ช่างผมนับหมื่นรวมพลังลดโลกร้อน ในงาน Thailand Hair Expo 2008 คนไทยโชว์ฝีมือออกแบบ Salons Go Green ประหยัดพลังงานครั้งแรกของโลก

ข่าวทั่วไป Tuesday November 11, 2008 09:38 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--11 พ.ย.--พับบลิคฮิต จัดว่าเป็นงานรวมพลคนเปรี้ยว ซ่า ท้าแฟชั่น อีกงานสำหรับ “Thailand Hair Expo 2008” ที่ นิตยสารแฮร์ (HAIR) จัดขึ้นเพื่อเป็นสื่อกลางในการให้ช่างผมไทยได้มารวมตัวกัน เพื่ออัพเดทความทันสมัยของเทรนด์แฟชั่นทรงผม ตลอดจนความรู้ใหม่ๆ ที่จะนำไปพัฒนาการทำงานของช่างผมมืออาชีพต่อไป ซึ่งในปีนี้ได้จัดงานภายใต้คอนเซ็ปต์การรณรงค์เพื่อลดภาวะโลกร้อน พร้อมชูแนวคิดหลักของต้นแบบโปรดักส์รีไซเคิลชื่อดังของเมืองไทย ในการทำซาลอนต้นแบบ Salons Go Green ครั้งแรกของโลกที่ประหยัดพลังงานตั้งแต่โครงสร้าง เพื่อรณรงค์ให้ร้านทำผมต่างๆ ลดการใช้พลังงานลง โดยมี สุภาพ ศิริวงศ์ทรัพย์ นายกสมาคมเสริมสวยแห่งประเทศไทย เป็นประธานเปิดงาน เมื่อวันก่อน ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรธนา ชินพัฒน์ บรรณาธิการบริหาร นิตยสารแฮร์ (HAIR) เผยว่า ร้านทำผมเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ใช้พลังงานทั้งไฟฟ้าและน้ำค่อนข้างมาก และมีนับแสนร้านในเมืองไทย จึงต้องการรณรงค์ให้ร้านทำผมต่างๆ ลดการใช้พลังงานลงด้วยการนำเสนอซาลอนต้นแบบ “Salons Go Green by Matrix BIOLAGE” ที่ประหยัดพลังงานตั้งแต่โครงสร้าง ออกแบบโดย ดร.สิงห์ อินทรชูโต ต้นแบบโปรดักส์รีไซเคิลชื่อดังของเมืองไทย ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท โอซิซู จำกัด ผู้ผลิตสินค้ารักษ์สิ่งแวดล้อมภายใต้แบรนด์ "Osisu" “Thailand Hair Expo 2008 เป็นงานที่ยิ่งใหญ่แห่งปีค่ะ เพราะเรารวมพลังช่างผมจากทั่วประเทศกว่าหมื่นชีวิตมาร่วมงานในครั้งนี้ เรามีไฮไลท์เด็ดๆ ให้ชมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการให้กูรูด้านผม 20 ท่านแสดงผลงานการออกแบบทรงผมลดโลกร้อน จากแรงบันดาลใจ ที่คิดว่าช่วยลดภาวะโลกร้อน เช่น อาจเป็นผมสั้นที่ไม่ต้องไดร์ หรือเป็นผมดัดที่ดัดครั้งเดียวแล้วไม่ต้องทำอะไรอีกเลย ส่วนสีสันสำคัญอีกอย่างภายในงานคือ การมอบ 5 รางวัลให้กับคนดังที่มีทรงผมโดนใจผู้อ่านของเราที่สุด” หัวเรือใหญ่ในการจัดงานนี้ กล่าว ในส่วนของกิจกรรมภายในงาน แต่ละบูธมีทั้งสาระความบันเทิงให้ชม รวมถึงผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการดูแลผมให้ช็อปปิ้งกันทั้งงาน นอกจากนี้ยังมีการแสดงอีกมากมายให้ชมบนเวทีใหญ่ด้วย อาทิ แฟชั่นโชว์ผมจาก D-Cash, แฟชั่นโชว์ผมจาก Life Ford, แฟชั่นโชว์ผมจาก Lolane, แฟชั่นโชว์ผมจาก Lakme, แฟชั่นโชว์ผมจาก Sheseido, สาธิตการแต่งหน้าจากสถาบัน MTI, แฟชั่นโชว์ผมจาก Lolane, แฟชั่นโชว์ผมจาก Caring, แฟชั่นโชว์ผมจาก Golden P., และที่เรียกเสียงกรี๊ดจากแฟนคลับได้สนั่นฮอลล์ คือ ฟิล์ม-รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ ที่มาร่วมงานในฐานะพรีเซนเตอร์คนใหม่ของ Gasby นอกจากนี้ยังมีอีกหลายกิจกรรมที่เป็นไฮไลท์สำคัญภายในงาน ไม่ว่าจะเป็น การมอบรางวัลสำหรับคนดังที่มีทรงผมโดนใจผู้อ่านนิตยสารแฮร์ มากที่สุด ทั้งหมด 5 รางวัล ได้แก่ Best Trendy Man Award ทรงผมที่เหมาะกับบุคลิกชายหนุ่ม คือ บีม-ศรัณยู ประชากริช Best Darling Award ทรงผมมันส์ๆ ที่แสดงถึงความกล้าของเจ้าของทรงผม ชายหนุ่มที่โดนใจจนได้รับรางวัล ได้แก่ ดี.เจ.เด-ดาวิเด โดริโก้ Best Darling Award : เจ้าของทรงผมมันส์ๆ ฝ่ายหญิง คือ เอื้อง-สาลินี ปันยารชุน Best Shot Award ทรงผมของผู้ที่มีผมสั้นเตะตา คือ ก้อย-รัชวิน วงศ์วิริยะ Best Fringe Award ทรงผมสำหรับผู้ที่มีผมม้าสวยในสายตาผู้อ่าน ได้แก่ ม้าอมตะ อย่าง ป้าจิ๊-อัจฉราพรรณ ไพบูลย์สุวรรณ มาถึงกิจกรรมที่มีผู้ชมหนาแน่น และไม่ขยับไปไหนเลย คือ การตัด, ซอย ทรงผมลดโลกร้อนโดย 4 ช่างผมชั้นนำของไทย คือ อ. ธนากร เชื้อวิวัฒน์ จาก เกตุวดี, บุษบา เปรมเจริญ แห่ง ดูเอ้, พรรณิภา ปวนะฤทธิ์ จาก ร้าน Panipa และ สมพร ธิรินทร์ จาก The Lounge Salon ซึ่งแต่ละคนล้วนโชว์ฝีมือการตัดซอยระดับปรมาจารย์ให้เห็นกันสดๆ บนเวที ไม่ว่าจะเป็น ทรงผมซอยสั้นดูหวานซ่อนเปรี้ยว ของ อ.บุษบา ที่ใช้เทคนิคการไล่ผมที่ดูมีเท็กซ์เจอร์ แล้วเซตติ้งด้วยมือล้วนๆ ทำให้ผมด้านหลังดูฟูโดยไม่ต้องใช้สไตลิ่งเจลเข้าช่วยเลย เป็นเทรนด์ผมที่เหมาะกับฤดู Fall / Winter 2008 ทรงผมจากฝีมือการซอยของ ไก่ สมพร ก็เป็น ผมซอยสั้นกึ่งทอมบอย เหมาะสำหรับสาวที่มีความมั่นใจ เพราะเป็นทรงที่ออกแนวพังก์ ผสม ฟังก์กี้ แต่เรียบง่าย สามารถดูแลด้วยตนเองง่ายๆ ไม่ต้องใช้ไดร์หรืออุปกรณ์ตกแต่งทรงผมมาก เป็นเทรนด์ผมที่เหมาะสำหรับซัมเมอร์ 2009 ด้าน ธนากร เชื้อวิวัฒน์ โชว์ลีลาการตัดผมบ็อบเท ด้านหน้ายาวกว่าด้านหลังเล็กน้อย แต่โชว์ฝีมือการซอยไล่ด้านหลังให้ศีรษะได้รูปทุยขึ้น สร้างเลเยอร์ให้เส้นผมได้ เป็นผมบ็อบที่ดูอินเทรนด์ สามารถทำได้ตลอดไม่ว่าจะเป็นฤดูไหน ส่วน อ.