กรุงเทพฯ--20 ต.ค.--สหมงคลฟิล์ม
กำหนดฉาย 4 ธันวาคม 2551
แนวภาพยนตร์ แอ็คชั่น โชว์ศิลปะการต่อสู้
บริษัทผู้สร้างและจัดจำหน่าย สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล
อำนวยการสร้างบริหาร สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ
ควบคุมงานสร้าง ปรัชญา ปิ่นแก้ว, พันนา ฤทธิไกร
กำกับภาพยนตร์ จา พนม ยีรัมย์, พันนา ฤทธิไกร
บทภาพยนตร์ เอก เอี่ยมชื่น
นักแสดงนำ จา พนม ยีรัมย์ , สรพงษ์ ชาตรี, นิรุตต์ ศิริจรรยา,
ศรัณยู วงษ์กระจ่าง,เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา,ปัทมา ปานทอง,
พริมตา เดชอุดม,ศุภกรณ์ กิจสุวรรณ
ปีพุทธศักราช 2546 “จา พนม ยีรัมย์” ต้นตำรับ “ไม่ใช้สลิง ไม่ใช้ตัวแสดงแทน และไม่ใช้ซีจี”
สร้างตำนานบทใหม่ของภาพยนตร์แอ็คชั่นไทยระดับโลก
ตลอดระยะเวลา 5 ปีเต็มที่ตำนาน “องค์บาก” ยังคงสร้างความตื่นตะลึงให้กับคนทั้งโลก
มาจนถึง
ปีพุทธศักราช 2551 ตำนานของวีรุบุรุษ ผู้มาพร้อมกับจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
ที่คนทั้งโลกเฝ้ารอคอยกำลังจะกลับมา
ว่ากันว่าทุกๆ ตำนานที่ได้รับการกล่าวขานล้วนแล้วแต่มีจุดเริ่มต้น
เมื่อจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ ที่เต็มไปด้วยพิษสง ลึกลับ อันตราย ซึ่งยังไม่เคยเปิดเผยมาก่อน
กำลังจะถูกหล่อหลอมให้เป็นหนึ่งเดียว
ภายใต้ศักยภาพแห่งการต่อสู้ที่แฝงเร้นอยู่ในตัวตนที่แท้จริงของ “จา พนม ยีรัมย์”
กับมหากาพย์ภาพยนตร์แอ็คชั่นพีเรียดที่ถูกบ่มเพาะมาทั้งชีวิต
สู่ผลงานการกำกับภาพยนตร์อย่างเต็มตัวครั้งแรกในชีวิตของ จา พนม ยีรัมย์
“องค์บาก 2”
ก่อนพุทธศตวรรษที่ 16
“โขน” คือนาฏศิลป์ชั้นสูงที่ลึกลับและเก่าแก่ที่สุด ได้ถือกำเนิดขึ้นมา
สืบต่อเล่าขานกันว่ายังมีแม่ไม้มวยไทยและเหล่าสรรพาศาตราวุธไทยโบราณ
อันทรงอานุภาพอีกมากที่สูญหายไปตามกาลเวลา
และบ้างถูกเก็บกักซ่อนเร้น อนุรักษ์สืบสานต่อทอดกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า
ครั้งแรกที่คนทั้งโลกจะได้สัมผัสกับอานุภาพแห่งการต่อสู้
ที่เต็มไปด้วยพิษสงและความสวยงามของ “นาฏยุทธ”
ที่ถูกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวระหว่าง “นาฏศิลป์โขน”
และ “ศิลปะการต่อสู้”ได้อย่างกลมกลืน ลงตัว และไม่เคยปรากฎมาก่อน
เรื่องย่อ
“ว่ากันว่า ณ จุดเริ่มต้นของทุกสรรพสิ่งในใต้หล้า ทุกชีวิตล้วนต่างถือกำเนิดและดำเนินไปภายใต้เส้นแห่งโชคชะตาที่ถูกขีดเขียนไว้แล้วจากใครบางคนที่อยู่เบื้องบน”
