Bloody-Disgusting ได้ยลโฉมแรกของ Scar ในระบบ HD 3-D!

ข่าวบันเทิง Monday October 20, 2008 13:07 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--20 ต.ค.--สหมงคลฟิล์ม สัญชาติ อเมริกัน ประเภท สยองขวัญสามมิติ อำนวยการสร้าง นอร์แมน ทเวน (Spinning into Butter, Lean on Me) กำกับการแสดง เจ็ด วายน์ทร๊อป(The F Word, On_Line) นำแสดง แองเจล่า เบ็ตติส (May, Girl Interrupted) เคอร์บี้ บลิส แบลนตั้น (Entourage, Hannah Montana) เดวอน เกรย์ (Dexter) จัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์ กำหนดฉาย 30 ตุลาคม 2551 Official Site http://www.scarthemovie.com Bloody-Disgusting ได้ยลโฉมแรกของ Scar ในระบบ HD 3-D! ความวุ่นวายระหว่างการฉายรอบพิเศษ Scar… เมื่อคืนนี้ทางเว็ปไซค์ Bloody-Disgusting ได้มีโอกาสเข้าชมรอบพิเศษของ Scar หนัง 3-D High Definition ของ เจ็ด วายน์ทร๊อป (Jed Weintrob) นำแสดงโดย แองเจล่า เบ็ตติส Angela Bettis, เคอร์บี้ บลิส แบลนตั้น (Kirby Bliss Blanton), คริสโตเฟอร์ ไททัส (Christopher Titus), เดวอน เกรย์ (Devon Graye) และ แบรนดอน เจย์ แม็คคลาเรน (Brandon Jay McLaren) ถึงแม้ว่าผมจะไม่สามารถเขียนบทวิจารณ์สำหรับภาพยนตร์ที่ยังตัดต่อไม่สมบูรณ์ได้ แต่ผมจะพูดถึงความกล้าในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในหนังสยองขวัญเช่นนี้ ผมเป็นหนึ่งในผู้โชคดีที่ได้มีโอกาสชมเวอร์ชั่นแรกของ Scar ที่แสดงโดย แองเจล่า เบ็ตติส Angela Bettis, เคอร์บี้ บลิส แบลนตั้น (Kirby Bliss Blanton), คริสโตเฟอร์ ไททัส (Christopher Titus), เดวอน เกรย์ (Devon Graye) และ แบรนดอน เจย์ แม็คคลาเรน (Brandon Jay McLaren) ถ้าถามว่าทำไมผมถึงโชคดีหน่ะเหรอ มันไม่ใช่เพียงแค่ผมได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ก่อนใคร แต่เป็นเพราะผมได้รับโอกาสในการเป็นส่วนหนึ่งของอนาคตของโลกภาพยนตร์ด้วยตาตัวเอง นั้นแหละคือสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้น Scar เป็นภาพยนตร์ที่ใช้คนแสดงจริงเรื่องแรก ที่ได้นำเอาเทคโนโลยี HD 3-D และผสมผสานกับหนังแนวสยองขวัญที่หลายๆคนชื่นชอบ ซึ่งมันก็เป็นประเภทหนังที่เหมาะสมมาก ในการดึงเอาศักยภาพของเทคโนโลยีนี้ออกมาใช้ให้เต็มที่ที่สุดซึ่งประสบการณ์ที่ผมได้รับนั้น มันดีกว่าที่คาดเอาไว้มาก เพราะไอเดียของหนังสามมิตินั้น จะมีจุดบอดในเรื่องที่ต้องใส่แว่นตาสีแดง-ฟ้า ซึ่งมันก็ไม่สามารถพัฒนาคุณภาพของหนังได้ เพราะมันถูกใช้เป็นเพียงเป็นลูกเล่นเก๋ๆเท่านั้น แต่ Scar คือบทพิสูจน์ว่าหนังสามมิติไม่มีวันถูกลืมเลือน ถ้าจะให้นับว่านี้เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ตั้งใจใช้เทคนิคสามมิติอย่างจริงจังแล้ว Scar ถือว่าสมบูรณ์แบบจริงๆ Scar เป็นหนัง ทริลเลอร์/ดราม่า ที่ผสมผสานกับหนังประเภททัณฑ์ทรมาน (Torture Porn) และเมื่อฉากการทรมานปรากฏตัวขึ้นบนจอ มันก็จะทำให้คนดู (ที่ชื่นชอบหนังประเภทนี้) มีความรู้สึกว่าตัวเองกำลังได้รับของขวัญ มีหลายอย่างที่ดูน่าสะอิดสะเอียดและโหดร้าย เช่นมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกตัดลิ้นและโยนลงบนพื้น ผมพบว่าตัวเองอยากจะเบือนหน้าหนีในหลายฉาก แต่ในเคสของผมนั้นยังไม่เท่าไร เพราะเมื่อหนังจบ มีคนที่นั่งชมอยู่แถวบนเป็นลมหมดสติไป ทำให้หน่วยปฐมพยาบาลมาช่วยเขาเป็นการใหญ่ และก็ยังมีอีกคนที่วิ่งออกไปอาเจียนในถังขยะ นี้คือสิ่งที่คุณมองหาในหนังสยองขวัญหรือเปล่า? คุณอยากจะต้องการรับประสบการณ์ให้สมจริงกว่าเดิมหรือไม่? ถ้าคำตอบของคุณคือใช่ ก็จงเตรียมตัวเตรียมใจที่จะถูกภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ทำงายได้แล้ว จงจำเอาไว้ Scar จะมาสร้างรอยแผลในใจของคนดูทุกคนในปี 2008 บทวิจารณ์ภาพยนตร์จาก Fangoria.com สำหรับแฟนเดนตายของหนังสยองขวัญ คงต้องออกมองหา Scar ที่กำลังลงโรงฉายอยู่ในขณะนี้ นี้เป็นภาพยนตร์ที่เต็มไป ความโหดร้ายที่ดูรุนแรงเกินจริง และความตื่นเต้นที่จะทำให้คุณต้องสั่นผวา มีเลือดเป็นจำนวนมหาศาลใน Scar ซึ่งถูกรวมอยู่ในประเภทหนังทัณฑ์ทรมาน (Torture Porn) ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ (เช่น Saw, Hostel และล่าสุดอย่าง Captivity ที่ด้อยกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ในทุกๆด้าน) แต่ Scar ไม่ได้พึ่งแต่เพียงความรุนแรงและฉากแหวะๆเพื่อประคองเนื้อเรื่องให้ดำเนินไปเท่านั้น เพราะมันยังมีการใส่พล็อตของการหาตัวฆาตกรต่อเนื่อง และดราม่าของวัยรุ่นที่ถูกผสมผสานกันอย่างลงตัว แถมภาพยนตร์เรื่องนี้ยังมีราชินีหนังสยองขวัญคนใหม่อย่าง แองเจล่า เบ็ตติส (จาก May) ร่วมแสดงในหนังสยองขวัญสามมิตินี้อีกด้วย เบตติส แสดงเป็น โจแอน เบอร์โรว์ ผู้หญิงที่ลอดมาจากการทรมานของสัปเหร่อสุดโหด โดยเขาก็ได้ฝากรอยแผลไว้บนแก้มของเธอ ซึ่งก็เป็นเปรียบเหมือนเครื่องเตือนความทรงจำอันเลวร้ายของเธอ หลายปีต่อมา โจแอน ได้กลับไปที่บ้านเกิดของเธอ เพื่อที่จะได้ร่วมแสดงความยินดีกับการเรียนจบของหลานสาวของเธอ โอลิมเปีย (เคอร์บี้ บลิส แบลนตัน) แน่นอนว่ามันต้องมีสิ่งผิดปกติรอคอยเหล่าวัยรุ่นฮอร์โมนสูงเหล่านี้แน่นอน ใช่แล้ว ได้เวลาปาร์ตี้! เมื่อการฆาตกรรมลึกลับที่เกิดขึ้นโดยฝีมือของบุคคลปริศนา โดยเขาได้ทิ้งรอยเลือดของตัวเองเอาไว้บนตัวเหยื่อ ซึ่งลอยขึ้นมาเหนือพื้นน้ำที่อยู่ในเมือง เมื่อการฆาตกรรมต่อเนื่องได้กลับมาเริ่มต้นอีกครั้ง มันก็ทำให้ โจแอน ดึงเอาความทรงจำเก่าๆกลับมา จิ๊กซอว์ถูกต่อเข้ามาทีละชิ้นสองชิ้น จนในที่สุดเราก็ได้รู้ว่า โจแอน และเพื่อนสนิทของเธอ เคยถูกมัดติดไว้บนเตียงผ่าตัด และถูกบังคับให้เล่นเกมส์โดยสัปเหร่อโรคจิตที่ชื่อว่า บิชอฟ (เบน ค๊อตต้อน) โดยเกมส์นั้นก็เล่นง่ายๆคือ ผู้หญิงคนหนึ่งต้องถูกทรมานโดยอีกเธอก็มีอำนาจที่จะสั่งให้หยุด โดยการบอก บิชอฟ ว่าให้ฆ่าเพื่อนของเธอให้ตายเสีย นี้เป็นเกมส์ที่ท้าทายทั้งประสาทและร่างกายของ "ผู้เล่น" ที่มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับเหยื่ออีกคน