พรรณิภา ออกแบบทรงสำหรับสาวผมยาว แต่อยากเปลี่ยนแปลงทรงผมด้วยการตัดผมด้านหลังให้ออกแนวเฉียงคล้ายทรงเรขาคณิต มีความทุยตรงกลางกระหม่อม ถึงจะสระผมแต่ก็ยังอยู่ทรงและมีวอลลุ่มเหมือนเดิม หลังจากชมการตัดซอยผมด้วยเทคนิคแบบมืออาชีพไปแล้ว กูรูทั้ง 3 ท่าน คือ ธนากร เชื้อวิวัฒน์, บุษบา เปรมเจริญ, พรรณิภา ปวนะฤทธิ์ ก็ร่วมสัมมนาในหัวข้อเข้ากระแสเรื่อง ”ร้านซาลอนช่วยลดโลกร้อนได้อย่างไร” โดยมี กรธนา ชินพัฒน์ บก.บห.นิตยสารแฮร์ ร่วมวงสนทนาด้วย เริ่มต้นด้วย พรรณิภา กล่าวว่า ถึงเวลาแล้วสำหรับร้านเสริมสวยในเมืองไทย ที่จะหันมาช่วยกันดูแลสภาพแวดล้อม เพราะทั่วโลกเขาทำกันแล้ว หากต้องการให้น้ำสะอาด อากาศดี ไม่มีมลพิษ ควรมาเริ่มที่อาชีพของเราเลยว่าจะช่วยลดโลกร้อนได้อย่างไร อาทิ พยายามอย่าใช้แอร์เก่า เพราะใช้ไฟมาก ในขณะที่แอร์ใหม่จะประหยัดไฟดีกว่า “ที่ร้าน Panipa พวกน้ำเสียที่ไหลออกมาจากร้าน เราจะมีการกรองของเสียก่อนไหลทิ้ง เพราะที่ร้านยังมีการใช้สารเคมีอยู่ จึงต้องมีท่อดักของเสียกรองให้น้ำสะอาดก่อนปล่อยให้ไหลไปตามท่อสาธารณะ อยากให้ทุกร้านทำเพื่อส่วนรวม ส่วนผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในร้าน อยากแนะนำให้ใช้แบบที่มีส่วนผสมของธรรมชาติมากๆ จะได้ล้างออกง่าย ไม่ต้องใช้น้ำเยอะ การมีต้นไม้อยู่ในร้านจะทำให้นึกถึงความรู้สึกเป็นธรรมชาติ เราควรให้ความรู้แก่ลูกค้าด้วยว่า ควรเสริมสวยอย่างไรถึงช่วยกันลดโลกร้อนได้ ฝ่าย ธนากร ให้มุมมองว่า เวลาเราเปิดแอร์ จะเย็นข้างในร้านแต่ไปร้อนข้างนอก ถ้าร้านทำผมมีหน้าต่างจะระบายความร้อนได้ การปลูกต้นไม้ก็ช่วยลดความร้อนเช่นกัน อย่างต้นตีนตุ๊กแก จะกันความร้อนได้ดีมาก นอกจากนี้น้ำที่หล่อกระจกทำให้ร้านเย็นสบายขึ้น เวลาทำผมก็อย่าฉีดสเปรย์เยอะ เพราะมีสาร CFC ที่ทำลายชั้นโอโซนให้เกิดช่องโหว่ ทำให้โลกร้อนขึ้น การใช้ผลิตภัณฑ์แต่งผมเช่น เจล น้ำมัน แวกซ์ แทนการใช้สเปรย์ ลดการสระผมลง 1 ครั้ง ก็ช่วยประหยัดน้ำได้ “บางครั้งการกระทำของเราเช่น เปิดแอร์ หรือ ฉีดสเปรย์ เป็นการทำลายโลกโดยไม่รู้ตัว พวกเราไม่เป็นไรหรอก แต่ลูกหลานที่จะต้องอยู่ต่อจะเป็นยังไง จึงต้องช่วยกันประหยัดน้ำ ปลูกต้นไม้ ลดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสาร CFC จะเป็นการทำให้โลกลดความร้อนลงได้ การใช้ไดร์เป่าผมที่มีวัตต์ต่ำกว่า 2 พันวัตต์ จะช่วยประหยัดไฟได้ ใช้แค่ 1500-1800 วัตต์ก็พอ ไดร์ 5 นาทีจบ ใช้มือในการเซ็ตติ้งมากขึ้น ใช้แปรงกลมน้อยลง การทำผมบ็อบคลาสสิค ผมดัดที่ขยำให้เกิดวอลลุ่ม ช่วยให้เราประหยัดในการไดร์ผมได้มาก ลดแอร์ ลดไดร์ ทำทรงผมที่ง่ายที่สุดในการดูแล ลูกค้าก็น่าจะชอบ” ช่างผมชื่อดัง กล่าว เจ้าของร้านดูเอ้ บุษบา ให้ความเห็นอีกมุมว่า หากร้านไหนไม่มีทุนเยอะที่จะเปลี่ยนแอร์ใหม่ ก็มีวิธีลดโลกร้อนง่ายๆ คือ ไม่ใช้สเปรย์ในร้าน ซึ่งพวกอาจารย์รณรงค์เรื่องนี้กันมานานเกือบ 10 ปีแล้ว อย่างที่ร้านดูเอ้ ก็รณรงค์ให้เลิกใช้มา 7 ปี จะเห็นได้ว่าตอนที่สาธิตการตัดผมให้ดูบนเวที แต่ละทรงไม่จำเป็นต้องใช้ไดร์เป่า หรือใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมอะไรมากมายเลย แต่นำสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ “เราเน้นใช้เทคนิคการแต่งผมด้วยมือเป็นหลัก ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์จัดแต่งทรงผมให้มากเกินไป อย่างซาลอนต้นแบบ ด้านหลังร้านจะเปิดได้ พอตอนเช้าเราเปิดให้สารเคมีที่ตกค้างทั้งหลายทิ้งออกไป ตอนเราทำงานก็ปิด แล้วเปิดแอร์ ถ้าใครคิดจะทำร้านใหม่ๆ ก็ให้เอาซาลอนนี้ไปเป็นตัวอย่างได้ เราต้องสร้างที่ตัวเองก่อน อย่างที่ร้านดูเอ้ จะอยู่ใกล้กับทะเลสาบในหมู่บ้าน น้ำที่ไหลออกไปจากร้านเราต้องสะอาดมากๆ ทุกจุดจะต้องมีการกรองเพราะน้ำของเรามีการใช้สารเคมีทุกวัน เราไม่ได้ใช้สมุนไพรทุกอย่าง จึงต้องดักของเสียก่อนปล่อยน้ำลงท่อลงคลอง ร้านเสริมสวยทุกร้านสามารถทำได้ไม่จำเป็นต้องเป็นร้านเปิดใหม่ เราอยู่ในอาชีพเดียวกัน อยากให้ทำเพื่อส่วนรวมค่ะ” กรธนา ได้กล่าวปิดท้าย ในฐานะสื่อมวลชน และเป็นสื่อกลางให้ช่างเสริมสวยทั่วประเทศมาพบมาทำกิจกรรมร่วมกันทุกปี ว่า นิตยสารแฮร์ มีการรณรงค์เกี่ยวกับแนวคิดเรื่อง Go Green อยู่แล้วว่าร้านทำผมมีส่วนช่วยลดโลกร้อนได้อย่างไรบ้าง ไม่ว่าเรื่องอากาศ น้ำ การประหยัดไฟ ขยะ รวมทั้งแนวคิดเรื่อง Salons Go Green เพื่อให้ช่างผมตระหนักว่าขณะนี้เกิดปัญหารุนแรงมากเรื่องภาวะโลกร้อน ช่างผมสามารถทำอะไรได้บ้าง “อย่างหลังคาเอียง 14 องศา ติดโซลาร์ เซลล์ และเครื่องทำน้ำอุ่น ช่วยประหยัดไฟได้ ภายในร้านติดก๊อกที่มีหัวฉีดช่วยประหยัดไฟได้ และรณรงค์เรื่องการสระผมให้น้อยครั้งลง ซึ่ง 1 ครั้งจะลดน้ำลงได้ 5-7 ลิตร/คน เราจะทำอย่างต่อเนื่องและทำตลอดไป อยากฝากให้ช่างผมทุกคนช่วยกันดูแลโลก เพราะโลกวันนี้เป็นของทุกคน จึงอยากให้ทุกคนร่วมมือกันค่ะ” บรรณาธิการบริหาร นิตยสารแฮร์ กล่าว สำหรับ ซาลอนต้นแบบ ซึ่งเป็นซาลอนที่ประหยัดพลังงานตั้งแต่โครงสร้างจนถึงอุปกรณ์ภายใน ฝีมือการออกแบบของ ดร.