เฉกเช่นเดียวกับชีวิตของ“เทียน”เด็กหนุ่มที่ถือกำหนดในฤกษ์พระกาฬ คืนวันอังคาร ขึ้นเก้าค่ำ เดือนเก้า ปีขาล บุตรชายเพียงคนเดียวของขุนสีหเดโช(สันติสุข พรหมศิริ) นายทหารผู้ซื่อสัตย์ซึ่งจงรักภักดีต่อเหนือหัวและปกป้องผืนแผ่นดินจากเหล่าผู้ฉ้อฉลและคนทรยศ
จากคำทำนายของพระครูปั้น เมื่อใดก็ตามที่เด็กหนุ่มเติบใหญ่ภายใต้วังวนแห่งคมดาบ และกลิ่นคาวเลือด จะนำมาซึ่งความสูญเสียของชีวิตและเลือดเนื้อของผู้คนจำนวนมาก ทำให้ขุนสีหเดโช สั่งห้ามมิให้ “เทียน”แตะต้องเหล่าสรรพวุธใดใด และส่งตัวไปให้ครูบัว(นิรุตติ์ ศิริจรรยา) เพื่อนสนิทซึ่งต่างเป็นลูกศิษย์ของพระครูปั้นเช่นเดียวกัน ช่วยบ่มเพาะสมาธิ เรียนรู้การหัดฝึกจิตให้นิ่ง และศึกษาในด้านวิชาโขนนาฏศิลป์ชั้นสูงซึ่งถือกำเนิดมาก่อนพุทธศตวรรษที่ 16 และการจัดหาสมุนไพรในการใช้ปรุงยาแทนโดยมีพิมลูกสาวของครูบัวคอยให้ความช่วยเหลือ และมีไอ้เหม็น(หม่ำ จ๊กมก)เป็นเพื่อนเล่น
แต่ดูเหมือนว่าชะตาเมื่อถูกลิขิตแล้ว ยากนักที่จะเปลี่ยนแปลง เพียงเพื่ออำนาจและความต้องการครองความเป็นใหญ่ พระยาราชเสนา (ศรัณยู วงษ์กระจ่าง) ตัดสินใจวางแผนลอบสังหารขุนสีหเดโชทั้งครอบครัว พร้อมเหล่าทหารที่จงรักภักดีชนิดขุนรากถอนโคนด้วยตนเอง เพียงทว่าฟ้ายังมีตา ทำให้เทียนเล็ดรอดจากการสังหารหมู่อย่างหวุดหวิดพร้อมพกเอาความคลั่งแค้นที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจ
ระหว่างทาง เทียน ได้พบกับ เชอนัง (สรพงษ์ ชาตรี)หัวหน้ากองโจรผาปีกครุฑผู้ยิ่งใหญ่ช่วยชีวิตจากเหล่าพ่อค้าทาสและยักษ์ขมุจอมโหด โดยสังเกตุเห็นแววตาความเป็นนักฆ่าและความสามารถในการต่อสู้ที่แฝงเร้น จึงยื่นข้อเสนอให้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในกองโจร พร้อมกับรับไปเป็นลูกบุญธรรม ให้การชุบเลี้ยงฝึกฝนเหล่าสรรพวิชาอาวุธในการต่อสู้ทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ด้วยมือเปล่า หมัดมวย การใช้เวทย์มนต์คาถา การใช้สรรพวุธทุกชนิด ดาบ กระบอง วิชากล การใช้ระเบิด ฯลฯ จากเหล่าปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาวิชา
“เพียงทว่า เมื่อถึงจุดหนึ่ง ที่เรียกกันว่า จุดพลิกผันในชีวิต เจ้าแห่งชะตาชีวิตจักเป็นผู้กำหนดเส้นทางแห่งชีวิตสืบต่อไปด้วยตนเอง เมื่อนั้นความดีและความเลวที่สถิตย์อยู่ในตัวตนของแต่ละบุคคลจักทำหน้าที่ของมันสืบต่อไป”
