กรุงเทพฯ--26 ก.ย.--คาร์ล บายร์ แอนด์ แอสโซซิเอทส์
วันนี้บริษัทอินเทลคอร์ปอเรชันมีการเปิดตัว อินเทล? วี โปร? เทคโนโลยี รุ่นที่สาม ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีการปรับปรุงในเรื่องของระบบรักษาความปลอดภัยให้ดีขึ้น รวมทั้งลดเวลาและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดูแลระบบได้ ด้วยคุณสมบัติที่ทำให้พีซีเสมือนกับคิดและทำงานได้ด้วยตนเอง อินเทล วีโปร เทคโนโลยีรุ่นใหม่สำหรับพีซียังสามารถรองรับการพัฒนารูปแบบและผลิตภัณฑ์เพื่อการทำงานเสมืองจริงใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการขององค์กรขนาดเล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอีกด้วย
อินเทล? วี โปร? เทคโนโลยี (เดิมใช้ชื่อรหัสว่า McCreary) รุ่นใหม่เป็นการรวมเอาประสิทธิภาพในด้านการประหยัดพลังงานของ อินเทล? คอร์?2 ดูโอ โปรเซสเซอร์ หรือ อินเทล? คอร์?2 คว๊อด โปรเซสเซอร์ เข้ากับชิปเซ็ต อินเทล? Q45 เอ็กซ์เพรส ชิปเซ็ต และ อินเทล? 82567LM กิกะบิต เน็ตเวิร์ค คอนเนคชั่นที่มาพร้อมกับ เทคโนโลยี อินเทล? แอคทีฟ แมเนจเมนท์ 5.0 อีกด้วย
ท่ามกลางหลากหลายนวัตกรรมทันสมัยที่คิดค้นมาเพื่อรองรับการทำงานของธุรกิจ เทคโนโลยีเวอร์ชั่นปี 2551 นี้จัดเป็นครั้งแรกที่ช่วยให้แผนกไอทีขององค์กรต่างๆ สามารถขยายขอบเขตการบริหารและปกป้องพีซีได้มากกว่าขอบเขตไฟร์วอลล์ในองค์กรได้ ด้วยคุณสมบัติ Remote Alert ตัวใหม่ จะทำให้พีซีที่มีอาการผิดปกติ (แม้ในขณะที่เครื่องปิดอยู่) ซึ่งอาจเป็นอาการที่นอกขอบเขตที่กำหนดเอาไว้สามารถ "แจ้ง" ไปยังแผนกไอทีเพื่อขอความช่วยด้วยตนเองได้
นอกจากนั้นการใช้คุณสมบัติใหม่อีกประการหนึ่งคือ Remote Scheduled Maintenance จะช่วยให้ผู้ดูแลระบบไอทีสามารถตั้งโปรแกรมให้พีซีทำการอัพเดทเครื่องเป็นประจำได้ โดยที่พีซีเหล่านี้จะเชื่อมต่อไปยังโปรแกรมบริหารระบบไอทีเพื่อตรวจเช็คสภาพของเครื่องโดยอัตโนมัติ ในขณะที่คุณสมบัติใหม่ที่ชื่อ Fast Call for Help จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถขอความช่วยเหลือในทันที ผ่านการเชื่อมต่อแบบ out-of-band โดยการคลิกที่คีย์บอร์ดตามคำสั่ง ซึ่งสามารถทำได้ถึงแม้ในขณะที่คอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานได้เลย โดยอาจจะเกิดจากระบบปฏิบัติการหรือฮาร์ดไดร์ฟเสียก็ตาม
เกรกอรี ไบรอันท์ รองประธานและผู้จัดการทั่วไปแผนกดิจิตอลออฟฟิศ ของอินเทลกล่าวว่า "อินเทล วีโปร เทคโนโลยี จัดเป็นโซลูชั่นที่จะเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่ายทั้งอุตสาหกรรมไอทีและอุตสาหกรรมไฮเทค และในทุกๆ ปี เราได้เปิดตัวนวัตกรรมที่เข้ามาแก้ปัญหาที่ยุ่งยากที่สุดในโลกไอทีได้เสมอ และในปี 2551 นี้ อินเทล วีโปร เทคโนโลยีจะยังคงช่วยลดภาระของแผนกไอทีต่อไป โดยการปรับเปลี่ยนให้การซ่อมแซมและดูแลระบบกลายเป็นงานอัตโนมัติ ที่ไม่เพียงจะช่วยให้ผู้ดูแลฝ่ายไอทีสามารถประหยัดเวลาได้แล้ว ยังช่วยให้เครื่องสามารถอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย"
นอกจากนั้นในปี 2551 นี้ อินเทลยังได้ปรับปรุงในเรื่องของระบบรักษาความปลอดภัยโดยการเพิ่มคุณสมบัติใหม่อีก 2 ชนิดเข้าไป คุณสมบัติที่ชื่อ Access Monitor จะทำการบันทึกกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระบบอย่างครบถ้วนและปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งเท่ากับเป็นการป้องกันปัญหาช่องโหว่เรื่องระบบรักษาความปลอดภัยภายในได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
การเพิ่มโซลูชั่นใหม่สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
