเหลือปัญหาวิกฤติสถาบันการเงินในวงเงิน $ 700 billion ซึ่งถึงแม้จะยังไม่จบสิ้นกระบวนการ แต่ก็ยังถือว่าเป็นสัญญาณของความพยายามในการแก้ปัญหาที่ค่อนข้าง aggressive ของสหรัฐฯ หรือในยุโรปก็มีการเตรียมการรองรับปัญหาสภาพคล่องของสถาบันการเงินของทางการในยุโรป และก็มีความเป็นไปได้ว่าจะมีมาตรการต่าง ๆ ทะยอยให้รายละเอียดออกมาอีกในช่วงต่อ ๆ ไป ซึ่งมาตรการในเชิงบวกจากภาครัฐของประเทศและภูมิภาคหลัก ๆ ของโลกเหล่านี้ น่าจะทำให้ปัญหาสภาพคล่องของโลกเริ่มคลี่คลาย แม้อาจต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 3-6 เดือนขึ้นไป
สำหรับภาวะตลาดหุ้นไทย นายตระกูลจิตร จิตตไสยะพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.ธนชาต เปิดเผยว่า ราคาหุ้นไทยปัจจุบันถูกกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นมาก ปัจจุบัน P/E อยู่ที่ระดับเพียงประมาณ 8 เท่า เท่านั้น อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นช่วงค่า P/E ที่อยู่ในระดับต่ำที่สุดในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา เราจะพบหุ้นดี ๆ P/E ไม่เกิน 8 เท่า ที่มีdividend Yield สูงระดับ 7-8%
แต่หากมองภาพรวมทั้งตลาด dividend Yield เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5.5-6% สูงกว่าอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอายุ 10 ปี ซึ่งมีผลตอบแทนประมาณ 4.75% ซึ่งแนวโน้มเช่นนี้ จึงมีโอกาสที่ตลาดหุ้นจะแกว่งตัวสูงขึ้นได้
เขาคาดว่าเศรษฐกิจโลกและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดจะกลับมาขยายตัวดีในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2552 และมีโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวลงได้ในปีหน้านี้ ดังนั้น ในระยะยาวตลาดหุ้นน่าจะมีการปรับตัวสูงขึ้นได้ แต่ในระยะสั้น ถึงปานกลาง ตลาดหุ้นมีโอกาสผันผวนได้ ภาวะเช่นนี้จึงเป็นช่วงที่น่าสะสมหุ้นและหวังผลตอบแทนในระยะยาว
นายตระกูลจิตร ยังกล่าวอีกว่า ในภาวะเช่นนี้ หุ้นบริษัทจดทะเบียนที่เขาให้ความสนใจเป็นพิเศษ คือกลุ่มบริษัทที่มีส่วนของต้นทุนที่มาจากสินค้าโภคภัณฑ์น้อย และมีอัตราการขยายตัวจากการบริโภคภายในประเทศ พึ่งพาต่างประเทศน้อย และเติบโตมากกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน เป็นหุ้นที่ เน้นการอุปโภคบริโภค ภายในประเทศ และพึ่งพิงการนำเข้าน้อย เช่น หุ้นในกลุ่ม สื่อสาร บันเทิง อสังหาริมทรัพย์ และ ธนาคารพาณิชย์ เป็นต้น และอีกกลุ่มที่เขาเห็นว่าน่าสนใจไม่แพ้กัน คือ กลุ่มธุรกิจที่อยู่ในช่วงต่ำสุดของขาลง (Turnaround business) เป็นหุ้นที่เคยได้รับผลลบจากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเกษตรและอาหาร เป็นต้น
- การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
- สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และขอรับหนังสือชี้ชวนได้ในวันและเวลาทำการเสนอขายได้ที่ บลจ.ธนชาต โทร 02-1268300 กด 3
www.thanachartfund.com หรือ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) โทร 1770 และผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุนที่ บลจ.ธนชาต แต่งตั้ง

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