วันเวลาผ่านไป “เทียน”(จา พนม ยีรัมย์)เติบใหญ่กลายเป็นหนุ่ม เป็นที่ยอมรับและเป็นกำลังสำคัญของหมู่กองโจรผาปีกครุตที่เข้าร่วมในการปฏิบัติภารกิจสำคัญทุกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาสามารถสยบช้างงาดำ ช้างศักดิ์สิทธิ์ที่เหล่าชุมโจรให้ความเคารพและสักการะ ในขณะเดียวกันกับที่เชอนังเองตั้งใจที่จะมอบตำแหน่งหัวหน้ากองโจรเพื่อให้เทียนเป็นผู้รับหน้าที่สืบทอดต่อไป เพียงทว่า ณ ช่วงเวลานี้มีเพียงภารกิจเดียวที่สำคัญที่สุดในชีวิตที่เทียนจักต้องทำคือการขจัดความคลั่งแค้นที่มันสุมอกและท่วมท้นอยู่ในจิตใจมาโดยตลอดนั้นคือการมุ่งหน้าเพื่อสังหารเจ้าพระยาราชเสนาด้วยน้ำมือตนเอง
“ความเกลียดนำมาซึ่งความสูญเสีย ความกลัวตอกย้ำความอ่อนแอในจิตใจ และเมื่อใดที่อำนาจแห่งความชั่วร้ายเข้าครอบงำ อาวุธร้ายจะกลายเป็นดาบสองคมที่จะย้อนกลับมาทำลายตนเอง และเมื่อนั้นชีวิตก็จะสูญสิ้นความเป็นคน”
แต่ดูเหมือนว่าแผนที่เทียนวางไว้จะไม่เป็นไปอย่างที่คาดคิด ความเยาว์และความรุ่มร้อน หาได้เพียงพอต่อการหยั่งรู้ จิตมนุษย์ยากเร้นเกิดหยั่งถึง แผนการทั้งหมดหาได้รอดพ้นจากหูตาของเหล่าไพร่พลและขุนกำลังของพระยาราชเสนาไม่ ทำให้ให้เทียนถูกจับทรมานจนเกือบตาย
พละกำลังและความสามารถที่ถูกบ่มเพาะมาทั้งชีวิตถูกทำลายจนหมดสิ้น แต่ได้รับความช่วยเหลือจนรอดชีวิตจากพิมและครูบัว
เทียนถูกนำตัวไปยังหมู่บ้านของครูบัวในหุบเขาที่ครั้งอดีต เขาเคยได้มีโอกาสเรียนรู้การบ่มเพาะสมาธิ การฝึกควบคุมร่างกาย กล่อมเกลาสภาวะแห่งจิตให้นิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างได้หวนคืนกลับมาสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง เหมือนชีวิตได้ถือกำเนิดใหม่ขึ้นอีกครั้ง วันคืนค่อยๆผ่านพ้นไป พร้อมๆกับสภาพร่างกายและจิตใจของเทียนได้รับการฟูมฟักฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง ครูบัวที่ปัจจุบันกลายเป็นพระบัวเปิดทางให้เทียนได้ค้นพบกับปริศนาธรรมและความลับบางประการที่แทรกตัวอยู่ในวิชานาฏศิลป์ชั้นสูงอย่าง “โขน” จนในท้ายที่สุดเทียนได้หล่อหลอมเอาจิตวิญญาณแห่งพลังศรัทธาสมาธิมาผสมผสานกับนาฏศิลป์โขนโบราณ ก่อเกิดเป็น“นาฏยุทธ”ศิลปะการต่อสู้ภายใต้รูปแบบที่อ่อนช้อย สง่างาม และทรงอานุภาพอย่างที่ยากจักหาสิ่งใดมาทัดเทียมและไม่เคยปรากฎขึ้นมาก่อน
“เหนือผืนพิภพในใต้หล้า ภายใต้พสุธาอันกว้างใหญ่ ว่ากันว่าศาสตราวุธที่ทรงอานุภาพที่สุด คือการบรรลุถึงจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ที่หลับใหลอยู่ในตัวตน ก่อเกิดจาก “พลังสมาธิจากจิตที่สงบนิ่ง” หลอมหลวมเข้ากับ “ศรัทธาอันแรงกล้า” จากธาตุทั้ง4นั่นคือ “ดิน น้ำ ลม ไฟ”ซึ่งแฝงเร้นอยู่ในธรรมชาติรอบกาย ภายใต้จิตแห่งความใฝ่ดีที่ไม่เคยดับสูญ