ชีวิตของคุณจะมีความสำคัญมากกว่าคนอื่นหรือไม่? คุณจะอยู่ได้ไหมถ้าคุณเป็นสาเหตุที่ทำให้คนที่สำคัญในชีวิตของคุณตาย? นี้อาจจะเป็นมุมมองที่อาจจะฟังดูคุ้นกับหนังทรมานเรื่องอื่นๆ แต่แทนที่หนังจะสอนให้เหยื่อรู้จักคุณค่าของชีวิต แต่ไอ้โรคจิตนี้ทำเพื่อความสุขของตัวเองเท่านั้น นี้เป็นผลงานของคนโรคจิตอีกคนที่ชื่นชมงานของ บิชอฟ หรือไม่? หรือว่าจะเป็นผลงานของปรมาจารย์แห่งการทรมาน ที่สามารถเอาชีวิตรอดมาจากอดีต เพื่อมาต่อสู้กับ โจแอน ในยกที่สองหรือเปล่า? นี้เป็นเรื่งที่คุณคงต้องไปหาคำตอบเองในโรงภาพยนตร์ การเล่าเรื่องของ Scar จะทำให้คุณนั่งไม่ติดเก้าอี้จนถึงตอนสุดท้าย ทั้งนี้ต้องขอชมเชยในบทภาพยนตร์ที่เขียนได้อย่างดีเยี่ยมของ แซ็ก ฟอร์ด (Zack Ford), การกำกับภาพยนตร์ที่เอาใจใส่ในรายละเอียดของ เจ็ด วายน์ทร๊อป และกลุ่มนักแสดงก็ยังทำหน้าที่กันได้อย่างดี นำโดย เบ็ตติส ที่ฉายแววเด่นในบทนำ ที่อาจจะถูกเขียนโดยที่มีเธออยู่ในใจแล้วก็ได้ และก็ยังมี คริสโตเฟอร์ ไททัส นักแสดงตลกที่เล่นเป็นพี่ของ โจแอน และเป็นนายอำเภอของเมือง สำหรับกลุ่มนักแสดงวัยรุ่น ทั้ง แบลนตั้น และ เดวอน เกรย์ ก็เป็นสองนักแสดงที่น่าจับตามองในอนาคต และที่สำคัญที่สุด ก็คือเทคโนโลยีสามมิติของ Scar นั้น ไม่ได้บดบังตัวภาพยนตร์เลยแม้แต่น้อย เพราะมันก็ยังคงสร้างความสั่นประสาทได้อยู่อย่างเต็มเปี่ยม มันไม่ได้ใช้เทคนิคสามมิติกันอย่างพร่ำเพร่อเหมือนอย่างเรื่อง Jaw 3-D และ Friday The 13Th Part III เพราะการถ่ายทำหนังเรื่องนี้มีความแนบเนียน และให้ความรู้สึกเหมือนการผจญภัยมากกว่า มันทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของหนัง มากกว่าที่จะพยายามทำให้คนดูตกใจด้วยการโยนสิ่งของใส่คนดู Scar ทำได้เหนือความคาดหมาย มันเป็นหนังที่ทำให้ผมรู้สึกผวาได้ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในช่วงนี้ ผมจะไม่แนะนำให้กับผู้ชมที่มีโรคเกี่ยวกับหัวใจ หรือคู่รักที่อยากจะหาหนังเบาสมองดู (ยกว้นถ้าคุณเกิดเป็นคู่ระหว่าง ฮานนิบาล เล็คเตอร์ กับ เอววิร่า) และก็เหมือนกัยชื่อหนัง Scar จะฝากความประทับใจที่จะอยู่กับคุณไปอีกนาน 3-D: อนาคตแห่งโลกภาพยนตร์ได้ถูกปูเอาไว้แล้ว รายงานจาก Toronto Star (www.thestar.com) “ภาพยนตร์สามมิติ เร็วๆนี้ ทุกโรงภาพยนตร์ใกล้บ้านคุณ” อาจจะเป็นเทคโนโลยีที่ดูน่าขันสำหรับทศวรรษที่ 1950S มันทำให้ทุกคนต้องสวมแว่นสีแดง-ฟ้าที่ดูน่าขัน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ก็กำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว เมื่อผู้กำกับชั้นแนวหน้ามากมายอย่าง ปีเตอร์ แจ็คสัน (Peter Jackson), โรเบิร์ต เซ็คเมคิส (Robert Zemeckis), สตีเว่น สปีลเบิร์ค (Stephen Spielberg), จอร์ช ลูคัส (George Lucas) และ เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) ได้ป่าวประกาศว่าจะสร้างภาพยนตร์ด้วยเทคโนโลยีอันนี้ ในขณะที่ เจฟฟรีย์ แคทเซนเบิร์ค (Jeffrey Katzenberg) หัวเรือของสตูดิโอชื่อดังอย่าง Dreamworks ก็ยังได้สรรเสริญถึงเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างมากของหนังสามมิติ ที่น่าจะเป็นเครื่องจักรที่มีส่วนช่วยผลักดันวงการหนังให้ก้าวไกลขึ้นในอนาคต ขณะที่ อดิน่า เลโบ (Adina Lebo) โฆษกของ Canadian Motion Picture Theatres Association ได้เรียกเทคโนโลยีสามมิติว่า เป็นส่วนหนึ่งของ "การฟื้นฟูสภาพ" ของหนังที่ฉายในโรงภาพยนตร์ ที่ต้องคอยแข่งขันในการดึงคนดูออกมาจากสื่อทางโทรทัศน์, วิดิโอเกมส์ และการกิจกรรมอื่นๆ เธอกล่าวว่า "มันเป็นตลาดที่มีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง และทุกคนต่างก็หาช่องทางในการช่วงชิงส่วนแบ่งของผู้บริโภค” หลักฐานของการเติบโตของหนัง 3-D ก็เริ่มที่จะมีให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น คาเมรอน ได้แถลงว่า ภาพยนตร์เรื่องต่อๆไปของเขา จะเป็นหนัง 3-D ทั้งหมด โดยผลงานล่าสุดของเขา คือ Avatar หนังแอ๊คชั่นที่มีกำหนดฉายในปี 2009 โดยสตูดิโอยักษใหญ่ Twentieth Century Fox ซึ่งก็มีรายงานมาว่า มีทุนสร้างสูงถึง 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่า Titanic เลยทีเดียว หรืออย่างทาง เซเมคคิส ได้สร้างภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่อง Beowolf ที่ได้ฉายไปในเดือนพฤศจิกายนในปีทีผ่านมาแล้ว ในขณะที่ปี 2008 ทาง New LIne ก็ได้ปล่อย Journey 3-D หนังแอ็คชั่นที่เกี่ยวกับการเดินทางลงไปในศูนย์กลางของโลก และทาง IMAX Corporation ก็ยังได้สร้างโปรเจ็ค 3-D ของตัวเองเช่นกัน เช่นสารคดีที่ได้รับความสำเร็จอย่างสูงเรื่อง Space Station และ Polar Express ในแบบ 3-D โรงภาพยนตร์เองก็มีการเพิ่มจำนวนโรงที่สามารถฉายหนังที่มาในรูปแบบของ 3-D ได้เยอะขึ้น เช่น Chicken Little ที่เปิดฉาย 84 โรงในปี 2005 ส่วนเวอร์ชั่นสามมิติของหนังของ ทิม เบอร์ตัน เรื่อง Nightmare Before Christmas ที่เปิดตัวเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ก็ลงฉายถึง 184 โรง และก็ยังมี Meet the Robinsons หนังอนิเมชั่นของ Disney ที่เปิดตัวด้วยจำนวนโรงถึง 581 โรงด้วยกัน บริษัทอย่าง Real D จาก ลอสแองเจลิส ก็ได้คิดค้นระบบเทคนิค 3-D ที่พัฒนาจากระบบเดิมอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งก็ทำให้โรงภาพยนตร์ทั่วอเมริกาเหนือได้เปลี่ยนจากระบบ 35 มม เป็นระบบดิจิตัลแทบทั้งหมดแล้ว เพราะระบบ 3-D นั้น เป็นอะไรที่ง่ายต่อการนำมาฉายได้ทั่วไป ซึ่งจากปรากฎการณ์นี้เอง ก็ทำให้คู่แข่งอย่าง Dolby Laboratories ได้เริ่มที่จะพัฒนาตามบ้างแล้ว "ผมเชื่อว่าอนาคตของ 3-D นั้นกำลังมีอำนาจเหนือหนังธรรมดาทั่วไป และกุญแจสำคัญที่สุดในการทำให้หนังประสบความสำเร็จ ก็คือการเปลี่ยนตัวเองให้เป็น 3-D" เกร็ก ฟอสเตอร์ (Greg Foster) ประธานบริษัทในฝ่าย Filmed Entertainment ของ IMAX ได้ชี้ให้เห็นถึงความสำเร็จของ Superman Returns ที่เปลี่ยนฉากสำคัญสี่ฉาก