กรุงเทพฯ--12 พ.ย.--ซีพีเอฟ
ซีพีเอฟกำไรสุทธิ 9 เดือนเพิ่ม 151% ผู้บริโภคมั่นใจมาตรฐานการผลิต กระแสหวัดนกไม่กระทบ ทั้งยังรับอานิสงค์จากเมลามีนจีน มั่นใจบรรลุเป้า 150,000 ล้านบาท ส่วนปีหน้าเน้นปรับปรุงประสิทธิภาพและลดต้นทุน
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ “ซีพีเอฟ” ผู้นำด้านธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารของประเทศไทย รายงานผลการดำเนินงานรวมรอบ 9 เดือนปี 2551 เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ด้วยกำไรสุทธิจำนวน 2,824 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 151 จากยอดขายจำนวน 116,185 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 17
นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหารเปิดเผยว่า การปรับตัวขึ้นของยอดขายของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปีนั้น ส่วนใหญ่มาจากการปรับตัวสูงขึ้นของระดับราคาเนื้อสัตว์ทั้งในประเทศและสินค้าเนื้อสัตว์ส่งออกทั้งกิจการในประเทศไทยและต่างประเทศที่ปรับขึ้นตามภาวะต้นทุนที่สูงขึ้น ประกอบกับปริมาณการส่งออกสินค้าเนื้อสัตว์แปรรูปของบริษัทนั้นมีปริมาณเพิ่มขึ้น
ในเรื่องผลกระทบจากไข้หวัดนกที่เกิดขึ้นที่จังหวัดสุโขทัยนั้น เป็นการเกิดขึ้นในส่วนของการเลี้ยงไก่พื้นเมือง ซึ่งเชื่อว่า ผู้บริโภคเข้าใจและมั่นใจในมาตรฐานการผลิตเนื้อไก่ของบริษัท และซีพีเอฟก็ได้ทำการแบรนดิ้ง (Branding) สินค้าเนื้อสัตว์ภายใต้ตรา ซีพี เชื่อว่าไม่มีผลกระทบต่อยอดขายสินค้าเนื้อไก่ของบริษัท
ในภาคการส่งออก บริษัทผู้นำเข้าต่างก็เข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และสินค้าหลักในการส่งออกของซีพีเอฟเป็นผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานสากล ปลอดภัย ลูกค้ามีการตรวจสอบกระบวนการผลิตของบริษัทอย่างสม่ำเสมอ ประกอบกับการที่ประเทศจีนมีเหตุการณ์เกี่ยวกับมาตรฐานสินค้าอาหารที่มีสารปนเปื้อนในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ประเทศไทยมีโอกาสและศักยภาพเพิ่มขึ้น ในเรื่องของการส่งออกสินค้าอาหารไปยังกลุ่มลูกค้าเดิมของประเทศจีน
สำหรับกิจการในต่างประเทศนั้น โครงการลงทุนล่าสุดคือ ในประเทศรัสเซียที่เริ่มดำเนินการผลิตแล้ว โดยจะเริ่มส่งรายได้จากการผลิตเข้ามาในต้นปีหน้า ซึ่งธุรกิจหลักในประเทศรัสเซียเป็นอาหารสัตว์บกและสุกรพันธุ์ ที่จำหน่ายให้กับเกษตรกรชาวรัสเซียที่เดิมใช้อาหารสัตว์ผสมเอง หรืออาหารสัตว์ที่อาจจะมีคุณภาพไม่สูง ตลาดในส่วนนี้จึงยังคงมีโอกาสและศักยภาพในการขยายตัวอีกมาก ดังนั้นในปี 2552 รายได้จากประเทศรัสเซียน่าจะเติบโตตามที่บริษัทตั้งเป้าไว้
บริษัทมั่นใจว่า ผลการดำเนินงานรวมทั้งปีของปี 2551 จะสามารถมียอดขายเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้จำนวน 150,000 ล้านบาท และในปี 2552 ภาวะวิกฤตทางการเงินของประเทศต่างๆ ทั่วโลก อาจส่งผลกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค ดังนั้น จึงทบทวนการลงทุนขยายงานมาตั้งแต่ต้นปี 2551 และจะยังคงนโยบายไม่เพิ่มการลงทุนใน non-core assets พร้อมกับดำเนินนโยบายอย่างระมัดระวังในเรื่องของค่าใช้จ่ายต่างๆ ควบคู่ไปกับการปรับปรุงประสิทธิภาพและลดต้นทุน นอกจากนั้น ภาวะราคาน้ำมันที่ลดลงยังทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง ประกอบกับค่าเงินบาทที่น่าจะอ่อนค่าลงจากช่วง 9 เดือนแรกของปี ทั้งหมดนี้จะทำให้ซีพีเอฟมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น และมีอัตราการทำกำไรที่ดีขึ้น
สำหรับการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นนั้น บริษัทมีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง โดยครั้งแรกได้จ่ายจากผลการดำเนินงานรอบ 6 เดือนแรกของปีจำนวน 0.08 บาท ในครึ่งปีหลังนี้ซีพีเอฟมั่นใจว่าผลการดำเนินงานจะสูงกว่าในครึ่งปีแรก ประกอบกับบริษัทมีการซื้อหุ้นคืน โดยจากวันเริ่มของโครงการมาถึงปัจจุบัน ได้มีการซื้อคืนแล้วประมาณร้อยละ 3 ของทุนชำระแล้ว เงินปันผลในครึ่งหลังนี้น่าจะสูงกว่าในครึ่งปีแรก
สำนักสื่อสารและประชาสัมพันธ์ CPF
โทร.0-2625-7344-5,0-2631-0641,0-2638-2713
E-mail : pr@cpf.co.th