กรุงเทพฯ--7 ก.ย.--บล.บัวหลวง
บล.บัวหลวง แนะนักลงทุนซื้อหุ้นที่มีความผันผวนน้อยให้ปันผลสูง เลี่ยงหุ้นที่มีภาพเอี่ยวกับการเมือง คาดหุ้นพลังงานลดความโดดเด่นหลังความต้องการใช้น้ำมันชะลอตัว พร้อมโชว์ ผลประกอบการบริษัทครึ่งปีแรก กำไรสุทธิ 102.85 ล้านบาท แจงผลงานธุรกิจอนุพันธ์ดีเกินคาดครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 8% ตั้งเป้าลูกค้าเปิดบัญชีสิ้นปี 400 บัญชี เตรียมขยายธุรกิจ OTC หรือการซื้อขายอนุพันธ์นอกตลาดไตรมาส 4 ปีนี้
นายญาณศักดิ์ มโนมัยพิบูลย์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) (บล.บัวหลวง) เปิดเผยว่า ทีมนักวิเคราะห์ของบล.บัวหลวง ได้ส่งสัญญาณการลงทุนก่อนเลือกตั้งว่าปัจจัยที่จะมีผลกระทบต่อการลงทุนในช่วงนี้ประกอบด้วย 3 ปัจจัยสำคัญ คือ
1.การเมืองกลับมาผันผวนอีกครั้ง จากการประมวลเหตุการณ์ทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นในเดือนกันยายน กระแสเงินจากต่างชาติที่จะไหลเข้ามาลงทุนในไทยอาจชะลอตัวได้ เพราะขาดความมั่นใจในเสถียรภาพทางการเมือง 2. อัตราดอกเบี้ยเริ่มมีแนวโน้มลดลงซึ่งคาดว่าน่าจะได้เห็นในปี 2550 เป็นผลมาจากอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มลดลง ทำให้การปรับลดอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มเกิดขึ้นในปี 2550 และปัจจัยสุดท้ายเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันอาจทำให้ความต้องการใช้น้ำมัน ลดลง แม้ราคาน้ำมันจะมีประเด็นความขัดแย้งเรื่องโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านสนับสนุน แต่เศรษฐกิจทั่วโลกได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นมากกว่า 15% นับจาก สิ้นปี 48 ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจอาจชะลอตัวซึ่งจะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลงได้
นายญาณศักดิ์เผยต่อว่า ทีมนักวิเคราะห์ของบล.บัวหลวงได้แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ว่าให้ลงทุนในหุ้นที่มีความผันผวนน้อยเมื่อเทียบกับภาวะทางเศรษฐกิจ (Defensive) โดยเป็นหุ้นที่ให้ปันผลสูง (Dividend yield) และเป็นกลุ่มที่ไม่ได้มีภาพที่เกี่ยวข้องกับการเมืองที่ชัดเจน
“ผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัว รวมทั้งการเมืองที่ยังคงค่อนข้างผันผวน จะทำให้การปรับขึ้นของตลาดในช่วงที่เหลือของปี 49 ปรับขึ้นได้อย่างจำกัดและด้วยความต้องการใช้น้ำมันที่ชะลอตัว จะทำให้หุ้นกลุ่มพลังงานไม่โดดเด่นเหมือนช่วงที่ผ่านมา และนักวิเคราะห์ของเราคาดว่า หุ้นที่เกี่ยวข้องกับอัตราดอกเบี้ยน่าจะได้รับผลบวก จากความเป็นไปได้ที่จะได้เห็นอัตราดอกเบี้ยปรับลง” นายญาณศักดิ์เผย
นายญาณศักดิ์ชี้แจงถึงผลการดำเนินงานประจำงวด 6 เดือนแรกของปี 2549 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิในงวด 6 เดือนแรกของปี 2549 เท่ากับ 102.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.50 ล้านบาท จากกำไรสุทธิ ในงวด 6 เดือนแรกของปี 2548 ซึ่งเท่ากับ 57.35 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 79.34 เมื่อเทียบกับ ผลการดำเนินงานในงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทั้งนี้มาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้รวมจำนวน 45.95 ล้านบาท ในขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมลดลง 9.37 ล้านบาท ประกอบกับบริษัทได้สิทธิประโยชน์จากการเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราที่ลดลง
