กรุงเทพฯ--20 ต.ค.--ธนาคารทหารไทย
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB Bank เผยผลประกอบการของธนาคารและบริษัทย่อย ก่อนการสอบทานงวด 9 เดือนของปี 2551 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน ว่า ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 4,414 ล้านบาท เมื่อเทียบกับผลขาดทุนสุทธิ 20,687 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของปี 2550
ทั้งนี้ ผลประกอบการเฉพาะในไตรมาสที่ 3 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไร 1,666 ล้านบาท เพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับขาดทุนสุทธิ 2,540 ล้านบาท ในไตรมาสเดียวกันของปี 2550 สำหรับงบการเงินเฉพาะของธนาคาร มีผลกำไรสุทธิ 1,769 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 3 หรือเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับขาดทุนสุทธิ 2,626 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของปีที่แล้ว
นายบุญทักษ์ กล่าวว่า ผลกำไรดังกล่าวเกิดจากการที่ธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิเพิ่มขึ้น เนื่องจากธนาคารมีการจัดการสินทรัพย์และหนี้สินที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญของธนาคารก็มีจำนวนที่ลดน้อยลงกว่าเดิม ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ได้มีการตั้งสำรองอย่างเพียงพอในปี 2550 ตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อรองรับการบังคับใช้มาตรฐานบัญชีสากล IAS 39 ยิ่งไปกว่านั้น ธนาคารไม่มีภาระที่จะต้องตัดจ่ายค่าความนิยม และการด้อยค่าของค่าความนิยม (impairment charge) ที่ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้วในปี 2550
การดำเนินงานในงวด 9 เดือน 2551 ธนาคารและบริษัทย่อยมีรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิ 12,304 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 214 ล้านบาท หรือ 1.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2550 เนื่องจากต้นทุนทางการเงินของธนาคารมีการปรับลดในอัตราที่สูงกว่าการลดลงของอัตราผลตอบแทน
จากสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ดอกเบี้ย ส่งผลให้ธนาคารมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Margin — NIM) ในงวด 9 เดือน ปี 2551 เพิ่มขึ้นเป็น 2.7% จาก 2.3% ในงวดเดียวกันของปี 2550
ในงวด 9 เดือน ของปี 2551 ธนาคารและบริษัทย่อยมีรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยรวม 5,688 ล้านบาท ลดลง 274 ล้านบาท หรือ 4.6% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการลดลงของกำไรจากการลงทุนตามภาวะตลาดที่ผันผวน และจากการบันทึกการด้อยค่าของหลักทรัพย์ที่ราคาตลาดต่ำกว่าราคาต้นทุนเป็นระยะเวลาหนึ่ง ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551
ณ วันที่ 30 กันยายน 2551 ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวม 592,987 ล้านบาท ลดลง 29,174 ล้านบาท หรือ 4.7 % จากสิ้นปี 2550 โดยมีเงินให้สินเชื่อ รวม 427,484 ล้านบาท ลดลง 37,411 ล้านบาท หรือ 8% จากสิ้นปีที่แล้ว เนื่องจากธนาคารมีการปรับโครงสร้างเงินให้สินเชื่อ และการที่ลูกค้าชำระคืนสินเชื่อที่ครบกำหนด
ธนาคารและบริษัทย่อยมีเงินลงทุนสุทธิ จำนวน 107,849 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11,503 ล้านบาท หรือ 11.9% จากสิ้นปี 2550 เนื่องจากธนาคารมีการปรับนโยบายการบริหารสินทรัพย์ โดยเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารทางการเงิน เช่น พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย
ทรัพย์สินรอการขายสุทธิของธนาคารและบริษัทย่อย มีจำนวน 21,481 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี 2550 เนื่องจากมีการจำหน่ายออกไปจำนวน 1,075 ล้านบาท หรือ 4.8% ส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพมีจำนวนรวม 70,741 ล้านบาท ลดลง 5,771 ล้านบาท หรือ 7.5% จากสิ้นปี 2550
ส่วนของผู้ถือหุ้น ของธนาคารและบริษัทย่อย มีจำนวน 48,488 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,967 ล้านบาท หรือ 8.9% จากสิ้นปี 2550 เนื่องจากผลกำไรสุทธิในงวด 9 เดือน ปี 2551 จำนวน 4,414 ล้านบาท และการเพิ่มขึ้นของส่วนเกินทุนจากการตีราคาสินทรัพย์ จำนวน 2,101 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นดังกล่าวถูกหักด้วยการลดลงของส่วนเกินทุนจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าเงินลงทุนจำนวน 2,071 ล้านบาท ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 กันยายน 2551 ธนาคารมีระดับความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy Raito — CAR) อยู่ที่ 17.4% ซึ่งเป็นระดับที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับธนาคารชั้นนำอื่นในประเทศ
นายบุญทักษ์กล่าวเพิ่มเติมว่า “ผลประกอบการที่ดี มีความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องใน 9 เดือนที่ผ่านมาของธนาคารเป็นสิ่งที่น่ายินดี และสะท้อนถึงความพร้อมและศักยภาพในการดำเนินธุรกิจและการแข่งขันของธนาคาร ด้วยความพร้อมด้านฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง สำหรับการลดสัดส่วนหนี้ด้อยคุณภาพโดยการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพและสินทรัพย์รอการขาย (NPL/NPA) ในส่วนที่ยากที่จะฟื้นฟูได้ ซึ่งธนาคารอยู่ในระหว่างการดำเนินการนั้น ถึงแม้ว่าขณะนี้จะเกิดภาวะวิกฤตทางการเงินอย่างรุนแรงในสหรัฐอเมริกาและยุโรป อันส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม ซึ่งคาดว่าคงจะมีผลทำให้ราคาขาย NPL/NPA ดังกล่าว อาจไม่เป็นไปตามที่ควรจะได้รับ ธนาคารก็คงจะยังดำเนินการขาย NPL/NPA ดังกล่าว เพื่อให้ธนาคารสามารถทุ่มเทกับการพัฒนาธุรกิจโดยมุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric Organization) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจที่ธนาคารได้กำหนดไว้และกำลังเร่งดำเนินการ ทั้งนี้ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการให้บริการทางการเงินที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม และสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้แก่ธนาคารและผู้ถือหุ้นในระยะยาว”
ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน)
ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2500 ประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ และประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ตามที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลัง โดยความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่ ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ วาณิชธนกิจและธุรกิจอื่นๆ เช่น การเป็นตัวแทนจำหน่ายประกัน
ธนาคารมุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าประเภทต่างๆ ผ่านเครือข่ายสาขารวมทั้งสิ้น 471 สาขา สำนักงานแลกเปลี่ยนเงิน 108 แห่ง เครื่องเอทีเอ็มจำนวน 1,804 เครื่อง รวมทั้งให้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ประเภทต่างๆ
ธนาคารทหารไทย เป็นธนาคารที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีสินทรัพย์รวม 592,987 ล้านบาท (ณ วันที่ 30 ก.ย. 51) นับเป็นธนาคารที่มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิเป็นอันดับหกในระบบธนาคารพาณิชย์ของไทย
www.tmbbank.com
ธนาคารทหารไทย: ร่วมคิด เพื่อทุกก้าวของชีวิต
TMB Bank: Better Partner, Better Value
สำนักสื่อสารภาพลักษณ์องค์กร
รายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 02 242 3255/ 02 242 3260 / 085 813 3020