และนี่คือจุดเริ่มต้นของ “องค์บาก 2” ตำนานการต่อสู้แห่งจิตวิญญาณที่หลอมรวมพลังศรัทธาอันมุ่งมั่นที่ไม่เคยดับสูญของบุรุษผู้เกิดมาเพื่อเป็นตำนาน
รายละเอียดและเกร็ดงานสร้าง
แก่นแท้ที่ถือได้ว่าเป็นหัวใจหรือธีมสำคัญของภาพยนตร์ในเรื่อง “องค์บาก ทั้งภาค 1และภาค2” ก็คือการนำเสนอและถ่ายทอดถึงภาพการต่อสู้ และเรื่องราวของวีรบุรุษที่ต้องฝันฝ่าอุปสรรคนานัปการ เพื่อค้นหาสัจธรรมและความหมายที่แท้จริงของ “ศรัทธาแห่งการดำรงอยู่ของมนุษย์” “ความดี ความเลว” และสิ่งที่ถูกเรียกขานว่า “จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้”
องค์บาก 2 คือ 1 ในอภิมหาโปรเจ็คต์ภาพยนตร์ไทยแอ็คชั่นฟอร์มยักษ์ทุนสร้างมหาศาลประจำปีพุทธศักราช2551ที่บริษัทผู้สร้างภาพยนตร์อันดับ1ของเมืองไทยอย่าง “สหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนล” ทุ่มทุนสร้างอย่างสูงสุดเทียบเคียงได้กับภาพยนตร์เรื่องยิ่งใหญ่ที่ได้รับการจารึกในหน้าประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทยอย่าง “สุริโยไท” และ “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ภาค1-2-3” จากผลงานการกำกับภาพยนตร์โดยมจ.ชาตรีเฉลิม ยุคล หรือแม้แต่ “ปืนใหญ่จอมสลัด” ภาพยนตร์ฉลอง1ทศวรรษแห่งความสำเร็จตลอดชีวิตในการเป็นผู้กำกับที่สร้างปรากฎการณ์ให้เกิดขึ้นในอุตสหากรรมภาพยนตร์ไทยของผู้กำกับนนทรีย์ นิมิบุตร (นางนาก,2499อันธพาลครองเมือง,จันดารา) รวมไปถึงภาพยนตร์แอ็คชั่นไทยระดับโลกอย่าง องค์บาก,ต้มยำกุ้ง และช็อคโกแลต ของผู้กำกับปรัชญา ปิ่นแก้ว
กล่าวได้ว่า “องค์บาก2” ไม่เพียงเป็นภาพยนตร์ไทยแอ็คชั่นฟอร์มยักษ์ระดับโลกที่ทุ่มทุนสร้างสูงที่สุดเรื่องหนึ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นโปรเจ็คต์ภาพยนตร์ไทยแอ็คชั่นที่คอหนังทั่วโลกต่างเฝ้ารอคอย หลังจากที่ชื่อของ “จา พนม ยีรัมย์ หรือโทนี่ จา” แจ้งเกิดในฐานะ “พระเอกแอ็คชั่นฮีโร่คนใหม่ของโลกภาพยนตร์ ภายใต้สโลแกน ไม่ใช้สลิง ไม่ใช้ตัวแสดงแทน” จาก “องค์บาก” ภาพยนตร์แอ็คชั่นคลาสสิคระดับมาสเตอร์พีซที่ทำให้ภาพยนตร์ไทยแอ็คชั่นประสบความสำเร็จจนเป็นที่ยอม
