กรุงเทพฯ--24 ต.ค.--สสส.
ปัจจุบันประชาชนในปัจจุบันมีพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไป โดยหันมานิยมการบริโภคอาหารสำเร็จรูป อาหารหวาน มัน และเค็ม ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในขนมขบเคี้ยว น้ำอัดลม และเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ และน้ำผลไม้ที่เติมน้ำตาลเพิ่มขึ้น ซึ่งผลการสำรวจพฤติกรรมการบริโภคน้ำตาลในเด็กชั้นประถมปีที่ 5-6 ในปี พ.ศ. 2549 พบว่าเด็กบริโภคน้ำตาลเฉลี่ย 20 ช้อนชาต่อวัน ซึ่งเกินกว่าความจำเป็นที่ร่างกายต้องการถึง 3 เท่า
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสระบุรี จึงได้ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดทำ ”โครงการรวมพลังเครือข่ายเพื่อเด็กไทยไม่กินหวาน จังหวัดสระบุรี” ขึ้นเพื่อสร้างความตื่นตัวให้ประชาชนทุกเพศทุกวัยได้เลือกบริโภคอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ลดการบริโภคน้ำตาล ดูแลและปฏิบัติตนเองจนเกิดเป็นสุขนิสัย เป็นตัวอย่างแก่บุคคลอื่น ภายใต้ความร่วมมือของครอบครัว โรงเรียน ชุมชน และองค์กรที่เกี่ยวข้อง
ทันตแพทย์หญิงจันทนา อึ้งชูศักดิ์ ผู้จัดการแผนงานรณรงค์เพื่อเด็กไทยไม่กินหวาน สสส. กล่าวว่า “โครงการรณรงค์เพื่อเด็กไทยไม่กินหวาน เริ่มต้นครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2545 โดยเข้าไปรณรงค์ให้ผู้ผลิตนมผลสำหรับเด็กนำน้ำตาลออกจากนมผง จนกระทั่งมีการขยายผลโครงการเด็กไทยไม่กินหวานเข้าไปในโรงเรียนต่างๆ ในปี พ.ศ. 2548 ซึ่งในปัจจุบันมีโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการมากกว่า 600 โรงเรียนทั่วประเทศ”
ในปัจจุบันน้ำตาลได้แฝงมาในอาหารแทบทุกชนิด ซึ่งการรับประทานน้ำตาลมากเกินไปผลเสียที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนที่ชัดเจนที่สุดก็คือฝันผุและปัญหาเรื่องเด็กอ้วน เมื่ออ้วนแล้วก็จะก่อให้เกิดปัญหาอื่นๆ ด้านสุขภาพตามมา อาทิ โรคเบาหวานในเด็ก พอโตขึ้นมาก็อาจจะมีปัญหาในเรื่องของความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ฯลฯ โรคอีกหลายอย่างตามมาเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เพราะพฤติกรรมการกินหรือนิสัยในการบริโภคจะถูกปลูกฝังตั้งแต่ในวันเด็ก ถ้าในวัยเด็กมีรสนิยมอย่างไร ก็จะต่อเนื่องไปถึงนิสัยการกินในตอนโตเป็นผู้ใหญ่
โรงเรียนแสงวิทยา โรงเรียนเอกชน ใน อ.แก่งคอย จ.สระบุรี เป็นโรงเรียนต้นแบบในเครือข่ายของโครงการณรงค์เพื่อเด็กไทยไม่กินหวาน ที่ได้การบูรณาการหลักการและวัตถุประสงค์ของโครงการเข้ากับแผนการเรียนการสอนของโรงเรียนอย่างเด่นชัด เพื่อปลูกฝังนักเรียนให้ลดการบริโภคน้ำตาลที่ไม่จำเป็นตั้งแต่ในวัยเด็ก
อาจารย์ พเนศ ต.แสงจันทร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนแสงวิทยา กล่าวว่า “ทางโรงเรียนร่วได้นำแผนการทำงานโครงการฯ มาประยุกต์และบูรณาการเข้าสู่ระบบการเรียนการสอนให้แก่นักเรียนทุกระดับชั้น จัดทำสื่อการเรียนการสอนที่น่าสนใจ เช่น นิทานไม่กินหวาน, เกมไม่กินหวาน รวมทั้งดูแลด้านโภชนาการของเด็กด้วยการจัดกิจกรรม วันปลอดขนมถุง และ ปลอดไอศครีม งดน้ำตาลในเครื่องปรุงก๋วยเตี๋ยว และจัดผลไม้เป็นอาหารว่างให้เด็กอนุบาล รวมถึงได้ขยายเครือข่ายด้วยการสร้างกระแสไม่กินหวานไปสู่แม่ค้าและประชาชนในชุมชนเทศบาลแก่งคอยอีกด้วย ”