นี่เป็นครั้งแรกที่อินเทลได้พัฒนาให้อินเทลวีโปรเทคโนโลยี ให้มีคุณสมบัติที่เหมาะกับความต้องการของธุรกิจขนาดเล็กได้ เนื่องจากบริษัทขนาดเล็กอาจไม่มีผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์อย่างลึกซึ้งเป็นผู้ดูแลระบบ ดังนั้นอินเทลจึงได้พัฒนา อินเทล? ไอทีไดเรกทอรี (Intel? IT Director) ขึ้นมาสำหรับบริษัทที่มีโน้ตบุ๊กหรือพีซีต่ำกว่า 25 เครื่อง ซึ่งจะเป็นหน้าจอ "สรุป" ที่ใช้งานง่าย เพื่อแสดงตัวแปรสำคัญๆ ของระบบและตัวแปรเกี่ยวกับสถานภาพของเครื่องที่กำหนดเอาไว้ และมีคุณสมบัติป้องกันการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ USB ที่มีความเสี่ยง และมีคุณสมบัติสำรองข้อมูลสำหรับให้ผู้ใช้ยังคงทำงานได้อย่างต่อเนื่องแม้ฮาร์ดไดร์ฟเกิดเสียขึ้นมาก็ตาม
สำหรับบริษัทขนาดเล็กที่ต้องการความช่วยเหลือเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับพีซีเป็นประจำ อินเทลได้พัฒนา Intel? Remote PC Assist Technology ที่ทำการเชื่อมต่อบริษัทเหล่านี้กับบริษัทผู้ให้บริการ ที่จะให้ความช่วยเหลือได้ในเวลาที่ผู้ใช้กดปุ่มตามคำสั่ง ซึ่งเมื่อมีการเชื่อมต่อแล้ว บริษัทผู้ให้บริการสามารถใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติเรื่อง out-of-band ระบบรักษาความปลอดภัย และระบบบริหารของวีโปรเทคโนโลยี เพื่อแก้ปัญหาจากทางไกลได้ โดยเทคโนโลยีนี้จะช่วยให้บริษัทผู้ให้บริหารสามารถให้บริการที่ดีขึ้นแก่ลูกค้า ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และเข้าถึงลูกค้าได้อย่างกว้างขวางกว่าเดิม ซึ่งในช่วงแรกนี้ เทคโนโลยีนี้จะมีการเริ่มใช้ในประเทศในกลุ่มทวีปอเมริกาเหนือเป็นลำดับแรก
นอกจากนั้นอินเทลยังได้เปิดตัวเมนบอร์ดรุ่นใหม่สองรุ่นที่รองรับคุณสมบัติต่างๆของ อินเทล วีโปร เทคโนโลยีนี้ เมนบอร์ดทั้งสองรุ่นี้จะมีการวางจำหน่ายจากตัวแทนจำหน่ายของอินเทล โดยรุ่น Intel? Desktop Board DQ45CB สำหรับพีซีขนาดมาตรฐานและ Intel? Desktop Board DQ45EK สำหรับเครื่องที่มีขนาดเล็ก
การสร้างโมเดลการประมวลผลแบบใหม่ที่ปลอดภัยมากขึ้นและบริหารได้ดีขึ้น
แผนกไอทีขององค์กรต่างๆ กำลังมองหาเทคโนโลยีชนิดใหม่ๆ เพื่อเอาไว้จัดสรรแอพพลิเคชันอยู่ เพื่อเสริมในด้านระบบรักษาความปลอดภัยที่มั่นคงยิ่งขึ้น มีระบบบริหารที่ดีขึ้น และลดมูลค่าโดยรวมของการเป็นเจ้าของระบบ ด้วยเหตุนี้อินเทลจะได้พัฒนาเทคโนโลยี Dynamic Virtual Client (หรือDVC) ขึ้นมา สำหรับโมเดลการประมวลผลกลุ่มใหม่นี้ ซึ่งเทคโนโลยีนี้สามารถทำงานร่วมกับอินเทลวีโปร เทคโนโลยี เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับระบบรักษาความปลอดภัยและการบริหารเอาไว้ที่เซิร์ฟเวอร์ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลาง แต่สามารถส่งแอพพลิเคชันตามความต้องการไปยังพีซีและโน้ตบุ๊กที่กำลังทำงานอยู่ การทำงานในลักษณะนี้ของ DVC จะช่วยให้ผู้ใช้ทำงานได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ ช่วยให้การบริหารระบบไอทีและระบบรักษาความปลอดภัยสามารถทำได้ง่ายขึ้น โดยแตกต่างจากโมเดล thin-client ตรงที่ DVC ไม่ได้สร้างภาระต่อศูนย์ข้อมูลแต่อย่างใด โดยเร็ว ๆ นี้บริษัทซิทริกซ์ เลอโนโว และไมโครซอฟท์ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์และโปรแกรมที่เกี่ยวกับ DVC ที่สามารถใช้จุดเด่นของเทคโนโลยี อินเทล วีโปร ออกสู่ตลาดแล้ว
อินเทล (NASDAQ:INTC) เป็นผู้นำระดับโลกในด้านนวัตกรรมซิลิกอน สร้างสรรค์เทคโนโลยี สินค้า รวมทั้งการริเริ่มต่างๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและการทำงานของผู้คนอย่างต่อเนื่อง ท่านสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอินเทลได้ที่ www.intel.com/pressroom และ blogs.intel.com