กรุงเทพฯ--3 ต.ค.--กรมศุลกากร
กรมศุลกากรเผยการจัดเก็บรายได้ ปี’51 เกินเป้ากว่าร้อยละ 13 ผลจากการพัฒนาศักยภาพ การปฏิบัติพิธีการศุลกากรด้วยระบบe-Customs เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน เพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางการค้ากับต่างประเทศ
นายยุทธนา หยิมการุณ ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง กรมศุลกากร กล่าวว่า ตามที่กรมศุลกากรได้พัฒนาระบบพิธีการศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติพิธีการศุลกากรและการอำนวยความสะดวกในการนำเข้า-ส่งออกสินค้า ทำให้ในปีงบประมาณ 2551 (1 ต.ค.50 — 30 ก.ย.51) กรมศุลกากรภายใต้การนำของนายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ อธิบดีกรมศุลกากร สามารถจัดเก็บรายได้ ถึงเกือบ 1 แสนล้านบาท ซึ่งสูงกว่าประมาณการที่ตั้งไว้ จำนวน 87,800 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 13
นอกจากนี้จากรายงานผลการสำรวจล่าสุดของธนาคารโลก การจัดลำดับความยาก-ง่ายในการดำเนินธุรกิจ (Doing Business 2009) จาก 181 ประเทศทั่วโลก พบว่าในภาพรวมประเทศไทยเลื่อนจากลำดับที่ 19 ในปีที่แล้ว มาเป็นลำดับที่ 13 ในปีปัจจุบัน ซึ่งธนาคารโลกระบุว่าผลการจัดลำดับที่ดีขึ้นดังกล่าวส่วนหนึ่งมาจากการที่กรมศุลกากรได้นำมาตรการและแนวทางปฏิบัติที่เป็นสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำระบบe-Customs มาใช้เพื่อลดระยะเวลาการปฏิบัติพิธีการศุลกากร ทำให้ในส่วนของการออกของและการควบคุมทางเทคนิคซึ่งกรมศุลกากรเป็นหน่วยงานหลัก พบว่าใช้เวลาลดลง เหลือเพียงร้อยละ 7.14 และ ร้อยละ 7.69 ของเวลาทั้งหมดที่ใช้ในการส่งออก และนำเข้าตามลำดับ ซึ่งช่วยส่งเสริมระบบโลจิสติกส์ของไทยให้มีศักยภาพทัดเทียมกับนานาประเทศ
ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง เพิ่มเติมว่า สำหรับในปีงบประมาณ 2552 กรมศุลกากรได้รับงบประมาณจำนวน 80 ล้านบาท ซึ่งกรมศุลกากรจะนำมาใช้ในการพัฒนาระบบฯ เพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถของระบบคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากรได้อีกเท่าตัว เพื่อรองรับปริมาณใบขนสินค้าที่ใช้ e-Customs มากขึ้น ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการไม่ให้ติดขัด เพื่อสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศ