กรุงเทพฯ--14 ต.ค.--เอพีเอฟ
เอพีเอฟ กรุ๊ป เปิดแผนการลงทุนปี 2552 เน้นซื้อกิจการเพื่อการลงทุนทั้ง Non Bank และ อสังหาริมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกับผู้ถือหุ้นเป็นหลัก ไม่สนภาวะวิกฤติเศรษฐกิจโลก และในประเทศไทย มองเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุน โดยมีเงินพร้อมลงทุนมากกว่า 10 โปรเจ็ค ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจา 3-4 โปรเจ็ค เผยคุณสมบัติเลือกกิจการ ยึดหลักวัตนธรรมองค์กรเข้ากันได้ การบริหารงานโปร่งใส มีทิศทางเติบโตที่ชัดเจน ส่วน APFII บริษัทน้องใหม่ในกลุ่มยืนยันพร้อมให้การสนับสนุนเต็มที่, GL เติบโตดีมาก, US-UAM ทิศทางดี ซีโวล่ารีสอร์ทยังดึงดูดนักท่องเที่ยว เว็ดจิ โฮลดิ้ง-โชวะรับเบอร์ กำลังเจรจาทำธุรกิจในไทย ด้านซันวาเตรียมเปิดสนามเทนนิส และสปอตคลับครบวงจรปลายปี ธุรกิจอาหารในไทยก็กำลังเติบโต ได้รับความสนใจทั้งคนไทยและคนญี่ปุ่น เนื่องจากเป็นสูตรต้นตำหรับแบบฉบับญี่ปุ่น
นายมิทซึจิ โคโนชิตะ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Asia Partnership Fund Group (APF Group) กล่าวถึงทิศทางการลงทุนของเอพีเอฟ กรุ๊ปในปี 2552 ว่า ยังมีนโยบายซื้อกิจการเพื่อการลงทุน โดยกลุ่มธุรกิจหลักๆ ยังสนใจอสังหาริมทรัพย์ และสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non Bank) รวมไปถึงธุรกิจประเภทอื่นๆ ที่น่าสนใจ แต่ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในกลุ่มไหน จะเน้นธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกับผู้ถือหุ้น
"เอพีเอฟ เรายังมีนโยบายเข้าลงทุนโดยการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เหมือนเดิม ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non bank Financial institution) แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะซื้อธุรกิจอะไร ขึ้นอยู่กับผลตอบแทน ต้องเป็นที่น่าพอใจ"
ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่า ภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย อยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วง มีแนวโน้มที่จะชะลอตัว ทำให้นักลงทุนหลายรายชะลอการลงทุน สถานการณ์แบบนี้ ทางเอพีเอฟ กรุ๊ป มองเป็นโอกาส ถ้าได้เป้าหมายที่เหมาะสม ได้ทีมผู้บริหารที่สามารถเข้าไปดูแลธุรกิจให้ได้ผลตอบแทนที่ดี ก็จะเข้าไปลงทุน แต่ต้องสามารถSynergy ได้ดีกับกลุ่มบริษัทเดิมที่ได้เข้าไปลงทุนไว้ก่อนหน้าด้วยเช่นกัน
"เกี่ยวกับนอนแบงก์ก็กำลังมอง ๆ อยู่ มีการพูดคุยกันทั้งในประเทศไทย และในประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีการพูดคุยกันทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งโดยหลักๆ แล้วเราเน้นในโซนเอเซียเป็นหลัก เพราะปัจจุบันมีนักลงทุนที่สนับสนุนด้านเงินทุนกับทางเอพีเอฟ กรุ๊ป มาแล้วมากกว่า 10 โปรเจ็ค ในจำนวนนี้อยู่ระหว่างการเจรจาต่อรอง 3-4 โปรเจ็ค เรื่องเงินทุนเรามีความพร้อม”
การทำธุรกิจของเอพีเอฟ กรุ๊ป ที่ผ่านมานั้นประสบความสำเร็จทั้งสิ้น เพราะเรายึดหลักวัฒนธรรมองค์กรที่มีวิธีคิดในทิศทางเดียวกัน คือ ดำเนินการด้วยความโปร่งใส ทำให้การเลือกกิจการใดๆ ก็ตาม จะยึดหลักการบริหารจัดการภายในองค์กรที่โปร่งใสก่อน เช่น ยึดตามกฎ ตามมาตรฐาน ตามระเบียบของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และนอกจากผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับแล้ว ยังมองถึงทิศทางการเติบโตในอนาคตว่าเป็นอย่างไร เพราะการลงทุนในแต่ละครั้งเน้นเพื่อลงทุนในระยะยาว ที่ผ่านมาจะได้เห็นว่า แต่ละธุรกิจที่เอพีเอฟ กรุ๊ป เข้าไปลงทุนได้เริ่มทำกำไรแล้ว บางธุรกิจทำกำไรได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ เช่น กรณีของ บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL ที่กำลังมีแนวโน้มเติบโตที่ดี
"ขณะนี้เราอยู่ในขั้นตอนของการเจรจาต่อรองแล้วประมาณ 3-4 โปรเจ็ค บางโปรเจ็คอาจจะเกิดขึ้นเร็วมาก แต่ส่วนใหญ่แล้ว ช้าหรือเร็ว จะขึ้นอยู่กับผู้ขาย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับทางเอพีเอฟ กรุ๊ป โดยโปรเจ็คที่จะเข้าลงทุนมีทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยต่างประเทศจะเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งได้คุยกันเบื้องต้นแล้วมีจำนวน 2 ราย บางดีลอาจจะจบภายในปีนี้ ส่วนในประเทศไทยจะเป็นนอนแบงก์ และ อสังหาริมทรัพย์แน่นอน
สำหรับพอร์ตการลงทุนของเอพีเอฟ กรุ๊ป ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 1 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ การลงทุนในประเทศไทยอยู่ประมาณ 100 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ การเพิ่มขึ้นของพอร์ตการลงทุนนั้น นอกจากจำนวนสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังขึ้นอยู่กับการเพิ่มขึ้นของมูลค่าสินทรัพย์ที่เข้าไปลงทุนด้วย ไม่ใช่แค่การเพิ่มขึ้นจากการซื้อสินทรัพย์เพียงอย่างเดียว
นายมิทซึจิ กล่าวถึงการลงทุนของบริษัทในกลุ่มที่น่าสนใจ เช่น บริษัท เอพีเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล อินชัวร์รันส์ จำกัด หรือ APFII ซึ่งเป็นน้องใหม่ของกลุ่ม ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างองค์กร และจะมีการเพิ่มทุนอีกครั้งภายในเดือนตุลาคมนี้จำนวน 50 ล้านบาท เพื่อเตรียมรองรับการขยายงาน และลูกค้าที่จะเพิ่มขึ้น เนื่องจากยอดขายจะเพิ่มขึ้นช่วงปลายปี ซึ่งเงินทุนดังกล่าวน่าจะเพียงพอไปจนถึงประมาณเดือนมีนาคม 2552 ก่อนจะทำการเพิ่มทุนอีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2552
"เรื่องของเงินทุน เราไม่มีปัญหาสำหรับ APFII เราพร้อมจะใส่เงินเพิ่มขึ้นหากต้องการ หลังจากการเพิ่มทุนครั้งนี้แล้ว ก็จะมาดูกันอีกครั้งว่า ปีหน้าจะต้องใช้เงินเพิ่มมากขึ้นขนาดไหน ส่วนงานที่มาจากบริษัทในกลุ่ม ก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ เอพีเอฟไอไอ มีลูกค้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะงานด้านมอเตอร์เพิ่มขึ้นแน่นอน รวมทั้งก็ยังมีการพูดคุยกันในช่องทางทำการตลาดทางด้านอื่นๆ ด้วย"
ในส่วนของ บล.ยูไนเต็ด หรือ US นอกจากเป็นผู้ดำเนินการทางด้านดีลต่างๆ ให้กับเอพีเอฟ กรุ๊ป แต่ในแง่การทำธุรกิจแล้ว จะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เน้นการบริหารจัดการที่ดีให้ประโยชน์สูงสุดต่อลูกค้า และผู้ถือหุ้น มีผู้บริหารที่มากความสามารถ น่าจะทำให้ภาพรวมของบล.ยูไนเต็ดดีขึ้น โดยเฉพาะอัตราการเติบโต
สำหรับ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนยูไนเต็ด หรือ UAM ปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรในตะวันออกกลาง ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ โดยเฉพาะตะวันออกกลาง เป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง โดยได้เข้าไปเสนอช่องทางการลงทุนในประเทศไทยในลักษณะ Exclusive Service ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ มีกำลังซื้อสูง หลังมีการทำสัญญากันแล้ว จะทำให้มีลูกค้าเพิ่มขึ้น จะมีการขยายตัวได้อย่างมาก นอกจากนี้ทาง UAM ยังขยายฐานลูกค้าโดยเข้าบริหารพอร์ตการลงทุนให้กับบริษัทในกลุ่มด้วย เช่น APFII
“การบริหารพอร์ตของธุรกิจประกันภัยนั้น ในระยะแรกจะเริ่มต้นที่ประมาณ 50-60 ล้านบาท เน้นการลงทุนระยะสั้น ที่ให้ผลตอบแทนดี เพราะธุรกิจประกันวินาศภัยจะต้องมีสภาพคล่องเพื่อการเคลมประกัน แตกต่างจากประกันชีวิตที่ต้องเน้นการลงทุนระยะยาว”
ในส่วนของ บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL หลังจากเอพีเอฟ กรุ๊ป เข้าไปลงทุนจนถึงปัจจุบันพอร์ตสินเชื่อเติบโตกว่า 60% ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการได้อนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 275 ล้านบาท เป็น 399 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่ 124 ล้านบาท ออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ครั้งที่ 2 (GL-W1) จำนวน 24.30 ล้านหน่วย เพื่อขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น และออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทครั้งที่ 3 (GL-WB) จำนวน 5 แสนหน่วย เพื่อจัดสรรให้กับกรรมการและพนักงานของบริษัท รวมไปถึงการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน เพื่อรองรับการใช้สิทธิของ GL-W1 และ GL-WB
"การออกหลักทรัพย์เพิ่ม เพื่อรักษาสัดส่วนหนี้สินต่อทุน และนำเงินมาใช้หมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ เป็นการเพิ่มสภาพคล่อง และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้โครงสร้างทางการเงิน ลดความเสี่ยงในระยะยาว ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจซึ่งคาดการณ์ได้ยาก หากสามารถรักษาคุณภาพลูกหนี้ และบริหารจัดการหนี้เสียให้อยู่ในระดับต่ำ ก็น่าจะพอรักษาระดับการเติบโตได้"
ทางด้านของ ซีโวล่ารีสอร์ท ทางเอพีเอฟ ได้เข้าซื้อกิจการตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 ถ้าเข้าไปดูที่ผลประกอบการจะเห็นว่า ผลประกอบการออกมากระแสเงินสดดีขึ้น มีการทำ Package ใหม่ๆ น่าสนใจ เป็นที่ยอมรับของนักท่องเที่ยว เช่น Package งานแต่งงาน ที่มีสนใจจำนวนมาก พูลวิลล่ากำลังจะแล้วเสร็จขณะนี้เริ่มออกโปรโมชั่นรองรับแล้ว ปีหน้าคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตมากขึ้น เพราะมีการวางแผนทำตลาดญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันตลาดที่ ยุโรป อเมริกา ก็ยังเติบโตดี
"เราบริหารต้นทุนได้ดี เช่น เปลี่ยนแพ็คเก็จให้เหมาะสม ปรับอัตราค่าบริการ นอกจากนี้ สปา แอ็คติวิตี้ รวมทั้งร้านขายสินค้าบูติค ก็ถูกใจนักท่องเที่ยว มีการลงทุนเพิ่ม เพื่อเสริมศักยภาพ และการบริหารที่ดีให้กับลูกค้า"
ส่วนความคืบหน้าของธุรกิจในประเทศญี่ปุ่น เช่น บริษัท เว็ดจิ โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งทำธุรกิจบันเทิงครบวงจร ก็มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร และมีแผนในการขยายธุรกิจในประเทศไทย ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับค่ายเพลงรายใหญ่ รวมทั้งผู้ผลิตอนิเมชั่นในประเทศไทยอีกด้วย คาดว่าภายในสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้าทุกอย่างน่าจะชัดเจนมากขึ้น
ในส่วนของ บริษัท โชวะ รับเบอร์ จำกัด ที่ทำเกี่ยวกับธุรกิจผลิตภัณฑ์ยางพาราแบบครบวงจรรายใหญ่ของประเทศญี่ปุ่น เร็วๆ นี้จะเข้ามาพูดคุยกับผู้ประกอบการสวนยางบางแห่ง โดยมี 2 แนวทาง เช่น อาจจะนำเข้ายางพาราจากประเทศไทยเข้าไปที่ญี่ปุ่นมากขึ้น หรืออีกแนวทางหนึ่งก็คือ อาจจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยก็ได้ ขณะนี้ทุกอย่างอยู่ระหว่างพิจารณาความเหมาะสมของการลงทุน และภาวะเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศด้วยเช่นกัน
ด้านธุรกิจกีฬา กลุ่มของซันวา อาทิ ซันวาเทนนิส อเคเดมี ปัจจุบันอยู่ที่สุขุมวิท 24 ขณะนี้อยู่ระหว่างการสร้างสนามใหม่ คาดว่าประมาณปลายเดือนธันวาคม 2551 จะแล้วเสร็จ และจะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ ซึ่งธุรกิจนี้ถือเป็นธุรกิจแรกๆ ของกลุ่มเอพีเอฟ ในประเทศไทยที่ได้มาตรฐานระดับสากล และมีอัตราการเติบโตมาโดยตลอด
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ฝ่ายประชาสัมพันธ์
สมร ภู่อิ่ม (อ้อย) ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารมวลชน และ นักลงทุนสัมพันธ์ Mobile. 081-984-4814
ทิพสุคนธ์ เภาโบรมย์ (ขวัญ) หัวหน้าฝ่ายสื่อสารมวลชน Mobile. 081-635-5205