สิงห์ อินทรชูโต มีโครงสร้างเป็นหลังคา ติดโซลาร์ เซลล์ และเครื่องทำน้ำอุ่น เพื่อนำไฟฟ้ามาใช้ในร้าน และไม่ต้องเสียค่าไฟสำหรับทำน้ำอุ่น ซึ่งกินไฟค่อนข้างมาก ตัวหลังคา เอียง 14 องศา ซึ่งเป็นมุมที่รับแสงแดดได้ดีที่สุด ส่วนผนังร้านจะทำเป็นผนังต้นไม้ เพราะต้นไม้ช่วยให้อุณหภูมิภายในร้านลดลง 1-4 องศา ทำให้เครื่องปรับอากาศไม่ต้องทำงานหนัก ภายในร้านติดหลอดไฟ LED ที่กินไฟน้อยที่สุด ประหยัดกว่าหลอดฟลูออเรสเซนส์ 40% จุฑา สุชะวณิชย์ สถาปนิกอิสระ ซึ่งช่วย ดร.สิงห์ ดูแลโปรเจ็คท์นี้ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า โครงสร้างซาลอนต้นแบบ มีพื้นที่ขนาด 75 ตรม. (แต่โครงสร้างจำลองมีการย่อขนาดเล็กลง) การที่ตัวอาคารตั้งอยู่ด้านทิศใต้ เป็นการดีทำให้ลมพัดไหลเข้าออกได้ ส่วนใหญ่ร้านตัดผมจะต้องติดแอร์ ด้านหลังของร้านจะทำเป็นระแนงใช้เป็นที่อบผ้า ตากผ้าได้ เพราะแดดส่องถึงและมีลมพัดผ่าน ทำให้ผ้าไม่มีกลิ่นเหม็น “โครงสร้างจริงๆ ของเรา ต้องเรียกวิศกรเข้ามาคุย ซึ่งเขาต้องการพัฒนางานของตัวเองเพื่อเข้าสู่ธรรมชาติด้วย คานและเสาที่อยู่หน้าร้าน เกิดจากการนำเศษไม้ชิ้นเล็กๆ มาอัดประกอบกัน แล้วเสริมความแข็งแรงด้วยเหล็กบางชิ้น ทำให้ออกมาเป็นโครงสร้างด้วยการกลึง การขัด แล้วอบ อัดน้ำยา ถ้าเทียบกับโครงสร้างธรรมดาทั่วๆ ไปต้นทุนอาจจะสูงกว่านิดหน่อย เพราะขณะนี้ยังมีอยู่เพียงไม่กี่รายที่สามารถผลิตได้ เนื่องจากไม่ใช่การผลิตแบบโรงงาน แต่ต้องใช้แรงงานคนมานั่งเรียงไม้ คล้ายๆ กับเฟอร์นิเจอร์ของ อ.สิงห์ ทุกตัวที่ต้องเป็นแฮนด์เมด โครงสร้างบางส่วนที่ทำด้วยไม้ ก็ใช้เศษไม้จากลังไม้ที่ใช้ในอุตสาหกรรม มาลงสีมาขัดใหม่ เป็นการนำของที่ไม่ใช้แล้วมารีไซเคิลใหม่ ในการดีไซน์ ผมทำการยกพื้นขึ้นมาด้วย เพื่อให้ข้างล่างสามารถวางคอมเพรสเซอร์แอร์ เพราะถ้าวางตากแดดจะกินไฟและทำให้อุณหภูมิภายในสูงขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้น้ำหรือของเสียจากซาลอนได้ผ่านท่อบำบัดก่อนที่จะไหลลงสู่ท่อระบายน้ำต่างๆ ภายในร้านยังมีเฟอร์นิเจอร์บางชิ้นภายในร้านทำจากวัสดุรีไซเคิล” จุฑา ยังได้กล่าวถึง กรีนวอลล์ (Green Wall) ซึ่งเป็นผนังภายในร้าน ว่าเกิดจากงานวิจัยส่วนตัวของ อ.