กรุงเทพฯ--15 ธ.ค.--อินโฟเควสท์
MTV เจอศึกหนัก ปลดสายฟ้าแลบ บอสใหญ่นั่งไม่ติด ออกโรงแฉ 3 เหตุผลสุดทน ต้นเหตุอำลาบ้านเก่า UBC ยันไม่มีปัญหากับองค์กร แต่รับไม่ได้ต้องร่วมงานกับผู้บริหารเจ้าเล่ห์ ก่อนร้องขอความเป็นธรรมผ่านสื่อ
จากกรณีที่เอ็มทีวีไทยแลนด์ ถูกปลดออกจากผังรายการทางช่องยูบีซีอย่างกะทันหันตั้งแต่เวลาเที่ยงคืน วันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์หนาหูถึงสาเหตุที่รายการถูกยุบ และค่อนไปในทางสับสน เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้(15 ธ.ค.)นายอิทธิวัฒน์ เพียรเลิศบอสใหญ่บริษัท Media Communication Network ซึ่งเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ของเอ็มทีวี จึงจัดแถลงข่าวอย่างเร่งด่วน ณ ห้องบางกอก พาโนราม่า 2 โรงแรมอิมพีเรียล ควีนพาร์ค เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง 3 ข้อ ที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน ว่าทำไมเอ็มทีวีจึงต้องย้ายจากยูบีซี มาออกอากาศทางเคเบิ้ลท้องถิ่น Smile TV แทน
นายอิทธิวัฒน์ เปิดเผยว่า เบื้องต้นทาง MTV Asia ได้มอบหมายให้ตนเจรจาต่อสัญญากับทางยูบีซี โดยจะมีการนำเสนอรายการ MTV และ VH1 ในรูปแบบใหม่ และจะมีการเพิ่มรายการขึ้นมาใหม่อีก 1 รายการ คือ Nickelodeon ซึ่งผู้บริหารฝ่ายจัดหารายการของทางยูบีซีไม่มีทีท่าปฏิเสธ ขัดข้อง แต่ก็ไม่มีการตอบรับกลับมา จนประมาณวันที่ 18 ต.ค. ทีมงานจากต่างประเทศแจ้งให้ตนติดต่อผู้บริหารด้านรายการด่วน ปรากฏว่า ผู้บริหารคนดังกล่าวอ้างมีนโนบายจาก True ให้ทางเอ็มทีวียินยอมรับข้อเสนอ 3 ข้อ คือ1. ทรูขอเป็นหุ้นส่วนใน MTV Thailand 2. แม้จะมีการเพิ่มรายการ แต่ทางยูบีซีจะยังคงให้ราคาเท่าเดิม และ 3. ต้องการให้ MTV ยกเลิกสัญญาที่ทำไว้กับต่างประเทศ คือการสร้างรายการ Nickelodeon
จากข้อเรียกร้อง 3 ข้อนี้ ทางตนยอมรับได้เพียงข้อเดียวเท่านั้น คือไม่เพิ่มราคา เพราะการให้ทรูเข้ามาเป็นหุ้นส่วนใน MTV Thailand โดยตรงคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจาก MTV มีพาร์ทเนอร์หลักคือบริษัทของตนอยู่ก่อนแล้ว ส่วนเรื่องยกเลิกรายการ Nickelodeon จะเกิดผลกระทบและความเสียหายอย่างมาก เพราะถือเป็นการผิดสัญญากับต่างประเทศอาจทำให้ถูกฟ้องร้องได้
ทั้งนี้ นายอิทธิวัฒน์ เชื่อว่าข้อเรียกร้องดังกล่าวเป็นเพียงนโยบายของผู้บริหารฝ่ายจัดหารายการของยูบีซีเพียงคนเดียวเท่านั้น พร้อมยืนยัน MTV ไม่เคยผิดสัญญาใดๆ ทั้งสิ้น