รับเกิดเป็นกระแสครองความนิยมไปทั่วโลกถึงรูปแบบ เอกลักษณ์และวิถีใหม่ๆ อันนำไปสู่มาตรฐานใหม่ของภาพยนตร์แอ็คชั่นโลกซึ่งมิเพียงสร้างความแตกต่างไปจากภาพยนตร์แอ็คชั่นรูปแบบเดิมๆที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้า แต่นำไปสู่เสียงตอบรับแห่งปรากฎการณ์ความสำเร็จที่เกิดขึ้นของตลาดภาพยนตร์ไทยแอ็คชั่นในระดับโลกจนเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางและต่อเนื่องนับตั้งแต่ความสำเร็จจาก “องค์บาก” ตามด้วย “เกิดมาลุย” “ต้มยำกุ้ง” และ“ช็อคโกแลต” จึงไม่น่าแปลกใจที่ “องค์บาก 2” จะเป็นที่ฮือฮา ได้รับการตอบรับและถูกจับตามองตั้งแต่ตัวโปรเจ็คต์ยังไม่ได้เริ่มต้นเปิดกล้องถ่ายทำจากบรรดาบริษัทผู้ซื้อและจัดจำหน่ายภาพยนตร์จากทุกประเทศทั่วโลกสูงสุดอย่างเป็นประวัติการณ์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ “องค์บาก2” คือโปรเจ็คต์ภาพยนตร์แอ็คชั่นอย่างเต็มรูปแบบที่ “จา พนม” ใฝ่ฝันบ่มเพาะและคิดค้นมาทั้งชีวิต นับตั้งแต่ก่อนที่จะแจ้งเกิดจากภาพยนตร์เรื่อง “องค์บาก” ด้วยซ้ำ ภายใต้แนวคิดและความตั้งใจร่วมกับปรมาจารย์ผู้กำกับคิวบู๊แอ็คชั่นที่สืบทอดกันมาอย่างพันนา ฤทธิไกร เพื่อให้เหล่าบรรดาแฟนๆและคอหนังแอ็คชั่นจากทั่วโลกได้สัมผัสกับทุกรูปแบบแห่งศิลปะการต่อสู้ที่ล้วนแล้วแต่เป็นความสามารถเฉพาะตัวของจา พนมที่หลายคนยังไม่เคยสัมผัสมาก่อน ซึ่งผ่านการเรียนรู้ ฝึกฝน บ่มเพาะและสั่งสมประสบการณ์มาทั้งชีวิตโดยนำมาคิดค้นประยุกต์และผสมผสานเข้ากับศิลปะการต่อสู้ในแนวทางต่างๆทั้งการต่อสู้ด้วยหมัด เท้า เข่า ศอก และส่วนต่างๆของร่างกาย ซึ่งไม่ได้มีเพียงศิลปะการต่อสู้ในรูปแบบแม่ไม้มวยไทยโบราณเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการใช้สรรพศาสตราวุธนานาชนิดในการต่อสู้อย่างคล่องแคล่ว ชำนาญการ ปรากฎให้เห็นเป็นครั้งแรกบนแผ่นฟิล์มไม่ว่าจะเป็น การต่อสู้ด้วยดาบ กระบี่ กระบอง ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไฮไลท์ที่เป็นรูปแบบการต่อสู้ในแนวทางใหม่ที่ถูกคิดค้นและผสมผสานขึ้นภายใต้ลักษณะและรูปแบบการต่อสู้อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เต็มไปด้วยความอ่อนช้อย สวยงาม และดุดัน สำหรับ “องค์บาก 2” โดยเฉพาะ นั่นคือ “นาฎยุทธ” รูปแบบการต่อสู้ที่ถูกคิดค้นและผสมผสานจากนาฏลีลาแห่งศิลปะชั้นสูงอย่างโขนมาผนวกรวมเข้ากับศิลปะการต่อสู้รูปแบบต่างๆ จนเกิดเป็นรูปแบบการต่อสู้ที่เชื่อว่ายังไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