ให้กลายเป็นฉากที่ปรากฎอยู่ในรูปแบบ 3-D แพ็ท มาร์แชลล์ (Pat Marshall) โฆษกของ Cineplex Entertainment ที่เป็นกลุ่มโรงหนังที่ใหญ่ที่สุดใน แคนาดา กล่าวถึงผู้ชมที่ตอบสนองกับภาพยนตร์ที่ถูกฉายด้วยระบบสามมิติว่า "เป็นส่วนที่สำคัญในอนาคตของพวกเรา มีผู้สร้างภาพยนตร์หลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจมส์ คาเมรอน พูดว่า อยากจะสร้างหนังของเขาให้ดีเท่ากับระบบภาพ 3-D ที่ดีเยี่ยมอยู่แล้ว" วิลเลี่ยม ไวท์ (William White) และ วิลเลี่ยม รีฟ (William Reeve) สองหัวเรือใหญ่ของ 3-D Camera Company เป็นหนึ่งในนักลงทุน ที่มุ่งหน้าเข้าสู่เทคโนโลยีใหม่อย่าง 3-D โดย รีฟ และ ไวท์ ได้ผลิตระบบกล้องฉายหนังสามมิติที่มีขนาดเล็กเท่ากล้อง 35 มม ซึ่งพวกเขาก็หวังว่าอนาคตมันจะสามารถแทนกล้อง ที่ทั้งหนักและใหญ่สำหรับหนัง IMAX 3-D ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ไวท์ ได้พูดถึงการเดินทางมาถึงของเทคโนโลยีสามมิติรูปแบบใหม่ เป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์การพัฒนาของภาพยนตร์เลยทีเดียว ที่เริ่มต้นมาจากหนังขาว-ดำไร้เสียง จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นหนังพูดและก็เป็นหนังสี และล่าสุดก็คือการเปลี่ยนจากสองมิติเป็นสามมิตินั้นเอง เขายังให้สัมภาษณ์อีกว่า อุปสงค์ของเทคโนโลยี 3-D ก็ยังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากโรงหนังต้องการทำให้ผู้บริโภครู้สึกตื่นตัว และอัตราส่วนของหนัง 3-D ที่มีกำไรมากกว่าหนังสองมิติธรรมดาก็มีถึงสองต่อหนึ่ง รีฟ ซึ่งเป็นผู้เสนอรูปแบบสามมิติสาธิตให้ คาเมรอน ได้รับชม เชื่อมั่นว่าสตูดิโอในอนาคตจะไม่ต้องโฆษณาหนังของตัวเองให้เป็น 3-D อีกต่อไปแล้ว เพราะมันจะกลายเป็นฟอร์แมทปกติของหนังในอนาคต เขายังได้พูดอีกว่า 3-D ที่ได้ถูกพัฒนาขึ้นครั้งแรกในยุค 1950s นั้น เป็นเพียงแค่ลูกเล่นที่จะดึงคนให้ออกมาดูภาพยนตร์ในโรง มากกว่าที่จะนั่งดูทีวีอยู่ที่บ้านเท่านั้น คลื่นลูกที่สองของ 3-D ได้มาเทื่อ 17 ปีที่แล้ว จากบริษัทอย่าง IMAX ที่ได้สร้างจอภาพยนตร์ขนาดมหึมาและระบบเสียงรอบทิศ ที่จะทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนกับว่ารับประสบการณ์โดยตรงได้อย่างใกล้เคียงที่สุด และด้วยเทคโนโลยีล่าสุดของ 3-D ก็จะทำให้ประสบการณ์ยิ่งดูสมจริงมากขึ้นไปอีก รีฟ ได้กล่าวว่า "คำถามแรกที่คนจะถามคือ 'คุณต้องสวมแว่นแดง-เขียวอีกหรือเปล่า?' ใช่ คุณยังคงต้องสวมแว่นอยู่ แต่มันก็เป็นเพียงแว่นที่โปร่งแสง และในอนาคตอันใกล้ คนที่มาดูหนัง 3-D ก็จะมีแว่นนี้เป็นส่วนตัว ผมคิดว่า 3-D จะไม่มีวันตกยุค ตราบใดที่มันไม่ได้ถูกใช้เป็นแค่ของเล่น" ฟอสเตอร์ ได้กล่าวว่า "พวกเราได้เรียนรู้แล้วว่า คุณไม่สามารถนำเอาหนังฮอลลิวู้ด มาเปลี่ยนให้มันเป็นหนัง 3-D แล้วก็ทำให้มันเป็นหนังฮิตประจำซัมเมอร์ได้ เพราะมันไม่เกี่ยวกับเทคนิคอะไรทั้งสิ้น มันเกี่ยวกับตัวภาพยนตร์ตะหาก" ทั้งมาร์แชล และ ลีโบ ต่างได้พูดถึงเทคโนโลยี 