สิงห์ ซึ่งเห็นว่าที่ต่างประเทศอย่าง อินเดีย บราซิล จีน ได้นำไปใช้งานในหลายๆ ส่วน โดยการนำกล่องนมที่ไม่ได้ใช้แล้วมาย่อยให้ละเอียดแล้วอัดเป็นแผ่น สามารถนำมาใช้แทนไม้อัด หรือวัสดุตกแต่งอื่นๆ ได้ การทำกรีนวอลล์ภายในร้าน เพื่อต้องการให้มีระยะระหว่างผนัง ทำให้ผนังที่ต้องรับแดดอยู่แล้วมีความเย็นลงในส่วนที่เป็นผนังทึบ เพราะในซาลอนบางส่วนต้องเป็นผนังทึบเพื่อไม่ให้แสงเข้ามามากเกินไป หรือทำให้เห็นเงาที่ไม่ชัด จึงนำกรีนวอลล์มาใช้ในส่วนที่เป็นผนังทึบ “กรีนวอลล์ ของ อ.สิงห์ ที่คิดมาในตอนแรกคือ เป็นวัสดุปลูก ตอนนี้เราพยายามนำไม้ไผ่ตัดเป็นแผ่นๆ มาเรียงต่อกันแล้วใส่วัสดุปลูกลงไป เช่น ก้อนดิน เป็นการใส่ปลูกไปเลย แล้วก่ออิฐ กรีนวอลล์พวกนี้จะมีความคงทน เพราะมีการทำไม้ให้แห้ง อบน้ำยาเรียบร้อยแล้ว จะไม่ผุกร่อน สำหรับต้นทุนโครงสร้างต้นแบบที่ทำมาคร่าวๆ จะตกประมาณ 800,000 — 1,000,000 ล้านบาท ในอนาคตคงเริ่มมีผู้สนใจมาใช้มากขึ้น เพราะปัจจุบันมีโปรเจ็คท์ต่างๆ หลายอย่างในเมืองไทยเริ่มให้ความสำคัญกับการใช้ตัวอาคารที่ลดการใช้พลังงาน นอกจากนี้ยังต้องเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ภายในร้านที่ช่วยลดอุณหภูมิ ลดการใช้ไฟ และช่วยบำบัดของเสียก่อนออกไปสู่สาธารณะ โครงการซาลอนนี้เพิ่งมีการริเริ่มเป็นครั้งแรก ถ้ามีผู้สนับสนุนต่อ ก็คงทำต่อไปเรื่อยๆ แต่ในส่วนของโครงการอื่นๆ เราทำกันมานานพอสมควรแล้ว” สถาปนิกอิสระ กล่าว สำหรับผู้ที่สนใจการทำร้านกรีน ซาลอน จุฑา แนะนำว่าไม่จำเป็นต้องทำตามต้นแบบทุกอย่าง แต่ปรับแบบให้เหมาะกับพื้นที่ของสถานที่นั้นๆ ได้ และต้องดูตำแหน่งการรับแสงแดดด้วย โดยมีเกณฑ์ว่า ผู้ที่ต้องการร้านแบบนี้ จะสามารถปรับแบบได้หรือไม่ หรือหากต้องการสร้างใหม่เลยก็ต้องคุยกับสถาปนิกที่ทำการออกแบบให้ เพราะแต่ละอย่างที่เขาเลือกมาใส่ไว้ในร้านต้นแบบ ทุกคนสามารถเลือกไปใช้ได้ “อย่างเช่น ถ้าซาลอนของคุณเป็นตึกแถว เราต้องการปรับให้มันกรีนมากขึ้น เช่น ปรับผนังด้านหลังให้รับแสงอาทิตย์ ให้เป็นกรีนวอลล์ หรือด้านบนที่เป็นดาดฟ้าก็ปรับให้เป็นสวนสำหรับนั่งพักผ่อน ส่วนโซลาเซลล์ กับถังน้ำร้อน ราคาค่อนข้างสูง เราต้องการใช้มากน้อยแค่ไหนก็สามารถปรับได้โดยหันไปตามองศาที่เหมาะสมกับพื้นที่นั้นๆ สำหรับจำนวนของผู้ที่จะนำซาลอนต้นแบบไปใช้งานจริงมากน้อยแค่ไหนนั้น