นอกเหนือจากดีไซน์การต่อสู้ในรูปแบบต่างๆแล้วยังกล่าวได้ว่าการออกแบบฉากแอ็คชั่นต่างๆในภาพยนตร์เรื่ององค์บาก 2 ที่เกิดจากความคิดค้นของตัวจา พนม และ พันนา ฤทธิไกร ทุกๆฉากล้วนแล้วเป็นความแปลกตาที่รับรองว่าจะสร้างความตื่นตะลึง และเป็นที่กล่าวถึงอย่างแน่นอน ด้วยวิธีการและวิช่วลทางด้านภาพที่น่าตื่นตาและเต็มไปด้วยความแปลกใหม่เพื่อเอาใจคอหนังแอ็คชั่นให้ได้ชมกันอย่างจุใจตลอดทั้งเรื่องสมกับที่ทุกคนรอคอย ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้โดยนำช้างเข้ามาเป็นองค์ประกอบสำคัญ รวมไปถึงการต่อสู้บนหลังช้าง , การต่อสู้บนแพไม้กลางน้ำ ,การต่อสู้ท่ามกลางหมู่บ้านกลางหุบเขา ฯลฯ
และแน่นอนว่าในส่วนของบทภาพยนตร์ได้รับความพิถีพิถันและให้ความสำคัญมากที่สุด เพื่อให้องค์บาก2เป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นที่ได้รับการยอมรับทั้งในส่วนของงานแอ็คชั่นที่ยอดเยี่ยม งานสร้างที่ยิ่งใหญ่ภายใต้บทภาพยนตร์ที่ดีที่สุด พร้อมกับระดมบรรดานักแสดงระดับคุณภาพที่ล้วนแล้วได้รับการยอมรับในฝีไม้ลายมือในระดับแถวหน้ามาร่วมถ่ายทอดมิติความเข้มข้นและให้ชีวิตกับตัวละครต่างๆโลดแล่นอย่างสมจริง อาทิ สรพงษ์ ชาตรี,นิรุตต์ ศิริจรรยา,ศรัณยู วงศ์กระจ่าง,สันติสุข พรหมศิริ,หม่ำ จ๊กม๊ก,ปัทมา ปานทอง ฯลฯ
ในด้านรายละเอียดงานสร้างของภาพยนตร์ได้ เอก เอี่ยมชื่น โปรดักชั่นดีไซน์เนอร์ผู้ออกแบบงานสร้างมือ1ของเมืองไทยที่มีผลงานสร้างระดับมาสเตอร์พีซมาแล้วอย่างมากมาย อาทิ ภาพยนตร์ทุกเรื่องของผู้กำกับนนทรีย์ นิมิบุตร (2499 อันธพาลครองเมือง ,นางนาก,จันดารา,โอเคเบตง,ปืนใหญ่จอมสลัด) ภาพยนตร์เรื่องเหมืองแร่ ฯลฯ มารับผิดชอบในการเนรมิตโปรดักชั่นงานสร้างที่อ้างอิงจากสถาปัตยกรรมของเขมรในอดีตที่เต็มไปด้วยดีไซน์ที่แปลกตาน่าตื่นตะลึง อย่างที่ไม่เคยปรากฎในหนังแอ็คชั่นเรื่องใดมาก่อน อาทิแหล่งชุมโจรผาปีกครุฑศูนย์รวมนักสู้ฝีมือฉกาจหลากเชื้อชาติที่บ่มเพาะการต่อสู้ทุกชนิดให้กับตัวละครที่จาพนมรับบทบาท โดยใช้โลเกชั่นเขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา น้ำตกศิริพบ จังหวัดสระบุรี , ฉากการต่อสู้ไฮไลท์ที่ลานช้างพระราชวังหลวง ณ โลเกชั่นจังหวัดระยอง, ฉากการผชิญหน้าครั้งสำคัญระหว่างจา พนมกับฝูงโขลงช้างป่ากว่า30-40เชือกที่โลเกชั่นจังหวัดสุรินทร์ รวมไปถึงการเลือกใช้โลเกชั่นในจังหวัดต่างๆที่อยู่ในโครงการ UNSEEN THAILAND ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นจังหวัดกระบี่,จังหวัดเลย ฯลฯ มาถ่ายทอดลงบนจอภาพยนตร์โดยได้ ณัฐวุฒิ กิตติคุณ ผู้อยู่เบื้องหลังงานกำกับภาพของ ตำนานสมเด็จพระนรเศวรมหาราช,องค์บาก,ต้มยำกุ้ง,โหมโรง,ฟ้าทะลายโจร,นางนาก ฯลฯ มารับหน้าที่ในการออกแบบและกำกับภาพให้กับภาพยนตร์เรื่ององค์บาก 2