3-D ว่า สามารถประยุกษ์ใช้ได้เกินกว่าสื่อภาพยนตร์ เพราะทางโรงหนังต่างก็เริ่มที่จะขยายรูปแบบทางการให้บริการของตัวเองให้กว้างขึ้น เช่น คอนเสิร์ตและการถ่ายทอดสดกีฬา มาร์แชล ได้พูดถึงการแข่งขัน NBA ที่ได้นำเอากลุ่มคนดูตัวอย่างเข้ามารับชมเกมส์การแข่งขันแบบ 3-D ซึ่งมันก็ยังได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมในงาน Showest convention ซึ่ง เลโบ ก็ยังจะมีแผนในการนำเอาคอนเสิร์ตของ U2 เปลี่ยนเป็นในรูปแบบของ 3-D อีกด้วย “ไม่เพียงเท่านั้น ทั้งโชว์บรอดเวย์, โอเปร่า และอื่นๆอีกมากมาย เทคนิค 3-D จะเสนอให้คุณได้ทุกอย่างในโลก มันช่างเป็นเรื่องที่น่าตี่นเต้นจริงๆ” เลโบ ได้กล่าวสรุปเอาไว้ Real D ติดตั้งระบบ HD 3-D จำนวน 500 โรง ให้ Odeon และ UCI รายงานจาก Screen daily.com Real D ได้ทำสัญญาชิ้นสำคัญ กับทางพาร์ทเนอร์อย่าง Odeon และ UCI ในการติดตั้งระบบ ดิจิตัล 3-D จำนวน 500 โรง ทั่วทั้ง สหราฐอาณาจักร และยุโรป นี้เป็นการทำสัญญาที่ใหญ่ที่สุดที่ทาง Real D เคยทำมา การติดตั้งระบบจำนวน 500 ที่จะเริ่มทำการติดตั้งตั้งแต่บัดนี้ และจะแล้วเสร็จภายในสองปี นี้เป็นการขยายตลาดของ Real D ในตลาดใหม่ๆเช่น สเปน และ อิตาลี รวมถึง สหราฐอาณาจักร, ไอร์แลนด์, เยอรมัน และ ออสเตรีย โดย Odeon และ UCI มีจำนวนโรงที่เป็นทางบริษัทเป็นเจ้าของมากกว่า 1600 แห่งทั่วยุโรป และประมาณหนึ่งในสามนั้นจะกลายเป็นโรงที่สามารถรองรับระบบของ Real D ได้ โจเซฟ เพย์โซโต้ ประธานบริษัทของ Real D ได้กล่าวว่า "พวกเรารู้สึกยินดีที่ได้ร่วมมือกับ Odeon และ UCI ที่นำ Real D เข้าสู่ตลาดใหม่ โดย Real D นั้น เป็นตัวเลือกของผู้ประกอบการธุรกิจโรงภาพยนตร์ ที่ก้าวหน้ามากที่สุดในระบบ 3D และตอนนี้ทาง Real D ก็ยังมีจำนวนผู้ใช้ระบบของเรา มากกว่า 60 บริษัทใน 23 ประเทศ อาทิตย์ที่แล้ว Real D ยังได้ประกาศว่า ได้ทำสัญญากับเจ้าของโรงภาพยนตร์ในอังกฤษ Cineworld เพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งร้อยแห่งแล้ว ผู้อำนวยการสร้าง นอร์แมน เทวน (Norman Twain) ที่ MWFF (Montreal World Film Festival) หนังสามมิติ, ทัณฑ์ทรมาน และ Spinning into Butter ผู้อำนวยการสร้างหนังจากนิวยอร์ค นอร์แมน เทวน เป็นหนึ่งในคนที่มีความสามารถรอบตัวที่สุดคนหนึ่งในงาน Montreal World Film Festival ครั้งที่ 31 โดยครั้งนี้เขาได้นำเอาหนังที่ชวนให้ครุ่นคิดอย่าง Spinning into Butter และ หนังสยองขวัญ Scar มาเสนอในงาน เขาคือผู้อำนวยการสร้างอิสระ และไม่ได้อยู่ในภายใต้สัญญาของสตูดิโอยักษ์ใหญ่อย่าง Warner หรือ Universal เขาเป็นผู้ที่สร้างโชว์ของตัวเอง และยังเป็นคนที่ระดมทุนสร้างด้วยน้ำมือของตัวเองอีกด้วย" การขุดเอาเงินทุนมาจากหลายแหล่ง ทั้งจากกลุ่มนักลงทุนเอกชน จนถึงสตูดิโอที่จัดจำหน่าย เทวน มีความสัมพันธ์กับโปรเจ็คที่เข้าไปสำรวจในบทวิพากษ์วิจารณ์สังคม เช่นภาพยนตร์ปี 1989 เรื่อง Lean on Me ที่เขาเป็นผู้อำนวยการสร้าง