นายญาณศักดิ์เผยถึงภาพรวมของบริษัทในครึ่งปีหลัง 2549 ในส่วนของสายงานธุรกิจหลักของบริษัทว่า ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ยังคงเป้าหมายส่วนแบ่งการตลาด 4% ในไตรมาส 4/2549 โดยมีส่วนแบ่งการตลาดเฉลี่ยทั้งปี 2549 ประมาณ 3.7% มุ่งเน้นทำการตลาดทุกกลุ่มนักลงทุน และยังผสานความร่วมมือกับธนาคารกรุงเทพในการขยายฐานนักลงทุนรายย่อย รวมทั้งพัฒนาคุณภาพบทวิเคราะห์เพื่อให้บริการนักลงทุนสถาบัน ด้านธุรกิจวาณิชธนกิจในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะมีผลงานการเสนอขายหลักทรัพย์ประมาณ 2-3 ดีล รวมทั้งงานด้าน M&A อีก 2-3 ดีล สำหรับธุรกิจการจัดการกองทุนมีมูลค่า เงินกองทุนภายใต้การจัดการประมาณ 10,000 ล้านบาท
ด้านนายมนู ตังทัตสวัสดิ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายธุรกิจอนุพันธ์ บล.บัวหลวง กล่าวถึง ความคืบหน้าการดำเนินงานธุรกิจอนุพันธ์ (TFEX) ว่า นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายบุคคลทั่วไป เริ่มหันมาให้ความสนใจกับตลาดอนุพันธ์มากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันการรับรู้ข่าวสารของประชาชนเพิ่มมากขึ้นและมีความเข้าใจมากขึ้น รวมทั้งบล.บัวหลวงเองก็ให้ความสำคัญกับภารกิจการให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่และนักลงทุนเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน โดยเน้นการจัดสัมมนาให้ความรู้แก่ลูกค้าทั้งที่สำนักงานใหญ่และสาขา ซึ่งส่งผลให้บริษัทมีบัญชีลูกค้าที่ซื้อขายอนุพันธ์อยู่ในขณะนี้ 200 บัญชี และตั้งเป้าไว้ที่ 400 บัญชีภายในสิ้นปีนี้
“ปัจจุบันบล.บัวหลวงมีส่วนแบ่งตลาดอนุพันธ์นับแต่เปิดตลาดอยู่ที่ประมาณ 8% จากเป้าหมาย ที่ตั้งไว้ว่าภายในปีนี้จะอยู่ที่ 7% ซึ่งเป็นผลงานที่ดีเกินคาด และเป็นโบรกเกอร์อันดับที่ 5 บริษัทมีนโยบายที่จะรักษาและเพิ่มระดับส่วนแบ่งตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทจะเดินหน้าจัดให้มีการอบรมสัมมนาลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นในการให้ความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ และเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับสินค้าใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็น index options หรือ bond futures ก็ตาม ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการเข้าทำธุรกิจซื้อขายอนุพันธ์ OTC หรือการซื้อขายอนุพันธ์นอกตลาด คาดว่าจะสามารถให้บริการได้ภายในไตรมาส 4 ของปีนี้” นายมนูเผย
สำหรับภาพรวมและแนวโน้ม SET50 Index Futures และสินค้าในอนาคตของตลาดอนุพันธ์ นายมนูกล่าวว่า สัดส่วนการซื้อขายแยกตามประเภทนักลงทุนคือ บุคคลทั่วไป 50% สถาบันในประเทศ 40% ต่างประเทศ 10% คาดว่าปริมาณการซื้อขายจะเพิ่มมากขึ้นจากการเปิดให้ซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ตและการอนุมัติให้ 4 บริษัทหลักทรัพย์ เป็นผู้เพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาด (Market Maker) และคาดว่าตลาดอนุพันธ์มีแผนเปิดการซื้อขายออปชั่นของดัชนี SET 50 ในเดือนเมษายน 2550 พร้อมๆ กับการเปิดและให้มีการซื้อขาย Bond Futures ในปลายปี 2550
“โดยส่วนตัวเชื่อว่า พัฒนาการของตลาดไทยจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ พิจารณาจากปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยมีพัฒนาการเริ่มจากเดือนพฤษภาคมมีการซื้อขาย 228.25 สัญญาต่อวัน มีสถานะคงค้างรวม ณ สิ้นเดือน 1,109 สัญญา และล่าสุดเดือนสิงหาคมมีการซื้อขาย 1,048 สัญญาต่อวัน มีสถานะคงค้างรวม ณ สิ้นเดือน 3,719 สัญญา นับว่ามีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 70.48% ต่อเดือน” นายมนูกล่าวอย่างมั่นใจ
ข้อมูลเพิ่มเติม
OTC (Over the counter) คือการซื้อขายอนุพันธ์นอกตลาด หมายถึงผู้ซื้อผู้ขายตกลงกันเองเนื่องจาก คุณลักษณะสัญญาเป็นตามที่คู่สัญญาแต่ละฝ่ายต้องการ
สื่อมวลชนสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
คุณปิยวรรณ อนันต์เวทยานนท์
ที่ปรึกษางานประชาสัมพันธ์ โทร. 081 994-1972