การปลูกฝังให้เด็กๆ ไม่กินหวานด้วยการสอนผ่านกิจกรรมที่น่าสนใจ ทำให้เด็กเกิดความเข้าใจได้ง่ายและสามารถถ่ายทอดสู่คนรอบข้างได้ ดังเช่น ด.ช.กฤษณะ โมราขาว นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที 5 ที่เห็นความสำคัญของเรื่องนี้โดยเลิกกินน้ำอัดลม ขนมหวาน และลูกอม ทั้งในและนอกโรงเรียน และยังชักชวนผู้ปกครองให้เลิกกินหวานอีกด้วย
ด้าน โรงเรียนบ้านราษฎร์เจริญ อ.วิหารแดง จ.สระบุรี เป็นโรงเรียนเล็กๆ อีกแห่งหนึ่งที่เข้าร่วมโครงการโดยมีดีกรีรางวัลชนะเลิศโรงเรียนส่งเสริมทันตสุขภาพระดับจังหวัดปี 2549 ไม่มีน้ำอัดลม ไม่มีขนมถุง ไม่มีไอศกรีมจำหน่าย จึงไม่เป็นเรื่องยากที่ทางโรงเรียนจะมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็กในโรงเรียนสู่การไม่กินหวาน
อาจารย์วิรัช เวชสิทธิ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านราษฎร์เจริญ กล่าวว่า “ทางโรงเรียนต้องการปลูกฝังพฤติกรรมไม่กินหวานให้ติดตัวเด็กอย่างยั่งยืนตลอดไป จึงมีการให้ความรู้อย่างจริงจัง เพื่อให้เด็กนำไปปฏิบัติได้อย่างต่อเนื่อง โดยให้มีการบูรณาการกิจกรรมไม่กินหวานควบคู่กับการเรียนการสอนในทุกสาขาวิชา”
นอกจากนี้ทางโรงเรียนยังได้มุ่งขยายเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานออกไปสู่โรงเรียนอื่นๆ และชุมชนใกล้เคียง ด้วยการให้ ด.ช.วีระ พิมพ์ศิริ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ซึ่ง จัดหาทีมเพื่อนๆ แสดงละครเป็นภาษาอีสานที่แสดงให้เห็นถึงพิษภัยของการกินหวานเพื่อชักชวนให้คนในชุมชนอื่นๆ เลิกกินหวาน
นอกจากนี้ยังขยายผลไปสู่ชุมชนรอบๆ โรงเรียนให้มีส่วนร่วมกันดูแลสุขภาพของเด็กๆ ดังเช่น ป้าทวาย บุญเพ็ง แม่ค้าขายขนมที่อยู่บริเวณด้านหน้าโรงเรียนเล่าให้ฟังว่า “ทางโรงเรียนได้ขอให้เลิกขายน้ำอัดลมและขนมถุงที่ไม่มีประโยชน์แก่เด็กๆ ก็รู้สึกเห็นด้วย เพราะเด็กๆ แถวนี้เป็นเหมือนลูกหลานของเรา ต้องช่วยกันดูแลตอนนี้ป้าขายแต่ลูกชิ้นปิ้ง ขนมปัง ผลไม้ และขนมที่มีประโยชน์เท่านั้น”
ด้าน ทันตแพทย์หญิง สุวรรณา สมถวิล หัวหน้ากลุ่มงานทันตสาธารณสุข จ.สระบุรี กล่าวกว่า “จากการรณรงค์โครงการเด็กไทยไม่กินหวาน ใน จ.สระบุรี พบว่าเด็กมีอัตราฟันผุลดน้อยลง จาก 90 เปอร์เซ็นต์ ลดลงเหลือประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น”
เมื่อได้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคให้ถูกต้องและเหมาะสมตั้งแต่ในวัยเยาว์ พฤติกรรมเหล่านี้ก็จะติดตัวจนโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ที่ปราศจากโรคร้ายต่างๆ อันเกิดจากพฤติกรรมการบริโภคที่ผิดๆ อย่าง โรคฟันผุ, โรคอ้วน, โรคเบาหวาน, โรคหัวใจ และโรคไต ดังนั้นการดำเนินงานของโครงการนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้ทุกคนมีสุขภาพดีกันถ้วนหน้า ไม่ประสบปัญหาและโรคภัยจากความหวานอีกต่อไป.
ผู้ส่ง : punnda
เบอร์โทรศัพท์ : 0813580687