กรุงเทพฯ--20 ม.ค.--กู๊ด เน็ทเวิร์ค พีอาร์
ฉลองเปิดสถานกงสุลใหญ่ “นาอูรู” ประจำประเทศไทยเป็นทางการ รัฐบาลนาอูรูไฟเขียวเฟตแรกทำการค้าระหว่างประเทศร่วมกัน หนุนให้ภาคธุรกิจ 3 ฝ่าย ประกอบด้วย MONTREE Group , RONPHOS และ หัวเหว่ย (Huawei) เปิดธุรกิจอุตสาหกรรมเหมืองแร่ฟอสเฟต อุตสาหกรรมเศษเหล็ก และธุรกิจโทรคมนาคม รวมมูลค่าการลงทุนเกือบ 1,000 ล้านบาท
นายเควิน ไล รองกงสุลใหญ่ สถานกงสุลใหญ่สาธารณรัฐนาอูรูประจำประเทศไทย และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่าสาธารณรัฐนาอูรูได้เล็งเห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และความสำคัญด้านการเปิดการค้าระหว่างประเทศนาอูรูกับไทย จึงทำการเปิดสถานกงสุลนาอูรูประจำประเทศไทยอย่างเป็นทางการ และในเอเชียแห่งนี้ นาอูรูได้เลือกจัดตั้งสถานกงสุลใหญ่ในประเทศไทยเพียงแห่งเดียว เพื่อให้เป็นประตูทางการค้าที่สำคัญระหว่างเอเชียและแปซิฟิก
ดังนั้นเพื่อสนับสนุนด้านความสัมพันธ์และการค้าระหว่างประเทศ ทางรัฐบาลจึงได้สนับสนุนให้เกิด การเซ็นสัญญาร่วมดำเนินธุรกิจ ของภาคเอกชนไทย และรัฐบาลนาอูรู โดย รอนฟอส / RONPHOS แห่งสาธารณรัฐนาอูรู กลุ่มบริษัท มนตรี / MONTREE Group (Thailand) ผู้ดำเนินกิจการด้านอุตสาหกรรมฟอสเฟตและปุ๋ยในประเทศไทย และกลุ่ม หัวเหว่ย (Huawei Technologies Co.,Ltd.) ผู้ดำเนินการด้านโครงการติดตั้งวางเครือข่ายระบบโทรศัพท์มือถือที่ทันสมัยที่สุดในสาธารณรัฐนาอูรู
การดำเนินธุรกิจร่วมกันนั้นประกอบด้วย กิจการด้านอุตสาหกรรมเหมืองแร่ฟอสเฟต กิจการด้านการแปรรูปวัตถุดิบพวกเศษเหล็กจากอุตสาหกรรมก่อสร้างในนาอูรู และโครงการติดตั้งวางเครือข่ายระบบโทรคมนาคม คิดรวมมูลค่าโครงการ 20 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 800 ล้านบาท ซึ่งจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในปี 2549 นี้
นายเควิน ไล รองกงสุลใหญ่ กล่าวต่อไปว่า โครงการที่มีศักยภาพและจะดำเนินการในระยะต่อไป คือ กิจการด้านการประมง เนื่องจากน่านน้ำทะเลของนาอูรูนั้น มีความอุดมสมบูรณ์มาก โดยเฉพาะปลาทูน่า โดยสาธารณรัฐนาอูรูจะพิจารณาการเปิดสัมปทานการประมงในน่านน้ำทะเลของประเทศให้แก่ไทย เพราะที่ผ่านมา ยังไม่มีกิจการด้านการประมงของไทยได้สิทธิ์สัมปทานในน่านน้ำของนาอูรู มีแต่เพียงประเทศไต้หวัน ออสเตรเลีย ฮ่องกง เท่านั้นที่มีโอกาสได้รับ
นายเควิน ไล กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการเปิดความสัมพันธ์ด้านการค้าระหว่างประเทศครั้งนี้ จะส่งผลให้นาอูรูมีการเจริญเติบโตทางธุรกิจ และเกิดมูลค่าการส่งออกสินค้าจากนาอูรูมายังไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าไว้ที่สัดส่วน 50 % ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด จากปัจจุบันนาอูรูมีมูลค่าการส่งออกสินค้าไปขายยังต่างประเทศปีละ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่ผ่านมาสินค้าส่วนใหญ่ที่ทำการค้าขายระหว่างไทยกับนาอูรู เป็นพวกข้าวและอาหาร โดยมีการค้าขายระหว่างกันผ่านประเทศที่สาม
สาธารณรัฐนาอูรูมีบทบาทบนเวทีโลกที่สำคัญ กล่าวคือ แม้จะเป็นประเทศเล็ก แต่ก็จัดเป็น 1 เสียงที่มีผลต่อการตัดสินใจใด ๆ เช่นกรณีการโหวตเลือกเลขาธิการคนใหม่ขององค์การสหประชาชาติ นาอูรูมีแนวโน้มที่จะลงคะแนนให้กับ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองนายกรัฐมนตรี ในการแข่งขันชิงตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติที่หมุนเวียนมายังหมู่ประเทศในเอเชียอีกครั้งในรอบหลายทศวรรษ แม้ว่าสาธารณรัฐนาอูรูเป็นเพียงประเทศเล็กที่สุดอันดับ 3 ของโลก ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปออสเตรเลีย มีประชากรเพียงแค่ 12,800 คน มีพื้นที่ดิน 21 ตารางกิโลเมตร แต่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะเหมืองแร่ฟอสเฟต หรือ ปุ๋ย ขนาดใหญ่เก่าแก่ถึง 40 ปี มีกำลังการผลิต 1 ล้านเมตริกตันต่อปี ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมการส่งออกที่สำคัญที่สุดของประเทศ อีกทั้งยังเป็นปุ๋ยที่มีคุณภาพดีที่สุดในโลกด้วย คณะรัฐบาลชุดปัจจุบันได้บริหารประเทศมาเป็นเวลา 2 ปี โดยจัดการเลือกตั้งขึ้นทุก 3 ปี สภาประกอบไปด้วยสมาชิกทั้งหมด 18 ท่าน และปัจจุบันสมาชิกสภาผู้มีอายุน้อยที่สุด มีอายุเพียง 25 ปีเท่านั้น
ในอนาคตทางสาธารณรัฐนาอูรูมีแนวโน้มที่จะนำเข้าแรงงานจากไทยไปทำงานด้านอุตสาหกรรมเหมืองแร่ อุตสาหกรรมก่อสร้างต่อเนื่องในนาอูรู การพิจารณาเปิดเส้นทางบินเชื่อมโยงกันเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีเพียง 2 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ จากออสเตรเลียมานาอูรูเท่านั้น และการแลกเปลี่ยนด้านการศึกษา ความรู้ วัฒนธรรมกับสถาบันการศึกษาของไทย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณภาวินี ชนะพลชัย ประชาสัมพันธ์
โทร 0-2946-8470-2
สามารถคลิกดูภาพได้ที่ www.thaipr.net--จบ--