เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาชี้แนะประเทศไทยควรมุ่งเน้นการพัฒนาชุมชนและภาคการเกษตรให้เข้มแข็งเพื่อให้ประเทศสามารถผ่านวิกฤตไปได้อย่างยั่งยืนตามแนวพระราชดำริของพระเจ้าอยู่หัว

ข่าวทั่วไป Thursday November 6, 2008 12:30 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--6 พ.ย.--พริสไพออริตี้ ภาพร้านกาแฟในสวนแม่ฟ้าหลวง ภาพการปลูกกาแฟอาราบิก้าใต้ป่าในแปลงป่าเศรษฐกิจ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาได้มาบรรยายในหัวข้อ “เศรษฐกิจพอเพียง” ในการประชุมผู้นำชุมชนทั่วภาคเหนือที่โครงการพัฒนาดอยตุง ซึ่งจัดขึ้นร่วมกันระหว่างสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน และคณะกรรมการบริหารโครงการปิดทองหลังพระ ในการบรรยายดังกล่าว เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา กล่าวว่าการพัฒนาของประเทศไทยที่ผ่านมาเป็นการพัฒนาที่ไม่สอดคล้องกับแนวพระราชดำริที่พระเจ้าอยู่หัวทรงให้ไว้โดยเฉพาะในประเด็นที่ทรงย้ำว่าจะทำสิ่งใดต้องเคารพภูมิสังคม (ทั้งภูมิศาสตร์ สังคมและวัฒนธรรม) ประเทศไทยมีทุนสำคัญทางการเกษตร มีความพร้อมทั้งทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรบุคคล แต่กลับละทิ้งไปมุ่งหาอุตสาหกรรม ทั้งที่จะต้องพึ่งพิงทุนจากต่างประเทศ เทคโนโลยีจากต่างประเทศ และผู้บริหารจากต่างประเทศ ดังนั้นจึงเห็นมาแล้วว่าแม้ประเทศไทยจะพัฒนาจนมีการขยายตัวเกิน 10% มาแล้วแต่ไม่สามารถปกป้องเศรษฐกิจจากวิกฤตได้ “เปรียบเสมือนบ้านที่ต้องมีเสาที่มั่นคง แต่แนวทางการพัฒนาของเราที่ผ่านมาเสาบ้านของเราเป็นเสาที่ต้องพึ่งคนอื่น ก็ย่อมไม่มั่นคง เมื่อต่างประเทศถอนตัวออกไป เราก็เหลือเพียงทรัพยากรที่เสื่อมโทรม” ดร. สุเมธ กล่าวว่าภาคการเกษตรมีความสำคัญอย่างยิ่งและเป็นข้อได้เปรียบของประเทศไทย กล่าวคือประชากรของโลกได้เพิ่มขึ้นมาถึงระดับ 6,700 ล้านคนในตอนนี้และจะเพิ่มขึ้นไปอีก ในขณะที่ทรัพยากรของโลกไม่ได้เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นโลกจะประสบปัญหาความพอมีพอกิน เกิดการแย่งชิงทรัพยากรในที่ต่าง ๆ ในขณะที่ประเทศไทยยังสามารถผลิตอาหารเพียงพออยู่ อย่างไรก็ตามหากไม่ให้ความสนใจภาคเกษตรดีพอ ประเทศไทยก็จะเกิดปัญหาตามมาได้ดังจะเห็นได้ว่าความสำคัญของภาคเกษตรต่อเศรษฐกิจถูกลดความสำคัญลงตามลำดับและทรัพยากรถูกทำลายลงไปมาก ดังนั้นประเทศไทยจะต้องสร้างความยั่งยืนในการช่วยตัวเองให้ได้ดี ซึ่งจะทำให้รอดพ้นไปจากการแย่งชิงทรัพยากรที่กำลังขยายตัวไปทั่วโลก “การบริหารแบบเดินตามทุนนิยมเป็นระบบที่ต้องกระตุ้นให้บริโภคจนเกินพอ จึงเป็นปัญหา ไม่อิงธรรมชาติตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแนะนำไว้ และทำให้ขาดภูมิคุ้มกัน ขาดคุณธรรม เกิดเป็นความโลภได้ในทุกระดับตั้งแค่องค์กรระดับเล็กไปถึงใหญ่ ปัญหาความขัดแย้งที่มีอยู่ในตอนนี้ในบ้านเมืองก็ไม่ใช่การเมือง ไม่ใช่รัฐธรรมนูญ แต่เป็นความโลภ” ดร. สุเมธ กล่าวว่าในหลักของเศรษฐกิจพอเพียงนั้น จะต้องพอเหมาะพอประมาณ ไม่ฝืนธรรมชาติ มีภูมิคุ้มกัน และมีคุณธรรม ซึ่งสามารถนำไปเป็นหลักยึดปฏิบัติได้ในทุกระดับทั้งระดับบุคคลและชุมชน ไม่ว่าจะอยู่ในสังคมไหนก็ตาม “ต้องรู้จักตัวเองให้ดีเสียก่อนเป็นสิ่งแรกเพื่อที่จะเดินได้ถูก นี่เป็นสิ่งสำคัญ อย่างในบางมหาวิทยาลัยจะเห็นห้องประชุมติดแอร์เย็นฉ่ำแล้วคนมาประชุมก็ใส่ผ้าพันคอกันหนาวมาด้วย หรือไปดูนิทรรศการเศรษฐกิจพอเพียงที่ไหนก็จะต้องมีแสดงผัก กระท่อม และควายมาแสดงทำนา จนคนเข้าใจว่าเศรษฐกิจพอเพียงต้องเป็นเกษตรและจน” นอกจากนี้เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา กล่าวว่าจะร่วมกับโครงการปิดทองหลังพระในการส่งเสริมให้ประชาชนนำเอาแนวพระราชดำริไปใช้ในการพัฒนาตนเองและชุมชุนทั่วประเทศอย่างจริงจัง “วันนี้มีแต่คนมองในหลวงแล้วปลาบปลื้มน้ำตาไหล แต่น้อยคนที่จะพยายามเข้าใจว่าทรงสอนอะไร ฉะนั้นโครงการปิดทองหลังพระจะช่วยให้ประชาชนและชุมชนเข้าถึงแนวพระราชดำริมากยิ่งขึ้น” ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ฝ่ายสื่อสารการตลาด สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน. คุณปาริฉัตร เศวตเศรณี ผู้จัดการอาวุโส ส่วนประชาสัมพันธ์ โทร 0-2694-6092 หรือ 08-1-840-4701 คุณอริสรา ธนูแผลง ผู้จัดการ ส่วนประชาสัมพันธ์ โทร 0-2694-6095 หรือ 08-1561-4745 บริษัท เอ็ม เมอร์จ จำกัด คุณ ขนิษฐา ตั้งวรพจน์วิธาน โทร. 081-833-6096 บริษัท พริสไพออริตี้ จำกัด โทร.0-2712-7471-3 คุณสุชาดา กีตา (การ์ตูน) 084-695-9133 , คุณจิรกาล คุ้มประวัติ (โบ๊ต) 086-527-4461

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