กรุงเทพฯ--14 พ.ย.--เจเอสแอล
อิ๊บ — เอ๋ย — แอ้ สามศรีพี่น้องเจ้าของเสื้อผ้าแบรนด์ Sretsis ถือเป็นดีไซเนอร์รุ่นใหม่ของไทยกำลังสร้างชื่อเสียงขจรไกลถึงนิวยอร์ค เสื้อผ้าสไตล์วินเทจของพวกเธอมีความโดดเด่นเฉพาะตัวจนมีสาขากว่ายี่สิบแห่งทั่วอเมริกา ยิ่งเมื่อมีลูกค้าประจำอย่าง ปารีส ฮิลตัน และน้องสาว นิกกี้ เสื้อผ้าของเธอยิ่งได้รับการกล่าวขานถึง “สองพี่น้องเขามีรสนิยมคล้ายๆกันนะคะ ชุดที่เธอซื้อไปเป็นแบบเดียวกันเลย นิกกี้มาซื้อไปก่อนค่ะ แต่พอตอนที่ปารีสมาซื้อไปใส่บ้าง แล้วบังเอิญนักข่าวแอบถ่ายภาพเธอซึ่งใส่ชุดเราพอดี เสื้อผ้าเราเลยเป็นที่ฮือฮาขึ้นมาในอเมริกาเลยค่ะ” แต่สิ่งที่น่าทึ่งของการเป็นเจ้าของแบรนด์ในครั้งนี้คือ ทุกคนไม่มีความรู้ด้านธุรกิจ มีเพียงความชอบและอยากจะทำ อีกทั้งคนที่ต้องทำงานด้านการออกแบบแต่กลับวาดรูปไม่เป็น!! ต้องติดตามใน “สุริวิภา” พุธที่ 15 พ.ย. นี้
อิ๊บ-คล้ายเดือน สาวสวยวัย 29 เอ๋ย-พิมพ์ดาว คนกลางวัย 26 และ แอ้-มทินา สุขะหุต น้องเล็กวัย 23 สามใบเถาของคุณแม่ยังสาวช่วยเล่าถึงความเป็นมาของการเปิดร้านของตัวเอง “คุณแม่เป็นคนที่ชอบแต่งบ้าน ชอบแต่งตัว พาลูกๆ ตัดชุดใหม่ตลอด และเป็นคนที่ตั้งใจเลือกของหายากสวยๆ เราก็คงได้จากแม่มาบ้าง และตอนเด็กๆ เราชอบเล่นตุ๊กตาจับแต่งชุดเสื้อผ้าสวยๆ หรือเอากระดาษทิชชู่มาทำชุด แล้วจัดแฟชั่นกันเอง อี๊บเป็นช่างภาพเอ๋ยเป็นสไตล์ลิสท์ แอ้เป็นนางแบบ พอตอนโตที่คุณแม่ทำธุรกิจหมู่บ้าน ก็เลยอยากให้ลูกๆ เป็นวิศวะ มัณฑนากร และสถาปนิกจะได้มาทำงานด้วยกัน เพราะอยากให้ลูกเป็นเจ้าของธุรกิจเป็นเจ้านายตัวเอง แต่ตอนนั้น เอ๋ยเรียนคอมพิวเตอร์ อิ๊บเรียนเศรษฐศาสตร์ แอ้เรียนโปรดักซ์ดีไซน์ พอเอ๋ยเรียนแค่ปีเดียวก็ไม่ชอบหันมาเรียนแฟชั่นดีไซน์
ระหว่างที่อยู่ปี 3 คุณแม่มีเพื่อนที่เกษรพล่าซ่าถามว่ามีพื้นที่ว่างจะทำอะไรไหม คนที่เรียนแฟชั่นดีไซน์ทุกคนหวังที่จะมีร้านเป็นของตัวเองอยู่แล้ว ก็ตกลงรับปากคุณแม่ แต่มีเวลาแค่ 3 วันทำทุกอย่าง ทั้งออกแบบ คิดคอนเซปท์ คิดชื่อร้าน ก็กลับคำว่า Sisters เพื่อให้เป็นตัวแทนของเรา โชคดีคุณแม่คอยช่วยและสนับสนุน แถมยังมีดีไซเนอร์รุ่นพี่ที่สนิทกับคุณแม่มาช่วยอีกแรง แรกๆยังไม่สมบูรณ์เป็นรูปเป็นร่างเท่าไร เพราะเอ๋ยก็ยังต้องดีไซน์จากนิวยอร์คที่กำลังเรียนส่งมาให้ จนเราได้ร่วมโชว์ในงาน Elle Fashion Week 2003 คนก็เริ่มรู้จักเรามากขึ้น อิ๊บก็เริ่มมาช่วยด้านการตลาดหลังจบปริญญาโทด้านสิ่งพิมพ์ที่นิวยอร์ค ส่วนแอ้ก็เปลี่ยนหันเลยเรียนจิวเวอรี่ดีไซน์ ก็ช่วยกันทำด้วยกันมาตลอด