ซึ่งก็เป็นภาพยนตร์ที่ มอร์แกน ฟรีแมน ได้ฝากการแสดงอันยอดเยี่ยมเอาไว้ โดยเขาเล่นเป็น "เครซี่" โจ คลาร์ค อาจารย์ใหญ่ประจำโรงเรียนมัธยมใน นิว เจอร์ซี่ย์ ผู้ที่ใช้วิธีการที่เฉียบขาดในการจัดการโรงเรียน ที่ไม่มีความรับผิดชอบให้อยู่ในระเบียบ Spinning into Butter ถูกรับเลือกเพื่อเข้าประกวดในงานเทศกาล ซึ่งก็ไม่มีอะไรที่ต้องกังวลในเรื่องของส่วนประกอบต่างๆมากนัก เพราะมีนักแสดงอย่าง ซาร่าห์ เจสสิก้า ปาร์คเกอร์ (Sarah Jessica Parker), โบ บริสเจส (Beau Bridges), มาเคลติ วิลเลี่ยมสัน (Mykelti Williamson) และ มิแรนด้า ริชาร์ดสัน (Miranda Richardson) ปรากฎตัวอยู่ในหนังที่กำกับโดย มาร์ค โบร์คาว (Mark Brokaw) โดยเป็นเรื่องของการเหยียดผิว ที่ถูกซ่อนอยู่ในเกมส์การเมือง ส่วน Scar นั้น ก็เปิดตัวอย่างเป็นทางการในโปรแกรม Midnight Slam ซึ่งเป็นโปรแกรมใหม่ของเทศกาล นี้เป็นหนังที่รุนแรงสุดขั้ว มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่ง (แองเจลล่า แบตติส) ที่กลับไปยังเมืองที่เธอเคยถูกประทุษร้าย โดยฆาตกรโรคจิตที่หลงไหลในเกมส์การทรมาน หนังถูกเขียนบทโดย แซ็ค ฟอร์ด และกำกับโดย เจ็ด วายน์ทร๊อป ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีล่าสุดอย่าง HD 3-D นำมาใช้เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับ Avatar ของ เจมส์ คาเมรอน ภาพยนตร์เรื่องยิ่งใหญ่ ที่คอหนังต่างรอคอยกันอย่างใจจดใจจ่อ นี้เป็นการลงไปสร้างหนังแนวหนังสยองขวัญครั้งแรกของ เทวน โดยเขาเล่าว่า "มันเป็นการเปลี่ยนจากหนังที่ดูเป็นธรรมชาติ คือผมอยากจะทำอะไรบางอย่างที่ผมคิดว่ามีกลุ่มคนดูเฉพาะเจาะจง เพราะว่าในปัจจุบันเราต้องคิดถึงเป้าหมายของผู้ชมแล้ว ถ้าผมไม่รู้ว่าภาพยนตร์เรื่องไหนไม่มีทางที่จะขายได้ ผมก็คงไม่อยากทำมันหรอก" และด้วยฉากการตัดและควักเนื้อสดๆของสาววัยรุ่น Scar จึงถูกตีตราว่าเป็นหนังสยองขวัญพันธ์ใหม่ ที่รู้จักกันในนาม "ทัณฑ์ทรมาน" (Torture porn) เมื่อ เทวน ถูกถามว่าเขากังวลไหม สำหรับขาลงของหนังประเภทนี้ (ภาพยนตร์เรื่อง Hostel 2 ของ อีไล รอธ ทำรายได้น้อยกว่าภาคแรกถึงเท่าตัว และผู้คนก็ไม่สนใจในการมาของ Captivity) เขาไม่ลังเลที่จะตอบว่า "ผมกังวลไหมเหรอ แน่นอน สำหรับหนังสยองวัญที่รุนแรงแบบนี้ มันเป็นไปได้ที่จะมีหนังของเราจะโดนหางเลขไปด้วย แต่พวกเราก็ตัดสินใจสร้างหนังเรื่องนี้ไปให้ไกลกว่าหนังสยองขวัญทั่วไป อย่างไรก็ตาม พวกเรารู้สึกว่าเทคโนโลยีสามมิติจะช่วยเราได้มาก" งานสร้างนั้นกลายเป็นงานสามมิติเมื่อ เทวน เห็นตัวอย่างของระบบที่ติดตั้งลงไปในกล้องโซนี่ 950 สองตัว เป็นที่น่าสนใจว่า Scar ที่ใช้ระบบ 3-D นั้น ไม่ได้ใช้เทคนิคสามมิติเหมือนหนังเรื่องอื่นๆ ที่ใช้มันเพื่อหาวิธีกระโดดเข้าใส่คุณ หรือโยนสิ่งของบินผ่านหัวของคุณไป แต่มันให้ความรู้สึกที่น่าอึดอัดและสามารถสร้างความน่ากลัวได้ ซึ่งสุดท้ายแล้ว สิ่งของมีคมและใบหน้าที่ส่งเสียงร้องโหยหวน ก็จะเข้ามาใกล้ลูกตาของคุณเมื่อหนังดำเนินมาถึงฉากไคลแม๊กส์ ในยุคแห่งการเอาตัวรอดของสตูดิโอหนัง "สิ่งที่แน่นอน" คือคำนิยามที่ดีที่สุด เช่น หนังที่มีดาราแม่เหล็ก, เป็นภาคต่อ หรือแม้กระทั่งหนังรีเมค "พวกเราพยายามทำงานให้เหมือนกับธุรกิจที่ควบคุมได้ ที่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการดำรงชีพของพวกเรา พวกเราระวังและพยายามที่จะไม่ให้มันใหญ่จนเกินกำลัง" เทวน ได้กล่าวสรุปเอาไว้ และถึงแม้ว่าเขาจะมีความสุขกับของชำร่วยที่สตูดิโอแจกให้ในเทศกาลนี้ แต่เขาก็รู้สึกพอใจกับโปรเจ็คที่เขาสามารถควบคุมได้อย่างอิสระมากกว่า ทีมนักแสดง แองเจล่า เบ็ตติส (รับบทเป็น โจแอน เบอร์โรว์) เกิดเมื่อวันที่ 9 มกราคม 1973 เป็นนักแสดงสร้างกลุ่มแฟนคลับ จากบทนำในเรื่อง May ของผู้กำกับ ลัคกี้ แม็คคีย์ (Lucky McKee) โดยเธอได้เริ่มต้นเป็นนักแสดง ในภาพยนตร์โรแมนติค/โศกนาฎกรรมเรื่อง Sparrow ที่กำกับโดย ฟรานโก้ เซฟฟิเรลลิ (Franco Zeffirelli) หลังจากนั้นเธอก็ได้รับบทสมทบชื่อดังเช่น Girl, Interrupted และ Bless the Child เธอยังได้รับบทเป็นสาวสยอง แคร์รี่ ในภาพยนตร์ทีวี ที่เป็นงานรีเมคเรื่อง Carrie ของ ไบรอัน เดอพัลม่า (Brian de Palma) โดยเธอยังได้รับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับหนังสั้นอีกมากมายอีกด้วย เคอร์บี้ บลิส แบลนตั้น (รับบทเป็น โอลิมเปีย เบอร์โรว์) นักแสดงสาววัย 17 ปี เธอเกิดและเติบโตในรัฐเท็กซัส โดยเธอเคยมีผลงานในโฆษณา และในทีวีซีรี่ย์เช่น Hannah Montana จากช่อง Disney เรื่อง Unfabulous จากช่อง Nickelodeon และซีรี่ย์สุดฮิตจากช่อง HBO เรื่อง Entourage เธอยังมีงานอดิเรกเล่นการเล่นวินเสริฟ์, แต่งเนื้อเพลง, เต้นรำและกิจกรรมนอกร่ม ขณะนี้เธออาศัยอยู่ใน ลอสแองเจลิส เดวอน เกรย์ (รับบทเป็น พอล วัตต์) นักแสดงดาวรุ่ง ที่เรียนการแสดงจากสถาบันที่มีชื่อเสียงอย่าง A.C.T. ในซานฟรานซิสโก โดยในปี 2005 เขาได้แสดงนำในละครเวทีของ Walden Media ที่แสดงใน SF Orpheum Theatre เขาย้ายมาที่ ลอสแองเจลิสในปี 2006 โดย เกรย์ ได้รับบทบาทสำคัญ ในซีรี่ย์เรื่องดังของ Showtime เรื่อง Dexter ที่เขาเล่นเป็น เด๊กซ์เตอร์ ในวัยรุ่น ที่ต้องพยายามเปลี่ยนเอาความหลงไหลในการฆ่าคน เพื่อใช้จัดการกับคนที่เลว ซึ่งบทนี้เอง ก็ทำให้เขาได้รับการยอมรับจากผู้ชมและนักแสดงด้วยกันอย่างสูง ทีมผู้สร้าง เจ็ด วายน์ทร๊อป (ผู้กำกับ) จบจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เขาเกิดที่นิวยอร์คในปีค.ศ. 1969 และเริ่มการทำงานในแวดวงเกมส์ เขาเป็นผู้ก่อตั้ง Orion Interactive ซึ่งเป็นหน่วยงานลูกของบริษัทภาพยนตร์ Orion Picture ก่อนที่จะหันมากำกับหนังเรื่องแรก On_Line (2002) ที่ออกฉายเป็นครั้งแรกในเทศกาลหนัง Sundance ซึ่งยังทำให้เขาได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจาก Cinequest เขายังมีสารคดีที่ถูกแต่งขึ้นเรื่องเยี่ยมอย่าง The F-Word (2006) อีกด้วย

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