ต้องเริ่มรณรงค์และให้ความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรและการประหยัดพลังงานก่อน เพราะไม่ใช่เรื่องที่ทำยากเลย ตอนนี้ตลาดของ Hi-end เช่น ร้านอาหารหรือร้านต่างๆ เริ่มปรับเข้ามาตรงนี้มากขึ้น เพราะสังคมไทยจะมองตัวอย่างจากกลุ่มนี้เป็นหลัก” จุฑา กล่าวสรุป ไฮไลท์สุดท้ายและเป็นสีสันของงานนี้ คือ การออกแบบทรงผมลดโลกร้อนโดย 20 กูรูช่างผมชื่อดังได้แก่ ทรง Back To The Basic โดย สมศักดิ์ ชลาชล, ทรง Pure nature โดย สมพร ธิรินทร์ จาก The Lounge Salon, ทรง Tri Angle Long Layer โดย พุทธ ธนาวสุพัชร จาก Pode Hair Creation, ทรง Natural Style โดย บุษบา เปรมเจริญ จากร้าน ดูเอ้, ทรง Emotion Life โดย ลิเลียน ศรีเอียด Hair Stylist, ทรง Natural โดย ปัญญา อภิญญานุรักษ์ จาก The Place, ทรง Devil Angle โดย เรืองฤทธิ์ เกตุเลขา จาก Ruengrit, ทรง Beat Bob โดย ทูนธรรม ชาญชลสมุทร Hair Stylist, ทรง Cotton Girl โดย ศุภกิจ เมฆอำนวยชัย จาก Chelsea, ทรง Stop Global โดย จิณณา สืบสายไทย จากชมรมช่างผมไทย, ทรง Think Earth โดย พรรณิภา ปวนะฤทธิ์ จาก Panipa, ทรง Versatile Bob โดย คันธรัตน์ สิงห์ขรรณ์ จาก 2 be 1, ทรง Be Simple โดย อมร เสถียรเขต จาก Cut & Curl, ทรง Contemporary Classic โดย ทอมมี่ ยิป จาก Pivot Point, ทรง Hot Shot โดย สมเกียรติ เสือเพชร จาก MOGA, ทรง Magic of Plait โดย สัมฤทธิ์ เปลี่ยนเจริญ Hair Rising Star 2007, ทรง Blue Diamond โดย ธนะชัย ศิริเพ็ญพงศ์เจริญ Hair Rising Star 2006, ทรง Neo Crop โดย กรกฏ วรรธนะอมร จาก สมาคมเสริมสวยแห่งประเทศไทย และ ทรง Easy Shine โดย อรัญญานี เมี้ยนละม้าย จาก Ice Hair by Joico “Thailand Hair Expo 2008” ในปีนี้ ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ทั้งในการมอบความรู้ และเทรนด์แฟชั่นทรงผมสุดฮิปที่จะมาแรงในปีหน้า และที่สำคัญยังได้ตระหนักถึงความสำคัญของการร่วมมือในการลดปัญหาภาวะโลกร้อน ซึ่งทุกคนสามารถช่วยได้ ถือเป็นการร่วมแรงครั้งสำคัญของช่างผมไทยอีกครั้งหนึ่งในการมีส่วนร่วมทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น รายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ: เพียงเพ็ญ พรายแสง 081 860 8225 นิธิวรรณ ฟักสุวรรณ์ 085 127 7272 บ.พับบลิคฮิต จำกัด โทร: 02-252-5699 แฟกซ์: 02-252-5698

แท็ก thailand   โลกร้อน  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