กรุงเทพฯ--7 พ.ย.--คต.
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) เปิดเผยการใช้สิทธิพิเศษฯ ภายใต้ CEPT (Common Effective Preferential Tariff : การใช้อัตราภาษีศุลกากรพิเศษที่เท่ากันภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน) ปี 2551(ม.ค.-ก.ค.) มีมูลค่า 6,358.57 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 93 ของมูลค่าส่งออกสินค้าที่ได้สิทธิพิเศษฯ CEPT ซึ่งนับเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิพิเศษฯ ค่อนข้างสูง ส่วนรายการสินค้าที่ไม่สามารถหรือไม่จำเป็นต้องขอใช้สิทธิพิเศษฯ CEPT มีมูลค่าส่งออก 17,576. 20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เนื่องจากเป็นสินค้าในกลุ่มที่มีอัตราภาษีนำเข้าปกติ(MFN) เท่ากับอัตราภาษีภายใต้ CEPT หรือเป็นรายการสินค้าอ่อนไหว (SL) หรือรายการสินค้ายกเว้นภาษีทั่วไป (GL)
ประเทศคู่ค้าสำคัญที่ไทยส่งออกโดยใช้สิทธิพิเศษฯ CEPT สูง คือ อินโดนีเซีย มีสัดส่วนการใช้สิทธิพิเศษฯ คิดเป็นร้อยละ 60 ของมูลค่าการส่งออก รองลงมา คือ เวียดนาม (ร้อยละ 44) ฟิลิปปินส์ (ร้อยละ 31) มาเลเซีย (ร้อยละ 24) ส่วนกลุ่มประเทศที่ใช้สิทธิพิเศษฯ สัดส่วนน้อย ได้แก่ บรูไน (ร้อยละ 14) สิงคโปร์ (ร้อยละ 4) ลาว(ร้อยละ 2) พม่า(ร้อยละ 1) และกัมพูชา (ร้อยละ 0.01) ตามลำดับ
สินค้าที่ใช้สิทธิพิเศษฯ สูง ได้แก่ รถยนต์บุคคลกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ลบ.ซม. คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิพิเศษฯ ร้อยละ 96 ของมูลค่าการส่งออก รถยนต์บรรทุก (ร้อยละ 100) ส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (ร้อยละ 79) เครื่องปรับอากาศ(ร้อยละ 99) ส่วนประกอบยานยนต์ (ร้อยละ 100) รถยนต์บุคคลกระบอกสูบไม่เกิน 2,000 ลบ.ซม. (ร้อยละ 89) ตู้เย็น (ร้อยละ 74) อาหารปรุงแต่ง (ร้อยละ 72) เป็นต้น
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่าในปี 2552 อาเซียนจะมีอัตราภาษีนำเข้าเป็น 0 ในบัญชีลดภาษีของอาเซียนจำนวนกว่า 60,000 รายการ หรือคิดเป็นร้อยละ 64 ของรายการที่ผูกผันภายใต้ CEPT ซึ่งในปี 2553 ประเทศสมาชิกเดิม 6 ประเทศ จะต้องลดภาษีเป็น 0 ทั้งหมด ส่วนปี 2558 สำหรับประเทศสมาชิกใหม่ 4 ประเทศ ดังนั้น ผู้ผลิตและผู้ส่งออกไทยควรใช้โอกาสที่อัตราภาษีในอาเซียนกำลังทยอยลดต่ำลง ขยายตลาดและเพิ่มมูลค่าในการส่งออกไปอาเซียนให้มากขึ้น
ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1385 สายด่วนกรมการค้าต่างประเทศ หรือที่ www.dft.go.th หรือ โทร. 0 2547 4872 โทรสาร 0 2547 4816