ตอนนี้ที่เมืองไทยมี 3 สาขา ที่อเมริกามีโชว์รูมที่ขายหลายๆแบรนด์อยู่ 15 แห่ง และเป็นบูติคช็อปอีก 11 แห่ง และในห้างสรรพสินค้าชื่อดังของญี่ปุ่นในอเมริกา ส่วนที่ออสเตรเลียมีร้าน 15 แห่ง ซึ่งนับว่าเร็วมากในการขยายงานไปต่างประเทศภายในเวลาเพียง 2 ปี จากเริ่มแรกที่มีคนเห็นชุดเสื้อผ้าที่เราใส่ เขาก็มาถามว่าซื้อมาจากไหน พอบอกว่าของเราเอง ก็เลยสนใจขอดูแค็ตตาล็อกแล้วเริ่มสั่งจากตอนนั้น บางทีเขาก็เดินเข้าร้านเราเอง หรือเราเดินไปช็อปปิ้งร้านเขา แล้วเขาก็ติดต่อเอาไปขายเอง”
“สุริวิภา” จึงตามไปดูการทำงานของสามสาวถึงที่บ้านพัก ย่านแจ้งวัฒนะ ที่เป็นทั้งออฟฟิช สตูดิโอโชว์ผลงาน และแหล่งผลิต ทำให้ได้เห็นความรักความผูกพันที่ก่อให้เกิดความสำเร็จจากการทำงานร่วมกัน “ที่บ้านเป็น Home office ค่ะ ตื่นมาก็ลงมาทำงานเลย แล้วก็จะทานข้าวพร้อมกัน ไปไหนไปด้วยกันตลอด อื๊บจะดูแลด้านการตลาด ดูแลงานธุรการ และการส่งออก แอ้ก็จะทำงานออกแบบเครื่องประดับตกแต่งให้เข้ากับชุดที่เอ๋ยออกแบบ โดยจะทำงานกับพี่คนหนึ่งในสตูดิโอเล็กๆ ส่วนเอ๋ยจะอยู่กับงานแพทเทิร์น ออกแบบชุดเสื้อผ้า แต่ส่วนใหญ่เอ๋ยจะชอบทำงานกลางคืน พวกเราก็จะย้ายกันมาอยู่ในห้อง M ที่คุณแม่ต่อเติมให้เป็นพิเศษ เป็นทั้งห้องนั่งเล่น ทานข้าว และ ทำงานของเอ๋ยด้วย แล้ว แอ้กับอิ๊บ ก็จะนอนดูทีวีบ้าง อ่านหนังสือบ้าง หลับรอบ้าง เฝ้าจนกว่าเขาจะเสร็จงาน แล้วค่อยขึ้นนอนพร้อมกัน” และแทบทุกจุดของบ้านที่เดินผ่าน ไม่ว่าจะเป็นประตู ตู้ โต๊ะ เตียง ของกระจุกกระจิกหรือแม้แต่มือจับของก๊อกน้ำ ก็จะเห็นถึงความตั้งใจในการเลือกสรรของตกแต่งบ้านที่ละเอียดอ่อนสวยงาม สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลที่มีต่อลูกสาวทั้งสามอย่างชัดเจน
สามสาวฝากทิ้งท้ายไว้ว่า “ข้อดีของการทำงานด้วยกันของเรา คือ ไม่มีใครเข้าใจเราได้ดีเท่าพี่น้องของเรากันเอง พูดแค่นิดเดียวก็เข้าใจแล้วว่าต้องการอะไร แล้วความชอบของเราก็เหมือนๆกัน ทำให้เราเป็นตัวของตัวเองได้มากที่สุด แต่จะมีข้อเสียคือ ตลอดเวลาเราก็จะคุยกันแต่เรื่องงาน ไม่มีเวลาที่เป็นเรื่องส่วนตัว ขนาดไปเที่ยวหัวข้อพูดคุยก็ยังตามเรื่องงาน เหมือนงานเป็นชีวิตของเรา”
ติดตามชมใน “สุริวิภา” วันพุธที่ 15 พฤศจิกายน เวลาดีสี่ทุ่ม ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ต้องการข้อมูลเพิ่มติดต่อ วิรดา อนุเทียนชัย (วิ) 0 — 1804 - 5493
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net