"ผมไม่เชื่อว่าเป็นนโยบายของทรูจริงๆ ผมคิดว่าเป็นนโยบายส่วนบุคคลมากกว่า ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้บริหารคนนั้นต้องการอะไรกันแน่ เมื่อตอนที่โดนยุบเราก็ไม่ได้นิ่งเฉย ผู้บริหารของ MTV Asia ก็บินตรงมาคุยเลย เรามีการเจรจากันถึงประมาณ 4 ทุ่ม บอกว่ายอมรับได้ข้อเดียวคือไม่ขึ้นราคา ทำหนังสือไปขอก็แล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จ ผู้บริหารคนเดิมบอกว่า เค้าทำช่องเพลงของตัวเอง ทำสารคดีต่อไปดีกว่า แล้วยังบอกว่ารายการของเราไม่มีคุณภาพ จน 4 ทุ่มกว่าๆ ก็ได้รับตัวหนังสือขึ้นหน้าจอ ว่าจะไม่มีรายการนี้อีกแล้ว และก็ตัดรายการ MTV และ VH1 ออกตอนเที่ยงคืน ปกติองค์กรนี้ต้องมีการแจ้งสมาชิกล่วงหน้าทาง Magazine ไม่ต่ำกว่า 30 วัน ผมไม่เชื่อเด็ดขาดว่าเป็นนโยบายของทรู หรือยูบีซี เพราะอย่างทรูก็รู้จักกันมา 10 กว่าปี และทรูซึ่งตอนนั้นเป็น Orange ก็ติดต่อขอเป็นสปอร์นเซอร์รายการเป็นเจ้าแรกด้วย"
"พอมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น เราเสียหายมาก เสียทั้งชื่อเสียง ธุรกิจ และองค์กร แต่ก็ยังดีที่มี Smile TV ยื่นมือเข้าช่วย ให้เราสามารถนำรายการไปออกได้พอดี ไม่งั้นคงจะเดือดร้อนมากกว่านี้แน่ เพราะจู่ๆ แบรนด์ MTV ที่เคยมีอยู่ในไทยหายไปเฉยๆ จะบอกกับทางต่างประเทศว่ายังไงล่ะ ผมกล้ายืนยันว่า MTV ไม่ได้ทำอะไรผิดสัญญาทั้งสิ้น เห็นว่าอยู่กับยูบีซีมานาน ก็อยากจะช่วยขยายช่องทาง นำ Brand International ที่ยูบีซีเคยทำรายเดียวมาสู่ตลาดล่าง แต่กลับได้รับผลแบบนี้ มันไม่แฟร์เลย มันเป็นข้อเท็จจริงสั้นๆ ที่เป็นเรื่องใหญ่ เป็นการสูญเสีย ธุรกิจเสียหาย พอรายการถูกถอดพนักงานเราก็ได้แต่นั่งมองคอมฯร้องไห้ ทุกคนถือว่าตกงานกันหมด มันเป็นเรื่องเจ็บปวดนะ และเค้ายังมาให้สัมภาษณ์ว่าเรามีการเตรียมการล่วงหน้ามาแล้ว 6 เดือนอีก ซึ่งไม่จริงเลย และที่ออกมาจากยูบีซีก็ไม่ใช่ความต้องการของเรา แต่เหมือนถูกบังคับมากกว่า"
"ส่วนเรื่องฟ้องร้องยูบีซี จริงๆ ก็ทำได้นะ แต่ผมไม่ทำ เพราะเราไม่ได้มีปัญหากับองค์กร มันเป็นที่คนเพียงคนเดียวมากกว่า ผมขอไม่บอกนะว่าชื่ออะไรมันจะดูจงใจเกินไป บอกได้เพียงเป็นคนจัดหารายการให้ยูบีซี มีอยู่คนเดียวคุณก็คงรู้กันอยู่ อีกอย่างผมไม่ทำอยู่แล้วเรื่องฟ้องร้องคนที่เราเคยหากินมาด้วยกัน ถ้าอยากรู้อะไรก็ลองไปถามผู้บริหารคนนั้นดู เห็นจากกรณีของ MTV แล้ว ก็ไม่อยากให้คนผู้นี้ทำอย่างนี้กับคนอื่นอีก เพราะมันเกิดความเสียหาย ผมเป็นห่วงความรู้สึกของผู้บริโภค สมาชิก และแฟนเพลงที่เคยติดตามกันมาด้วย อยากรู้เหมือนกันว่าความยุติธรรมมันอยู่ที่ไหน ถ้าได้ไปสัมภาษณ์เค้าก็ฝากถามความเป็นธรรมให้กับ MTV ด้วย"
สำหรับเรื่องความรู้สึกพนักงาน นายอิทธิวัฒน์ กล่าวว่า ตอนนี้เริ่มปรับตัวกันได้แล้ว การวางผังรายการที่ออกอากาศทางเคเบิ้ล Smile TV ก็ลงตัวดีแล้ว อาจจะมีการเพิ่มรายการจาก 8 เป็น 24 รายการในปีหน้า ซึ่งตอนนี้บริษัทได้ลงทุนไปกับฝ่ายเครื่องมือ และ TV ประมาณ 100 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถคืนทุนได้ไม่เกินปีครึ่ง พร้อมการันตีความทันสมัย เทคโนโลยีครบครัน เชื่อจะสามารถสร้างรายได้เข้าบริษัทไม่ต่ำกว่าตอนอยู่ยูบีซีแน่นอน และในด้านรายการเพลงก็จะยังคงความเป็นกลาง นำเสนอผลงานของศิลปินทุกค่ายต่อไป รวมทั้งศิลปินของค่ายยูบีซีด้วย